จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,351



‘อะไรกัน…?’


ขณะกำลังเคลื่อนไหวร่างกายในทิศทางที่เกินกว่าคำว่าอิสระไปมาก และขณะข้อต่อของลีจองสามารถบิดงอในมุมที่คาดไม่ถึง ลมหายใจของมันพลันขาดห้วงไปชั่วขณะเมื่อตระหนักว่า ‘พลัง’ ของจอมอสูรลำดับสิบเอ็ดเริ่มอ่อนแอลง ทั้งที่ลีจองเคยคาดการณ์ไว้ว่า ดราเชี่ยนจะเก็บกวาดมนุษย์ตรงหน้าได้ไม่ยากเย็น


‘พวกมัน…’


เหตุผลที่ลีจองปิดตาตัวเองนั้นไม่ซับซ้อน มันต้องการดึงศักยภาพของประสาทสัมผัสออกมาจนถึงขีดสุด ด้วยเหตุนี้ ลีจองจึงสามารถตรวจพบสาเหตุที่ทำให้ดราเชี่ยนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ในเวลาอันนั้น


จากบรรดามนุษย์กว่าหมื่นคนบนสมรภูมิสงคราม มีราวสี่คนที่แข็งแกร่งจนผิดปกติ ทุกคนอยู่ในจุดใกล้กับดราเชี่ยน


ทั้งสี่แข็งแกร่งจนลีจองหายแปลกใจว่าทำไมดราเชี่ยนถึงตกเป็นรอง


‘มีสองคนที่เราคุ้นเคย…’


ย้อนกลับไปในป่าเอลฟ์เมื่อหลายปีก่อน


ราชาโอเวอร์เกียร์กริด เมอร์เซเดส และในตอนนั้นยังมีอัศวินชายนามว่าอัสโมเฟลอีกหนึ่งคน ทั้งสามเคยรุมโจมตีลีจองจนมันต้องปลดพันธนาการข้อมือเพื่อต่อสู้


ทันใดนั้น ลีจองพลันเกิดคำถามว่าตนควรถอดผ้าปิดตาดีไหม


ทั้งสี่คือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก เรื่องนี้เป็นความจริง


แม้ลีจองจะได้ครอบครองเคล็ดวิชาเทพสงครามเพิ่มเติมจากเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าตนจะได้ชัยชนะโดยง่าย


‘พวกมันแข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับเรา’


ไม่เพียงเท่านั้น


‘…แถมคราวนี้ยังมาพร้อมสัตว์ประหลาด’


มนุษย์คนหนึ่งมีระดับ ‘พลัง’ สูงส่งจนลีจองเกิดความวิตก


ไม่สิ ชายคนนั้นจะใช่มนุษย์แน่หรือ?


ขณะเกิดคำถาม ประกายสายฟ้าปริศนาส่องสว่างจากด้านข้างลีจอง


ไม่ใช่ใครนอกจากไคล์ ผู้ฉวยโอกาสลงมือในจังหวะที่ลีจองสูญเสียการควบคุมลมหายใจ


‘เทพสายฟ้า’ เร่งความเร็วจนเกิดประกายไฟฟ้าเป็นเส้นยาว ส่งร่างกายตัวเองพุ่งเข้าไปใน ‘ระยะสังหาร’ – ระยะสังหารในที่นี้หมายถึง รัศมีการกวัดแกว่งแขนขาอันว่องไวซึ่งยากจะมองตามทันของลีจอง


ในตอนแรก ไคล์ไม่อยากเสี่ยงเข้าไปในระยะสังหารสักเท่าไร แต่เรื่องราวเปลี่ยนไปทันทีที่ลมหายใจของลีจองเริ่มผิดจังหวะ


ฝ่ามือของลีจองซึ่งเคยหั่นร่างอัศวินสีชาดหลักเดียว ถูกไคล์ปัดป้องจนเกิดเปลี่ยนวิถี ท่อนขาลีจองซึ่งเคยสะบั้นศีรษะอัศวินสีชาดจนแหลกประหนึ่งผลแตงโม ถูกไคล์จับล็อกและหักครึ่งทันที


“สามยอดนักรบก็ไม่เห็นจะเท่าไร”


ไคล์ฉีกยิ้มขณะอยู่ในระยะสังหารของลีจอง


มันพยายามเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อรักษาห่างระยะที่ตัวเองถนัด


หลังจากตัดสินใจหนักแน่นว่าจะทรยศต่อพระวิวรณ์ ไคล์เอาแต่คิดกังวลกับเรื่องหนึ่งมาตลอด : มันกลัวว่าจะไม่ได้ยินเสียงของเทพสงครามอีก!


