จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,370
ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วกรุงไรน์ฮาร์ทว่า กริดกำลังพาแขกพิเศษคนหนึ่งตระเวนกินตามร้านอาหารชื่อดัง
ต้องสำคัญขนาดไหน กษัตริย์ของอาณาจักรถึงยอมนำทางด้วยตัวเอง?
ผู้คนต่างพากันคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของแขกพิเศษ
แน่นอน ไม่มีใครทราบคำตอบ
แม้แต่ข้าราชการและขุนนางระดับสูงก็ไม่มีข้อมูล
“หือ? กลับไปแล้ว?”
ข่าวการตระเวนกินของแขกพิเศษล่วงรู้มาถึงหูไอดาน
ในฐานะพ่อครัววังหลวง ไอดานรีบจัดเตรียมอาหารชุดใหญ่เพื่อหวังเสิร์ฟต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ แม้จะไม่มีคำสั่งให้ทำก็ตาม
“อุตส่าห์เตรียมอาหารไว้มากมาย… ทำไมกัน”
แขกพิเศษกลับไปแล้ว ข่าวดังกล่าวทำให้ไอดานถึงกับช็อก
“เขาตระเวนกินตามร้านดังทั้งวันไม่ใช่หรือ? ย่อมต้องหมายความว่า แขกพิเศษคนนี้สนใจอาหารที่เป็นเอกลักษณ์ของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์…”
“ก็เหมือนจะเป็นแบบนั้น”
“แล้วทำไมถึงกลับไปโดยไม่รอกินอาหารของฉัน?”
“…คงมีเหตุด่วนกระมัง หรือไม่ก็ยุ่งมาก”
ในหมู่ชาวโอเวอร์เกียร์ ห้องครัวของไอดานมักถูกเรียกว่า ‘ศูนย์ฝึกพิเศษ’
ทหารและอัศวินมักถูกสั่งให้แวะเข้าไปในห้องครัวไอดานเพื่อ ‘เพิ่มค่าต้านทานพิษ’ ไม่ใช่เพื่อเติมเต็มความหิว
แต่ไอดานไม่ทราบความจริงข้อนี้
ในอดีต ไอดานเคยไม่แยแสความรู้สึกของคนกิน เอาแต่ปรุงอาหารตามวิถีทางที่ตัวเองมองว่าเป็นศิลปะ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว ไอดานไม่อยากขวางกระแสสังคม จึงเริ่มใช้ ‘ผงเวทมนตร์’ ที่ชื่อว่าเกลือ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงรสชาติได้มากขึ้น
“เฮ่อ… แย่ชะมัด”
นี่เป็นโอกาสทองที่จะทำให้แขกบ้านแขกเมืองได้ตระหนักว่า อาหารของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์นั้นยอดเยี่ยมเพียงใด
ไอดานส่ายหน้าพลางส่งเสียงเรียกทหารที่กำลังจะเดินออกไป
“ขอบใจมากสำหรับข่าว ฉันไม่มีรางวัลจะตอบแทน แต่ในครัวยังเหลืออาหารที่เตรียมไว้สำหรับแขก เชิญกินได้ตามสบาย”
“เอ๋…? ฉ…ฉันไม่มีคิวฝึกวันนี้… ต้องไปเข้าเวรด้วย…”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับการฝึก? ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน นายควรเติมเต็มกระเพาะก่อนไปทำงาน”
“ฉันจะถูกลงโทษทางวินัยถ้าไปเข้าเวรไม่ได้…”
“หึหึ… ดูพูดเข้าสิ นายกำลังจะบอกว่า อาหารของฉันอร่อยเสียจนกินแล้วลืมวันลืมคืนสินะ ไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยเตือนถ้าใกล้ถึงเวลาเข้าเวร”
“…”
ห้องครัวไอดานกว้างขวางกว่าครัวอื่นในปราสาทอย่างชัดเจน
เพราะที่แห่งนี้ถูกออกแบบให้เป็นศูนย์ฝึกค่าต้านทานพิษ การมีขนาดที่ใหญ่โตจะช่วยให้ฝึกทหารได้เป็นจำนวนมากในคราวเดียว
สิ่งนี้ทำให้ไอดานหลงคิดไปคนเดียวว่า ทุกคนยอมรับในฝีมือการทำอาหารของตน ครัวจึงมีขนาดใหญ่กว่าใคร
ทหารคนดังกล่าวส่ายหัว ก่อนจะรีบกุมท้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
“อุก…! ท้องฉัน… ฉ… ฉันต้องไปเข้าห้องน้ำก่อน! วันนี้ของดมื้อเที่ยง!”
