จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,364
『ทั่วโลกน่าจะเผชิญความโกลาหลมาได้สองสามวันแล้วกระมังครับ สืบเนื่องจากการที่ผู้เล่นอย่างกริด ได้ครอบครองคลาสเกรดมิธแรกของซาทิสฟายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้คนต่างกังขาว่าคลาสเกรดเลเจนดารีโกงเกินไปเพราะสามารถต้านทานอาการผิดปรกติได้ทุกชนิดและมีอมตะนานห้าวินาที ไม่มีใครอยากจินตนาการว่าคลาสเกรดมิธจะทรงพลังเพียงใด พวกเราทำได้แค่รอชมผลลัพธ์ในอนาคต』
『ตามชื่อของมัน เทวตำนานย่อมหมายถึงเทพ คงจะเป็นคลาสสุดแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัยครับ โดยพื้นฐานแล้ว เอฟเฟคจากระบบการตื่นคงถูกยกระดับขึ้นจากเดิม พลังโจมตีและความถึกทนจะถูกเสริมประสิทธิภาพ และการโจมตีทุกชนิดอาจเปลี่ยนเป็นแบบกลุ่ม กริดคงสามารถรับมือกับศัตรูจำนวนมากได้ด้วยตัวคนเดียว 』
『เราสามารถอนุมานว่าแข็งแกร่งเท่ากริดสมัยลงแข่งตะลุมบอนราชาอสูรได้ไหมครับ? เท่าที่ผมจำได้… กริดในตอนนั้นแข็งแกร่งราวกับเทพ…』
『ผมกลับมองว่าพวกเราไม่ควรสนใจเพียงประเด็นการต่อสู้ แต่ต้องคำนึงถึงทักษะด้านตีเหล็กที่จะถูกยกระดับขึ้นมาด้วย ตราบใดที่กริดเป็นช่างตีเหล็กระดับเทวตำนาน บางทีเขาอาจผลิตไอเท็มเกรดมิธขึ้นมาได้บ่อยครั้งในอนาคต』
『ผลิตไอเท็มเกรดมิธได้บ่อยครั้ง… แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้วครับ ถ้ามีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจริง พวกเราอาจสรุปได้ว่า สามขุมกำลังหลักของกริดซึ่งประกอบไปด้วยกิลด์โอเวอร์เกียร์ อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ และโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์ กำลังจะมีอาวุธทำลายล้างระดับนิวเคลียร์ไว้ในครอบครอง』
『ตอนนี้สถานการณ์ของโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์เป็นอย่างไรบ้างครับ? ได้ยินว่ามีคลาสใหม่อย่างนักบวชและพาลาดิน… บางที กลุ่มคนที่เคยพลาดโอกาสเข้ากิลด์โอเวอร์เกียร์อาจสมัครเป็นพาลาดินและนักบวชเพื่อที่จะได้อยู่ฝ่ายเดียวกับกริด…』
『ตรงข้ามกับสิ่งที่คุณคิดครับ ปัจจุบันมีผู้เล่นเข้าร่วมโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์น้อยมาก… สำหรับซาทิสฟาย ลำดับชั้นของโบสถ์จะวัดตามจำนวนสาวกซึ่งในที่นี้คือ NPC… บางทีอาจเป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์ของโบสถ์รีเบคก้า หรือไม่ก็เพราะศรัทธาของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ยาก จึงยังมี NPC จำนวนไม่มากนักที่ย้ายไปนับถือศาสนาเทพโอเวอร์เกียร์ อนาคตของโบสถ์ยังไม่แน่นอน คงเป็นเหตุผลที่ผู้เล่นลังเลที่จะเข้าร่วมครับ 』
『ผู้เล่นไม่ถูกนับรวมเป็นสาวกหรือครับ? 』
『จะไม่นับรวมจนกว่าศาสนาดังกล่าวจะมีจำนวนสาวกจาก NPC ครบหนึ่งล้านคนเสียก่อน… ศาสนาจะเริ่มมั่นคงเมื่อมีสาวกจาก NPC ครบถึงหนึ่งแสนคนและห้าแสนคนตามลำดับ… หากนับรวมผู้เล่นเป็นสาวกเข้าไปด้วยตั้งแต่แรก มีโอกาสสูงมากที่กลุ่มอิทธิพลใหญ่ๆ ของโลกจะก่อตั้งศาสนาขึ้นเองด้วยอำนาจภายนอกเกมครับ 』
『เป็นระบบป้องกันไม่ให้โลกในเกมถูกโลกแห่งความจริงแทรกแซงศาสนาด้วยเม็ดเงินของคนรวยสินะครับ』
『ถูกต้องครับ』