แต่ความกังวลดังกล่าวบรรเทาลงมากในวินาทีนี้


เทพสงครามชื่นชอบผู้แข็งแกร่ง


ตัวไคล์อาจเคยละเมิดเจตจำนงของเทพสงคราม แต่ถ้าตนสามารถดวลชนะหนึ่งในสามยอดนักรบ เทพสงครามต้องกลับมาเหลียวแลอีกครั้งแน่


“ประกาศิตเทพสายฟ้า”


หนึ่งในท่าไม้ตายของไคล์


เกิดจากการผสานพรสวรรค์ส่วนตัวเข้ากับเคล็ดวิชาเทพสงคราม


สายฟ้าหลายสิบเส้นพุ่งกระหน่ำออกจากร่างไคล์ โจมตีใส่ลีจองพร้อมกับศิลปะการต่อสู้อันดุดัน


นี่คือท่าสังหาร แก่นสำคัญอยู่ที่ความเร็วอันยากจะมองทันด้วยตาเปล่า


ลีจองชักเท้าขวาที่หักกลับ ใช้เข่าสกัดกั้นการโจมตีดังกล่าว


‘…ป้องกันประกาศิตเทพสายฟ้าได้?’


ประกาศิตเทพสายฟ้ารุนแรงพอที่จะถล่มภูเขาลูกใหญ่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเป้าหมายและรัศมีโดยรอบจะถูกบดขยี้อย่างราบคาบ


ทว่าลีจองกลับใช้เข่ารับไว้โดยแทบไม่บาดเจ็บ


หลังจากควบคุมมัดกล้ามเนื้อและจัดระเบียบกระดูกใหม่ ลีจองเลือนมือขึ้นมาจับผ้าปิดตา


“ข้าตัดสินใจปิดตาด้วยสองเหตุผล ประการแรก ข้าต้องการฝึกฝนประสาทสัมผัสด้านอื่นให้เฉียบแหลม หากปรารถนาความแข็งแกร่ง ไม่มีวิธีใดได้ผลไปกว่าการปิดกั้นการมองเห็น”


ผ้าปิดตาหลุดร่วง


แผ่นผ้าผืนยาวปลิวไสวไปตามแรงลมอันเกิดจากการต่อสู้


“ประการที่สอง การปิดตาคือความกรุณาที่ข้ามอบให้ศัตรู”


จากบรรดามนุษย์จำนวนมาก มีนักสู้จำนวนเพียงหยิบมือที่เทพสงครามเลือกเฟ้นมาเป็นสาวก และจากสาวกดังกล่าว สามยอดนักรบคือจุดสูงสุดในด้านความสามารถ


หากมองจากสายตาของคนปรกติ สามยอดนักรบคือกลุ่มคนที่เก่งกาจเสียจนหาเหตุผลมารองรับไม่ได้


“พรสวรรค์ของเจ้าจะทำให้ผู้อื่นสิ้นหวัง”


นั่นคือถ้อยคำของเทพสงครามที่ทำให้ลีจองตัดสินใจผนึกการมองเห็น


ขณะนึกถึงเสียงซึ่งเคยได้ยินเมื่อหลายสิบปีก่อน ลีจองบรรจงลืมตาขึ้น


ภาพแรกในการมองเห็นคือไคล์และท้องฟ้าด้านหลัง


แต่ทันใดนั้น ทัศนียภาพของลีจองผกผันอย่างรวดเร็ว


ลีจองเบือนสายตาไปทางสนามรบ


เป้าหมายการจ้องมองคือสัตว์ประหลาดผมสีขาว


‘แวมไพร์? จอมเวทระดับนี้… หรือจะเป็นบราฮัม?’


“อย่าทำเป็นเมินกันนะ!”