“กะทันหันจังนะ…”
ทหารรีบร้อนออกจากครัวก่อนที่ไอดานจะได้ตั้งคำถาม
หลังจากหันไปมองจานอาหารที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะ ไอดานไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตักพวกมันใส่กล่องข้าวกลางวัน
ทันใดนั้น ไอดานผุดไอเดียใหม่ที่น่าสนใจ
‘ได้ยินมาว่า… ใกล้กับภูเขามีกลุ่มผู้อพยพอาศัยอยู่ชั่วคราว’
เมเดีย เบลโต้ เก๊าส์ โรเทมอน
ในช่วงสิบปีหลัง มีมากถึงห้าอาณาจักรที่ล่มสลาย
สงครามอันเกิดจากฝีมือมนุษย์และการรุกรานของจอมอสูรทำให้หลายคนต้องกลายเป็นผู้อพยพ
อาณาจักรส่วนมากมักกีดกันคนเหล่านี้ด้วยเหตุผลทางการเงินและความมั่นคงภายใน แต่ไม่ใช่กับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
คล้ายกับกำลังบอกเป็นนัยว่า พวกตนมีศักยภาพเพียงพอที่จะจัดการกับสายลับซึ่งอาจแฝงตัวเข้ามา นอกจากนั้นยังมีสภาวะทางการเงินที่มั่นคงจากหน่วยล่าบอสสุดแกร่งซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วทวีป
สำหรับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือจำนวนประชากร
***
“มาถึงสักที”
พวกมันต้องข้ามแม่น้ำและภูเขามากมายเพื่อหลบเลี่ยงการตรวจตราของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ นอกจากนั้นยังต้องเผชิญอันตรายหนแล้วหนเล่าเมื่อฝืนแหกกฎ ลอบเข้าไปในเขตหวงห้าม
จนในที่สุด พาลาดินของโบสถ์ยูดาห์ที่ปลอมตัวเป็นผู้อพยพก็เดินทางมาถึงชายขอบเมืองหลวงของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ กรุงไรน์ฮาร์ท
“เป็นเพราะเซอร์ยามี่ พวกเราจึงมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
เหล่าพาลาดินต่างยกย่องบุคคลที่ชื่อยามี่
ยามี่ - ผู้เล่นที่กลายเป็นพาลาดินอันดับหนึ่งของโบสถ์ยูดาห์หลังจากโทบันหักหลังและเปลี่ยนความเชื่อ
ยามี่ - พาลาดินอันดับห้าของโลก - กำลังสับสนกับสถานการณ์ปัจจุบัน
‘ไม่ว่าจะมองมุมไหน เรื่องราวก็เหลวไหลสิ้นดี…’
ในวันที่โบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์ถือกำเนิดและมีการขนย้ายเทวรูปรีเบคก้าออกจากอาณาจักร สาวกของโบสถ์ยูดาห์ต่างได้รับวิวรณ์กันถ้วนหน้า
เป็นวิวรณ์ในเชิงตำหนิกริด โทษฐานทรยศต่อเทพธิดาและสร้างความสับสนต่อคนหมู่มากหลังจากสถาปนาตัวเองเป็นเทพ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีคำสั่งโดยตรงให้ทำร้ายกริด
เทพยูดาห์ยังคงให้โอกาส
อาจเป็นเพราะความทรงจำที่เคยมีต่อกริดเมื่อครั้งอวยพรพาเฟรเนี่ยม หรือไม่ก็เพราะคุณงามความดีที่กริดเคยกระทำต่อโบสถ์รีเบคก้า
แต่โอกาสของยูดาห์มาพร้อมข้อแม้หนึ่งเรื่อง
กริดต้องยอมจำนนต่อแอสการ์ด
‘กริดจะยอมรับข้อเสนอจริงหรือ…’