『ผมเข้าใจจุดประสงค์ของเกมนะครับ เพียงแต่ว่า… แบบนี้จะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ หากผู้เล่นจะไม่ได้อะไรเลยจากการเข้าร่วมโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์? 』
『เข้าใจผิดแล้วครับ… สาวกที่เป็นผู้เล่นอาจไม่ถูกนับรวมจำนวนเข้าไปก็จริง แต่ยังได้รับประโยชน์แบบเดียวกับสาวก NPC ครับ 』
『อา… ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ตำแหน่งสันตะปาปาคือส่วนสำคัญในพัฒนาการของโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์สินะครับ』
『ถูกต้อง นอกจากนั้น คุณภาพของพาลาดินและนักบวชโอเวอร์เกียร์ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ หากคลาสทั้งสองมีจุดเด่นน่าสนใจ ผู้เล่นก็จะเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเองครับ』
ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปช่องไหน หัวข้อสนทนาก็จะหนีไม่พ้นเรื่องของเทพโอเวอร์เกียร์และศาสนาเทพโอเวอร์เกียร์
『แม้แต่ความรักก็หนีไม่พ้นพลังแห่งไอเท็มครับ การสวมชุดที่ดีและฉีดน้ำหอมคุณภาพสูงจะช่วยดึงดูดเพศตรงข้ามได้ ไม่เชื่อลองดูชุดของผมสิครับ เท่ไปเลยใช่ไหม? วันนี้ผมขอเสนอสินค้าที่ช่วยจะกลบจุดด้อยทางร่างกายของทุกท่าน… 』
『การเลี้ยงลูกก็ต้องพึ่งพาพลังแห่งไอเท็มเช่นกันครับ ด้วยอุปกรณ์ช่วยหัดเดินชนิดนี้ บุตรหลานของท่านจะมีพัฒนาที่รวดเร็ว』
แม้แต่ช่องสำหรับขายของใช้ภายในบ้านก็ยังพูดถึงพลังแห่งไอเท็ม
『เครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้จะช่วยให้สุขภาพของท่านดีขึ้นทันตาเห็น อย่าลืมทำให้บ้านของท่านเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์โอเวอร์เกียร์นะครับ』
『ดูลวดลายการตกแต่งของถ้วยชามพวกนี้สิครับ ขอเพียงโต๊ะอาหารของท่านมีชามทองเหลืองโอเวอร์เกียร์ประดับตกแต่ง อาหารจะน่ารับประทานขึ้นมาทันที』
ทุกคนกำลังคลั่งความโอเวอร์เกียร์
อันที่เป็นจริง ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน วลีโอเวอร์เกียร์เคยถูกใช้ในแง่ลบและการดูแคลน แต่ปัจจุบันกลับกำลังแทรกซึมเข้าไปในชีวิตประจำวันของทุกคนด้วยผลตอบรับเชิงบวก หรืออาจกล่าวได้ว่า กริดคือผู้ที่เปลี่ยนกระแสความนิยมของโลกอย่างแท้จริง
‘ชีวิตต้องพึ่งพาความโอเวอร์เกียร์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว’
เฉกเช่นนักเรียนที่มีอุปกรณ์การเรียนเพียบพร้อมกว่า ย่อมมีสมาธิกับการเรียนได้มากกว่า หรือคนที่ขับรถหรูหรากว่า ย่อมสัมผัสประสบการณ์และความสะดวกสบายที่มากกว่าขณะเดินทาง
พลังแห่งไอเท็มสำคัญเสมอ แค่ผู้คนไม่กล้าที่จะยอมรับมัน
หลังจากปิดทีวีพลางครุ่นคิด ชินยองวูนำเสื้อโค้ตมาสวม
‘ก่อนอื่นก็ต้องรวบรวมสาวกให้ได้หนึ่งแสนคน’
อาณาจักรโอเวอร์เกียร์มีจำนวนประชากรนับล้านชีวิต ต่อให้นับเฉพาะ NPC แล้วก็ตาม
ชายหนุ่มเคยคิดว่า การรวบรวมสาวกคงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก แต่ความเป็นจริงที่ได้เผชิญก็คือ ความเชื่อของคนมิได้เปลี่ยนกันง่ายขนาดนั้น
ยกตัวอย่างเช่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าบอกให้คนที่เข้าโบสถ์ทุกวันอาทิตย์มาตลอดชีวิตของเขา เปลี่ยนไปทำบุญที่วัดในวันรุ่งขึ้น?