ไคล์โมโหลีจองที่ไม่แยแสตนหลังจากเปิดตา


เทพสายฟ้าปลดปล่อยแสงอสนีบาตสีขาวออกจากร่างอีกครั้ง


มันละทิ้งร่างเนื้อเพื่อหลอมรวมเข้ากับสายฟ้าอย่างสมบูรณ์


นี่คือทักษะ ‘เทพสายฟ้าสถิต’ หลังจากเข้าประชิดตัวลีจองและทำการระเบิดประจุไฟฟ้าปริมาณมหาศาลซึ่งรวบรวมไว้ในมือ แรงช็อกไฟฟ้าอันทรงพลังจะเล่นงานศัตรูในพริบตา


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงอสนีบาตพุ่งขึ้นฟ้าจนทุกสิ่งสว่างไสว ไม่ว่าจะมองมุมใด ลีจองซึ่งอยู่ใจกลางการโจมตีก็ไม่น่าจะรอดชีวิต


แต่ในความเป็นจริง ลีจองสบายดีทุกประการ แม้แต่ผมสักเส้นบนศีรษะก็มิได้เกิดความเสียหาย


ไม่สิ ผิวพรรณและสีหน้ากลับดีขึ้นกว่าในตอนแรกเสียอีก ริ้วรอยร่องลึกรอบปากและจมูกจางลงก่อนจะหายไป แม้แต่ดวงตาก็ยังใสกระจ่าง ปราศจากความขุ่นมัว


สิ่งนี้คือผลพวงจากการดูดซับพลังสายฟ้าเข้าไป


“…!”


ไคล์รู้สึกราวกับพลังของตนถูกดูดออก ปราณสายฟ้าเริ่มเหือดแห้ง


ท่าโจมตีเมื่อครู่ไม่ต่างอะไรกับการขุดหลุมฝังศพตัวเอง หากไม่มีสายฟ้าคอยเกื้อหนุน สมรรถภาพร่างกายไคล์จะด้อยกว่าปรกติหลายระดับ


เพียงพริบตา ไคล์ถูกลีจองสร้างบาดแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่


เมื่อเห็นเช่นนั้น มันผงะถอยหลังและรีบเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต


ลีจองเผยสายตารังเกียจขณะยืนมองพฤติกรรมน่าสมเพชของไคล์


“ข้านึกสงสัยมาตลอด มนุษย์ที่กล้าทรยศต่อวิวรณ์ของพระองค์จะมีดีสักแค่ไหนกัน… ที่แท้กลับไม่มีอะไรเลย”


เมื่อยืนยันว่าการทรยศของไคล์เกิดจากความว่าโง่เขลา ลีจองเริ่มคลางแคลงในตัวเทพสงครามเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดมา


‘พระองค์มองเห็นอะไรในตัวชายคนนี้?’


ลีจองเริ่มก้าวขาไล่ตามเหยื่อ มันเตรียมเชือดไคล์ทิ้งอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นก็เป็นการกวาดล้างมนุษย์ทุกคนที่อยู่ในสนามรบ


ถึงจะไม่ทราบเหตุผลที่เทพสงครามสั่งให้ปกป้องดราเชี่ยน แต่ลีจองก็เตรียมทำตามภารกิจอย่างเคร่งครัด


ทว่า ปัญหาเริ่มขึ้นตั้งแต่ยังไม่ทันลงมือ


“…?!”


ไคล์ซึ่งดูเหมือนเผ่นหนีอย่างไม่คิดชีวิต กลับชะงักพร้อมกับฉาบร่างกายด้วยประกายสายฟ้าหนาแน่น โจมตีตอบโต้ในจังหวะเฉียบคมและแม่นยำ คล้ายกับรอให้ลีจองเผลอจนตั้งท่าป้องกันไม่ทัน


‘เจ้าเล่ห์นักนะ!’


ลีจองออกอาการหงุดหงิดขณะถูกไคล์เตะใส่หน้าอก


อีกฝ่ายลอบโจมตีทีเผลอ แถมยังเป็นจังหวะที่ตนต้องเร่งความเร็วเพื่อไล่ตามให้ทัน ระดับการป้องกันจึงลดลงพอสมควร


ทว่า ฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบมิใช่ลีจอง แต่เป็นไคล์


ลีจองแอ่นอกรับแรงปะทะพร้อมกับใช้มือคว้าข้อเท้าไคล์แน่น


กร๊อบ!


“อ๊ากกกก!”


ไคล์แหกปากดังลั่นเมื่อข้อเท้าถูกทำลาย


แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครคิดยื่นมือช่วยเหลือ ฝ่ายมนุษย์กำลังทุ่มสมาธิไปกับการปราบดราเชี่ยนซึ่งหมอบคลานอยู่บนพื้น


“หึหึ… ตายเยี่ยงสุนัขข้างถนน”


ลีจองล้อเลียนไคล์ผู้กำลังโดดเดี่ยว


“มนุษย์แพ้ทางดราเชี่ยนเพราะพวกมันรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า… นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกเมื่ออยู่ต่อหน้าตัวตนที่แข็งแกร่ง แต่ปัญหาก็คือ คำสาปของดราเชี่ยนจะยิ่งเล่นงานพวกมันได้ง่ายขึ้น”