เทพสวรรค์อนุญาตให้กริดสร้างวิหารของตัวเองได้ แต่ต้องสร้างวิหารของเทพสวรรค์ทั้งสาม (รีเบคก้า ยูดาห์ โดมิเนี่ยน) ไว้เคียงข้าง
นอกจากนั้น เทวรูปของเทพสวรรค์ต้องใหญ่กว่าเทพโอเวอร์เกียร์สองเท่า
หลังจากทบทวนเจตจำนงของเทพยูดาห์จนมั่นใจ ยามี่ทำการปกปิดใบหน้าตัวเองอีกครั้ง
ในฐานะพาลาดินอันดับหนึ่งของโบสถ์ มันเข้าใจหลักการและโครงสร้างของเทพในซาทิสฟายเป็นอย่างดี แม้กริดจะยังอ่อนแอ แต่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่ถือกำเนิดจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมนุษย์
หากกริดยอมจำนนต่อเทพสวรรค์ นั่นจะเป็นการทรยศต่อความรู้สึกของเหล่าสาวกอย่างใหญ่หลวง
ลำพังสภาพปัจจุบันยังมีผู้ศรัทธาเพียงน้อยนิด หากกริดยอมทำตามข้อเสนอของยูดาห์จริง เกรงว่าพัฒนาการของโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์คงเดินมาถึงทางตัน
เช่นนั้นแล้ว มีเหตุผลอะไรที่กริดจะยอมทำตามข้อเสนอ?
‘เขาคงตอบปฏิเสธทันที’
ต้องไม่ลืมว่า เหล่าคณะทูตของโบสถ์ยูดาห์ถูกกีดกันไม่ให้เข้าอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ในทุกช่องทาง พวกมันจึงต้องปลอมตัวเป็นผู้อพยพ
ในสายตายามี่ มันค่อนข้างหงุดหงิดที่พาลาดินรอบตัวต่างพากันเชื่อว่า เหตุการณ์จะผ่านไปด้วยดีหากพวกตนมีโอกาสเข้าพบกริด
ขณะยามี่ถอนหายใจยาว ‘รองกัปตัน’ ตบไหล่แผ่วเบา
“อย่าได้กังวลไป เจ้าเมืองเรย์ดันผู้โง่เขลาไม่ยอมให้เราเข้าเมืองเพียงเพราะความจงรักภักดีอย่างสุดโต่ง แต่กษัตริย์กริดนั้นเป็นคนดีและปรีชาสามารถ ตอนนี้ดวงตาของเขาอาจมืดบอดเพราะหลงระเริงในสถานะเทพ หากได้ฉุกคิดและตระหนักถึงความหวังดีจากเทพยูดาห์ เขาจะกลับมาเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องได้อีกครั้ง”
“…”
เป็นอย่างนั้นได้ก็ดี…
‘เฮ่อ… ใครจะไปรู้… เราอาจถูกกริดเชือดทิ้งทันทีที่พล่ามถ้อยคำไร้สาระเหล่านั้นออกมา…’
อย่างไรก็ตาม สำหรับยามี่ ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการยอมทำตามเจตจำนงของวิวรณ์อีกแล้ว
มันได้ยินมาว่า สันตะปาปาดาเมี่ยนสูญสิ้นทุกสิ่งเพียงเพราะปฏิเสธที่จะทำตามวิวรณ์ของเทพธิดารีเบคก้า
ขณะยามี่พยายามขจัดความกระวนกระวาย
“พวกคุณดูหิวโซนะ คงลำบากแย่ที่ต้องสูญเสียอาณาจักรไป”
NPC ชื่อ ‘ไอดาน’ เดินผ่านพุ่มไม้และตรงมาทางพวกมัน
อาศัยการฟังเสียงเท้า ทุกคนทราบทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นแค่ NPC ธรรมดาที่ไม่มีพิษภัย
ไอดานหยิบกล่องอาหารกลางวันออกจากกระเป๋า
“ฉันเป็นพ่อครัว ไม่ต้องกังวลไป”
‘ไม่มีใครกังวลทั้งนั้น’
การเป็นพาลาดินอันดับหนึ่งของโบสถ์ ไม่ได้หมายถึงการเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของโบสถ์