ประชาชนชาวโอเวอร์เกียร์อาจยกย่องสรรเสริญกริด แต่กับศาสนานั้นเป็นคนละประเด็น
‘จากสถานการณ์ปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปิดโปงบาปของเทพเพื่อเพิ่มจำนวนสาวก… และวิธีที่เร็วที่สุดคือการไปเยือนทวีปตะวันออก’
มนุษย์เกือบทั้งหมดบนทวีปตะวันตกเชื่อในรีเบคก้า และนั่นเป็นศรัทธาที่ขัดแย้งกับศาสนาเทพโอเวอร์เกียร์
แต่ในทางกลับกัน มนุษย์บนทวีปตะวันออกส่วนใหญ่ศรัทธาในเทพผู้พิทักษ์สี่ทิศ และกริดมีความสัมพันธ์อันดีกับเทพเหล่านั้น
ไม่มีหลักฐานใดยืนยันความสัมพันธ์ได้ดีไปกว่าหัวใจฟินิกซ์แดงลำดับที่เก้าในตัวกริดอีกแล้ว
‘เหนือสิ่งอื่นใด สาวกของเทพตะวันออกมีกิจกรรมทางศาสนาค่อนข้างน้อย อย่างมากก็แวะไปศาลเจ้าใกล้เคียงเพื่อสวดวิงวอนเป็นครั้งคราว การสร้างวิหารเทพโอเวอร์เกียร์เพื่อให้คนเหล่านั้นเข้ามาสักการะจึงไม่ขัดแย้งกับพิธีกรรมและความเชื่อเดิม’
ขณะรถยนต์ของชายหนุ่ม – สิบสาม – กำลังแล่นไปบนถนนด้วยโหมดขับเคลื่อนตัวเอง ท่อไอเสียส่งเสียงคำรามอย่างดุดันจนทะลวงเข้ามาในห้วงความคิด
แน่นอน ชินยองวูมิได้แหกกฎความเร็ว เป็นหน้าที่หลักของพลเมืองที่ต้องทำตามกฎหมาย
“อ๊ะ! ข…ขอโทษครับ! ผมจะจ่ายค่าซักรีดให้…”
“ค่าซักรีดมันจะไปมีความหมายอะไร! คิดว่าเสื้อตัวนี้ราคาเท่าไรกัน? หือ? ต่อให้ทำงานเก็บเงินทั้งปี พนักงานพาร์ตไทม์อย่างแกก็ไม่มีปัญญาซื้อมัน!”
หนึ่งในวิธีขจัดความเครียดที่ดีที่สุดคือการขับรถและกิน
ชินยองวู ผู้ยอมถ่อมาไกลถึงภัตตาคารอาหารจีนในย่านกังนัมเพราะต้องการลิ้มรสกุ้งทอดพริกไทยดำ ขมวดคิ้วขณะกำลังทิ้งตัวนั่ง เหตุเพราะชายคนหนึ่งซึ่งสวมเสื้อผ้าราคาแพงที่เข้ากับนาฬิกาสุดหรู กำลังตะคอกใส่หน้าพนักงานภัตตาคารคนหนึ่ง
หลังจากตรวจสอบเบื้องต้น ชายหนุ่มพบว่าพนักงานเผลอทำชามะลิหกใส่เสื้ออีกฝ่ายขณะนำอาหารวางลงบนโต๊ะ
อาศัยประสบการณ์หลายปีในเกม ชินยองวูช่างสังเกตมากขึ้น หลังจากเห็นคราบเปื้อนเล็กๆ ตรงปกเสื้อคู่กรณี ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย
‘แค่ซักมือก็หายแล้วแท้ๆ’
ไม่จำเป็นต้องเข้าร้านซักรีดด้วยซ้ำ ไม่รู้หรือไงว่าทุกวันนี้ผงซักฟอกพัฒนาไปไกลแค่ไหน?