เฉกเช่นที่โบสถ์รีเบคก้ามีหน่วยเท็มพล่า โบสถ์ยูดาห์เองก็มีองค์กรลับที่คอยฟูมฟักนักรบทรงพลัง และพาลาดินที่ร่วมเดินทางมากับยามี่ก็สังกัดอยู่ในหน่วยดังกล่าว
ทุกคนล้วนมีค่าสถานะพิเศษหลายชนิด อีกทั้งถือครองสมญานาม ทักษะ เวทมนตร์ และไอเท็มระดับสูง
หนึ่งในความสามารถสำคัญคือการบัฟเป็นวงกว้าง ช่วยเพิ่มค่าต้านทานความเสียหายจากทักษะ เพิ่มค่าพลังโจมตีให้อาวุธ เพิ่มค่ามานาสูงสุด เสริมพลังธาตุในทุกการโจมตี
เมื่อบัฟเหล่านี้ถูกใช้งานพร้อมกัน ทุกคนจะแข็งแกร่งจนผู้เล่นทั่วไปยากจะรับมือ นอกจากนั้นยังมีบัฟพิเศษที่จะแสดงผลเมื่อเข้าเงื่อนไขพิเศษ ชวนให้นึกถึงดาเมี่ยนในการแข่งตะลุมบอนราชาอสูรเลยทีเดียว
กล่าวโดยสรุป ในสายตายามี่ คนกลุ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกซาทิสฟาย
แต่ว่า… ที่นี่คืออาณาจักรโอเวอร์เกียร์ซึ่งมีทั้งกริด ปิอาโร่ เมอร์เซเดส และบราฮัม… นอกจากนั้น ในเมืองหลวงยังมี ‘ลันเทียร์’ เฟคเกอร์ และ ‘อริยศร’ จิสึกะ… ยากจะหากองทัพใดในโลกมาโค่นล้ม…
แต่ถึงอย่างนั้น
“ฮะฮะ! พวกเราไม่ได้ระแวงอะไร ขอบคุณสำหรับอาหาร”
“พวกเราดีใจที่ได้พบคนใจกว้างแบบคุณ… ดูเหมือนว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์จะร่ำรวยจนแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็ยังมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่… ขอให้พระองค์มองเห็นบุญกุศลของคุณ”
ยามี่และพรรคพวกตรวจพบไอดานตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเข้ามาในเขตภูเขา จึงมิได้แสดงท่าทีหวาดระแวง
ทุกคนล้วนเป็นนักรบชั้นสูงของโบสถ์ยูดาห์ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจจับจิตสังหารของศัตรู
“พวกนายเป็นผู้ศรัทธาเทพสินะ… ฉันมาจากตะวันออก ไม่ค่อยรู้จักเทพแถบนี้สักเท่าไร แต่ถ้าไม่ติดขัดอะไร ลองนับถือเทพโอเวอร์เกียร์เพิ่มอีกสักองค์ไหม? หากสวดวิงวอนถึงเทพหลายองค์ ก็น่าจะได้รับหลายพรในเวลาเดียวกันไม่ใช่หรือ? ฮะฮะ! ฉันขอตัวก่อนนะ”
สำหรับโบสถ์ยูดาห์ การรับใช้เทพองค์อื่นมิใช่ข้อห้าม
ร่วมกันกับโบสถ์โดมิเนี่ยน โบสถ์ยูดาห์ถือกำเนิดเพื่อรับใช้เทพธิดารีเบคก้าเป็นทุนเดิม ศาสนายูดาห์จึงค่อนข้างเปิดกว้างและไม่โกรธเคืองหากสาวกจะเลือกศรัทธาในรีเบคก้าด้วย
นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เทพยูดาห์พยายามเจรจากับกริดอย่างประนีประนอม
“หืม… น่าแปลก…”
หลังจากไอดานกลับไป เหล่าพาลาดินที่กำลังกินอาหารกลางวันต่างพบความไม่ชอบมาพากล
ไม่เพียงทุกคนจะลอบเข้าเมืองโดยปลอมตัวเป็นผู้อพยพ แต่ยังเลือกแหล่งกบดานเป็นพื้นที่ห่างไกลจากชุมชนเพื่อไม่ให้ถูกพบตัว
ชาวบ้านธรรมดาไม่มีทางทราบว่าแถวนี้มีคนอยู่
…แล้วทำไมถึงนำกล่องอาหารกลางวันมาส่งได้ถึงมือ?