“ไอ้โง่! แกต้องมาเป็นพนักงานพาร์ตไทม์กระจอกๆ เพราะโง่ยังไงล่ะ!”
เหลวไหลสิ้นดี
ประโยคดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มหวนนึกถึงสมัยที่ตนยังทำงานเป็นกรรมกรและโดนคนรอบข้างดูถูก
สมัยนี้ยังมีคนดูแคลนอาชีพสุจริตของคนอื่นอีกหรือ…
จากการเป็นกรรมกร ยองวูได้รับบทเรียนชีวิตมากมาย เช่นเงินที่หาได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง คือเงินที่น่าภูมิใจยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด
ขณะสีหน้าชินยองวูเริ่มดำมืดและเตรียมลุกขึ้นยืน
“หุบปากแล้วไสหัวไป”
ใครบางคนพรวดเข้ามาคว้าคอเสื้อของชายคนที่เอะอะโวยวาย
ใบหน้าอีกฝ่ายช่างคุ้นตาชินยองวูเสียเหลือเกิน
“แกคือความอับอายของเกาหลีใต้!”
คังแดฮัน
ประธานสมาคมเกาหลีใต้จงเจริญ
หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในนาม ‘พีคซอร์ด’
มันขับไล่ตัวปัญหาออกจากร้านและยืนนิ่งสักพัก ก่อนจะหันมาสบตากับชินยองวูที่กำลังนั่งลง
คังแดฮันผงะเล็กน้อย เกาแก้มเคอะเขิน
“เอ่อ… ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะ! ฉันเข้าร้านอาหารจีนเพราะแขกในวันนี้ต้องการกินอาหารจีน…”
ดูเหมือนคังแดฮันจะไม่อยากให้ใครเห็นว่าตนเข้าร้านอาหารจีนแทนที่จะเป็นเกาหลีใต้
ถึงยองวูจะแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่ท้ายที่สุด เหตุการณ์ในวันนี้ก็ถูกเผยแพร่ตามสื่อสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็วในช่วงเก้าโมงเช้า
ภาพฮาๆ ของคังแดฮันที่เอาแต่ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ‘ผมมีประชุม!’ หลังจากถูกสื่อจี้ถาม กลายเป็นมีมบนโลกออนไลน์ไปพักใหญ่
***
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งค่ะ”
เมอร์เซเดสกำลังสั่นสะท้าน
“ในฐานะผู้ส่งสารแห่งศาสนจักรเทพโอเวอร์เกียร์ กระหม่อมจะทำตัวเป็นแบบอย่างแก่ผู้คนหมู่มาก”
ปิอาโร่น้อมรับด้วยประโยคที่ยิ่งใหญ่
“เฮ่อะ! จะให้คนอย่างฉันเนี่ยนะไปเป็นลูกน้องนาย? นั่นสินะ… นายคงหาใครที่ดีกว่าฉันไม่ได้… จะยอมเป็นให้ก่อนก็แล้วกัน”
บราฮัมบ่นพึมพำ แต่ก็รับไว้ด้วยดี
ณ วันนี้ ผู้ส่งสารแห่งเทพโอเวอร์เกียร์ได้ถือกำเนิดเพิ่มขึ้นอีกสาม
‘ตอนนี้มีสี่แล้ว…’
ถัดไปเป็นการโน้มน้าวเนเฟลิน่า
หากหล่อนยอมเป็นผู้ส่งสาร อาณาจักรโอเวอร์เกียร์และศาสนาเทพโอเวอร์เกียร์ก็จะรับประกันความปลอดภัย
ในยามที่กริดออกห่างจากบ้านเมือง คนที่จะรับมือกับคำสาปจากเทพสวรรค์ได้มีเพียงเหล่าผู้ส่งสาร
สี่ผู้ส่งสารในปัจจุบันของเทพโอเวอร์เกียร์แข็งแกร่งพอจะทำให้ชายหนุ่มเบาใจไปหลายเปลาะ
“เนเฟลิน่า”
กริดหมกตัวในโรงตีเหล็กนานเกือบสองสัปดาห์
หนึ่งสัปดาห์แรกหมดไปกับความพยายามในการสกัดศิลาศักดิ์สิทธิ์ออกจากหอกรากูเอล และหลังจากนั้นเป็นการนำ ‘เซตอุปกรณ์ฝึกตนของลีจอง’ มาแยกส่วนและประกอบกลับเพื่อเพิ่มค่าความเข้าใจไอเท็ม
นอกจากนั้น ชายหนุ่มยังวิเคราะห์หาประโยชน์ของวงแหวนและขนนกของเทวทูต แต่น่าเสียดายที่ปริศนามิอาจถูกไขกระจ่างได้ง่ายนัก
กริดเริ่มมองหาวิธีใช้ประโยชน์พวกมันในรูปแบบแร่และวัสดุ
“เนเฟลิน่า…?”
หลังจากได้รับการแจ้งเตือนจากลอเอลว่าเนเฟลิน่าถึงเวลาตื่นแล้ว กริดวางงานทุกอย่างในโรงเหล็กและรีบแวะเข้ามาหา
มังกร สิ่งมีชีวิตที่อาจ… ไม่สิ สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
รูปโฉมภายนอกงดงามจนมิอาจหาข้อบกพร่อง
แล้วทำไมตัวตนที่สมบูรณ์แบบเช่นนั้นถึงกำลังร้องไห้?
ภาพการสั่นระริกเล็กๆ ของหัวไหล่และท่อนแขนหญิงสาว กำลังก่อตัวเป็นความสงสารภายในใจกริด
“ม…ม…มีอะไร?”
เธอคงสัมผัสถึงตัวตนของกริดได้สักพักแล้ว แต่กระนั้นกลับยังไม่หยุดหลั่งน้ำตา
เนเฟลิน่ารีบปาดของเหลวออกจากแก้มอย่างลนลานพลางตั้งคำถาม
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้อย่างเงียบงันพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้า
“…”
กริดไม่ถามทำนองว่า ‘ฝันร้ายหรือ?’ หรือ ‘เป็นอะไรไหม?’ เพราะการทำเช่นนั้นอาจสร้างความไม่พอใจให้อีกฝ่ายโดยไม่จำเป็น
เนเฟลิน่ารับผ้าเช็ดหน้าไปสั่งน้ำมูก
คงเพราะกินมากเกินไป น้ำมูกจึงล้นทะลักออกมาในปริมาณมหาศาล
กริดใช้หัตถ์เทวะรับผ้าเช็ดหน้ากลับ จากนั้นก็เข้าประเด็นทันที
“เป็นผู้ส่งสารให้ฉันได้ไหม”
“หือ?”
เนเฟลิน่าเอียงคอเล็กๆ พลางหรี่ตาสำรวจกริด
“หืม… เจ้ากลายเป็นเทพแรกเกิดแล้วสินะ”
“เทพแรกเกิด?”
“เทพแรกเกิดคือเทพที่เพิ่งเกิด เหมือนกับข้าที่เป็นแฮชลิ่ง”
“แล้วฉันจะเป็นเทพโตเต็มวัยเหมือนที่เธอเป็นมังกรโตเต็มวัยได้ไหม?”
“แน่นอน แต่เจ้าต้องสร้างปาฏิหาริย์ให้มากหน่อย”
คงเพราะสถานะเทพยังอยู่ในช่วงแรกเริ่ม
ถึงกริดจะไม่อยากเปลี่ยนเผ่าเป็นเทพ แต่อย่างน้อยก็อยากพัฒนาคลาสของตนให้เป็นเกรดมิธ
‘เราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเดินไปข้างหน้า’
ขณะเนเฟลิน่าลุกขึ้นมาแต่งตัว กริดเผยรอยยิ้มเมื่อคิดว่าเส้นทางและอนาคตของตนยังอีกยาวไกล
“เจ้ากล้าพูดเช่นนี้เพราะเห็นว่าข้ายังเป็นแค่แฮชลิ่งสินะ… เทพแรกเกิดช่างโอหังนัก คิดจะให้มังกรอย่างข้าเป็นบริวาร”
“ไม่ใช่บริวาร แต่เป็นพวกพ้อง”
“ผู้ส่งสารเป็นพวกพ้องของเทพตั้งแต่เมื่อไร? บริวารก็คือบริวาร”
“ก็แค่ความหมายตามพจนานุกรม…”
“ไม่ว่าจะตามพจนานุกรมหรือไม่ แต่ผู้ส่งสารคือบริวารของเทพในสายตาคนอื่น และเหนือสิ่งอื่นใด จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เคยเห็นเทพตนใดใช้มังกรเป็นผู้ส่งสาร… เจ้าช่างโลภมาก”
“…”
“แล้วยังไงต่อ”
หลังจากสวมเสื้อผ้าโปร่งบาง เนเฟลิน่าหยิบอุปกรณ์การกิน
มังกรสาวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวใหญ่ในท่าถือมีดส้อม คล้ายกับกำลังรอให้ทหารเข้ามาเสิร์ฟวัวและหมู
“ข้าจะได้อะไรจากการเป็นผู้ส่งสารให้เจ้า… เล่ามา… ข้าจะมอบคำตอบหลังจากฟังเจ้าอธิบายจบ”
“…ไม่ปฏิเสธหรือ?”