“อย่าบอกนะว่า… อาณาจักรโอเวอร์เกียร์พบตัวพวกเราแล้ว?”
“เหลวไหลน่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ป่านนี้เราคงถูกกองทหารหลวงล้อมกรอบแล้ว ก็แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น”
“นั่นสินะ รีบกินให้อิ่ม จากนั้นก็เข้าเฝ้าราชาโอเวอร์เกียร์…”
แต่ผ่านไปไม่นาน บรรดาพาลาดินต้องผลัดกันใช้เวทมนตร์ถอนพิษออกจากร่างกายเป็นการใหญ่
ฉากตรงหน้าทำให้ทุกคนพากันเย็นสันหลัง
“…พวกเราถูกพบตัวแล้ว”
“อาณาจักรโอเวอร์เกียร์แอบจับตามองพวกเรามาตลอด”
“ถึงกับให้ชาวบ้านวางยาพิษ… ต่ำช้าชะมัด”
“พ…พวกเราควรทำยังไงต่อ? ในเมื่อถูกจับตามองแบบนี้ พวกเรายังมีโอกาสเข้าไรน์ฮาร์ทอีกหรือ?”
“ฉันเคยพูดไปแล้ว ราชาโอเวอร์เกียร์เป็นคนดีและปรีชาสามารถ มีโอกาสเป็นไปได้ว่า ผู้ที่สอดแนบและออกคำสั่งให้ชาวบ้านวางยาพิษเราจะไม่ใช่ตัวราชา แต่เป็นลูกน้องของเขา… ในเมื่อกลายเป็นแบบนี้ พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตีฝ่าเข้าไปตรงๆ”
บรรดาพาลาดินตัดสินใจถอดเสื้อผ้าซอมซ่อและสวมชุดศึกโบสถ์ยูดาห์
ชุดศึกของยูดาห์มีความคล่องตัวและเหมาะแก่การออกรบมากกว่าชุดหรูหรารุ่มร่ามของโบสถ์รีเบคก้า แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นระหว่างโบสถ์ที่เน้นฝีมือการต่อสู้กับโบสถ์ที่เน้นการฮีลสนับสนุน
“ถ้าไรน์ฮาร์ทไม่ยอมให้พวกเราเข้าไป ในนามตัวแทนของเทพยูดาห์ ฉันอนุญาตให้พวกนายใช้ค้อนศึกได้”
“ขอรับ!”
เหล่าพาลาดินตอบรับขึงขังพร้อมกับเดินลงจากภูเขา จุดหมายคือประตูเมืองไรน์ฮาร์ทที่อยู่ไม่ไกลออกไป
“พวกเราเป็นคณะทูตจากโบสถ์ยูดาห์!”
“ในนามของเทพยูดาห์ พวกเราจะให้โอกาสเทพโอเวอร์เกียร์! เทพโอเวอร์เกียร์ต้องสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเทพธิดารีเบคก้าและเทพยูดาห์! ต้องสาบานว่าจะยอมจำนนต่อแอสการ์ด! เพื่อพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าเทพโอเวอร์เกียร์ไม่ใช่คนนอกรีต!”