“ถึงจะปฏิเสธไป แต่เจ้าก็คงตามเซ้าซี้ไม่เลิก… และนอกจากนั้น ข้าไม่อยากนอนฝันร้ายอีกแล้ว”
ทั้งบาเอลและจอมอสูรที่รวมหัวกันทำให้บิดาของเธอเสียสติ รวมไปถึงเหล่ามังกรที่รุมโจมตีบิดาของเธอในสภาพดังกล่าว
ศัตรูที่เนเฟลิน่าอยากฆ่ามิได้มีเพียงหนึ่งหรือสอง ส่งผลให้เก็บความคับแค้นใจไปคิดมากจนเกิดเป็นฝันร้าย
โดยเฉพาะศัตรูตัวฉกาจอย่างมังกรเพลิงที่ดำรงอยู่มาตั้งแต่ยุคสมัยต้นกำเนิด เนเฟลิน่าเชื่อว่า หากตนเติบโตด้วยความเร็วปรกติ การโค่นทราวก้าคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เป็นไปตามที่กริดคาด เนเฟลิน่าต้องการพลัง
“ฉันจะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น”
“ฮุฮุ… อย่างเจ้าเนี่ยนะ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไป… สาเหตุที่มังกรไม่ยอมเป็นผู้ส่งสารให้เทพ ไม่เพียงเพราะเรื่องนั้นระคายเคืองศักดิ์ศรีอันสูงส่งของพวกมัน แต่ยังเป็นเพราะนั่นไม่เกิดประโยชน์อันใด… ตามปรกติแล้ว เทพมีพลังในการดึงศักยภาพที่ซ่อนเร้นออกจากตัวผู้ส่งสาร แต่มังกรคือสิ่งมีชีวิตที่ปลดผนึกศักยภาพซ่อนเร้นทั้งหมดมาแต่เกิด หากเจ้าต้องการโน้มน้าวข้า ต้องไม่ใช้ข้อเสนอที่เหลวไหลอย่างการรับปากว่าจะทำให้ข้าแข็งแกร่ง แต่ควรต้องเป็นข้อเสนอเช่น… เจ้าจะให้ข้าหยิบยืมพวกพ้องที่แข็งแกร่ง”
“ฉันทำได้แน่”
“…?”
“ฉันจะทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น… นอกจากนั้นยังมีพวกพ้องที่เก่งกาจอีกหลายคนให้เธอพึ่งพา”
“หืม…”
เนเฟลิน่าวางมีดและส้อมลง
ดวงตาที่ลุ่มลึกดุจดังมหาสมุทรกำลังจ้องมาทางกริด
หลังจากตรวจสอบพัฒนาการของกริดผ่านออร่า เนเฟลิน่าหัวเราะ
“เจ้าเองก็เป็นหนึ่งในพวกพ้องที่แข็งแกร่ง”
“…!”
“ตกลง ข้ายอมรับตำแหน่งผู้ส่งสาร แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องไม่สั่งให้ทำเรื่องไร้สาระและน่าเบื่อ… อย่างที่เจ้าทราบ ข้าต้องกินและนอนเกือบตลอดเวลา ไม่ค่อยมีเวลาว่างมากนัก”
มังกร
สิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุดในโลก ให้สัญญาว่าจะร่วมมือกับกริด
นับตั้งแต่โลกใบนี้ถือกำเนิด นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริงที่มังกรยอมรับใช้ใครสักคน
ถึงจะเป็นแค่มังกรวัยเยาว์ในสถานะแฮชลิ่งก็ตาม
Comments
Post a Comment