สำหรับพาลาดิน ยิ่งเปี่ยมศรัทธาเท่าไร ก็ยิ่งมากพิธีรีตองเท่านั้น หลังจากเห็นว่าสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยชาวนา พวกมันตัดสินใจตะโกนกึกก้องเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของโบสถ์ยูดาห์และแอสการ์ดทางอ้อม
“…”
“…”
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ยามี่ได้สติกลับมาและพบว่าตนกับพรรคพวกถูกจับนั่งในท่าคุกเข่ากลางทุ่งนา
โดยที่ชาวนาในตำนาน ปิอาโร่ มิได้ปรากฏตัว
รอบๆ มีเพียงชาวนากลุ่มใหญ่
“ท…ทำไมชาวนาถึงแข็งแกร่งขนาดนี้…?!”
“ถ้าชาวนาของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์รวมตัวกันก่อกบฏ กษัตริย์จะต้องเปลี่ยนมือในค่ำคืนเดียวแน่!”
“พวกแกกำลังพล่ามอะไร…”
เหล่าชาวนาจ้องหน้าแขกไม่ได้รับเชิญที่เอาแต่พล่ามไร้สาระ
“ข…ขุนนาง?”
ขุนนางผมสีทองคนหนึ่งปรากฏตัว
เมื่อเห็นท่วงท่าการเดินอันสง่างามและดาบหรูหราที่เหน็บตรงเอว ทุกคนเริ่มคาดเดาว่า ชายคนนี้ต้องมาจากตระกูลใหญ่ของอาณาจักรแน่นอน
‘ขุนนางระดับสูงมาทำอะไรที่นี่?’
พาลาดินต่างพากันกลืนน้ำลาย
พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมอาณาจักรถึงส่งขุนนางมาหาด้วยตัวเอง
“บลันด์ ทำยังไงกับพวกมันดี?”
“หืม… ไม่รู้เหมือนกัน ฉันต้องไปขุดหัวมันต่อ… ส่งให้ทหารองครักษ์จัดการเถอะ”
“ตกลง!”
“…”
หมอนี่ก็เป็นชาวนา?
ถึงอาณาจักรโอเวอร์เกียร์จะร่ำรวยเพียงใด แต่การที่ชาวนาธรรมดาแต่งตัวเหมือนขุนนางทุกกระเบียดนิ้วมันออกจะ…
ขณะพาลาดินกำลังสับสนสุดขีด
“พวกมัน. เป็นใคร.”
ชายร่างกายกำยำปรากฏตัว
มือข้างหนึ่งแบกดาบใหญ่ทรงฉลามสีน้ำเงินเข้มไว้บนหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นนับสิบ
เพียงจ้องมองก็รู้สึกได้ถึงพลังงานมหาศาล ประหนึ่งแม่ทัพใหญ่ที่ผ่านการรบราฆ่าฟันมานับไม่ถ้วน
‘หลังจากนี้คือของจริงสินะ!’
‘นึกไม่ถึงว่าแม่ทัพใหญ่จะออกโรงด้วยตัวเอง…’
‘พวกมันหวาดระแวงเราขนาดนี้เชียว?’
“หัวหน้าองครักษ์ จะทำยังไงกับพวกมันดีครับ?”
“…”
พาลาดินพลันกลืนน้ำลายด้วยสมองขาวโพลน
ทางด้านยามี่ สมองของมันทำงานเกินขีดจำกัดมาสักพักแล้ว
อันที่จริง ยามี่พอจะเห็นอนาคตของตัวเองอย่างเลือนรางนับตั้งแต่อ่านวิวรณ์จากเทพยูดาห์จบ
‘นี่มัน… ไม่ว่าจะมองมุมไหน… การเปลี่ยนมานับถือเทพโอเวอร์เกียร์คือทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด’
หลังจากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน ยามี่ตัดสินใจหนักแน่น
Comments
Post a Comment