“แฮ่ก… แฮ่ก… แค่ก…”


“คิดว่ามนุษย์จะศรัทธาในตัวเจ้าซึ่งกลายเป็นที่โปรดปรานของเทพสงครามหรือไง? ผิดถนัด! มนุษย์ล้วนหวังให้เจ้าตาย พวกมันมักใช้ปัญญาอันโง่เขลาหลอกตัวเองให้เชื่อว่า คุณค่าของตนจะสูงขึ้นเมื่อผู้ที่เหนือกว่าหายไปจากโลก… หึหึ พวกมันต้องชอบจุดจบของเจ้าแน่”


ไคล์ทำได้เพียงเงียบงัน ไม่ปฏิเสธสิ่งใด


มันเชื่อว่าตนกำลังถูกทิ้งให้เดียวดาย


‘เราเลือกข้างผิดสินะ…’


การตัดสินใจอันผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะถูกกริดกดดัน


เหตุใดตนถึงฟังคำสั่งของกริดมากกว่าวิวรณ์ของเทพสงคราม?


ลีจองจ้องหน้าไคล์ผู้กำลังเผยความสิ้นหวัง


“สายไปแล้ว นึกเสียใจตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์ ความผิดที่บังอาจฝ่าฝืนวิวรณ์ของพระองค์ ไม่สามารถชดใช้ได้ด้วยความตาย จงถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศไปตลอดกาลเสียเถิด”


เรากำลังจะตายสินะ…


ไคล์หลับตาลงเมื่อเห็นลีจองเตรียมปล่อยหมัด


แต่ทันใดนั้น มันลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงแว่วจากด้านหน้า


“คำสั่งโง่ ๆ นั่น… มีแต่พวกโง่เท่านั้นที่ยอมทำตาม”


เบื้องหน้าไคล์คือแผ่นหลังของราชาโอเวอร์เกียร์


ด้วยดวงตาเด็ดเดี่ยวเย็นชา กริดใช้ฝักดาบกระแทกหมัดลีจองกลับไป


“…”


ถัดมาไม่นาน บุคคลกว่ายี่สิบแปดชีวิตปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังลีจองพร้อมกับขมวดคิ้วจ้องกริด บ่งบอกชัดเจนว่าไม่พอใจคำพูดเมื่อครู่


พวกมันคือสาวกเทพสงครามบนทวีปตะวันตก เดินทางมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับลีจองและไคล์


ลีจองเปิดปากพูดหลังจากเงียบงันมาสักพัก


“ไม่ได้พบกันนาน ราชาโอเวอร์เกียร์กริด”


มันมิได้โต้แย้งคำพูดกริด แต่เลือกทำเป็นหูทวนลม


“ครั้งสุดท้ายที่เราพบกันในป่าเอลฟ์ ข้าตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบจนต้องยอมถอยให้เจ้า แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว”


ลีจองกำลังกุมกระแสสงคราม ฝ่ายมันประกอบด้วยสาวกถึงยี่สิบแปดคน


จริงอยู่ที่ดราเชี่ยนกำลังคลานออกจากซากดินถล่มและมีบาดแผลเต็มตัว แต่ในฐานะจอมอสูร ดราเชี่ยนไม่มีทางจบชีวิตลงโดยง่าย โดยเฉพาะจอมอสูรลำดับสิบเอ็ดผู้ถือครองพลังคำสาป


ลีจองเชื่อว่า ตนยังมีเวลาจัดการกับกริดให้เรียบร้อย


ไคล์เห็นด้วยกับอีกฝ่าย


“ฝ…ฝ่าบาทกริด พวกเราไม่มีโอกาสชนะในศึกนี้…”


ลำพังลีจองก็รับมือได้ยากเต็มกลืน แต่นี่กลับยังมีสาวกเทพสงครามอีกยี่สิบแปดคนซึ่งน่าจะครอบครองเทคนิคลับไม่ต่ำกว่าสิบชนิด


เหนือสิ่งอื่นใด จอมอสูรลำดับสิบเอ็ดยังมีชีวิตอยู่ ถ้ากริดมาอยู่ตรงนี้ มนุษย์จะรับมือกับดราเชี่ยนไหวหรือ


สาวกทั้งยี่สิบแปดไม่สนใจบทสนทนา แต่ละคนเริ่มดึงอาวุธออกมาถือ


เมื่อได้เห็นเหล่าสรรพาวุธอันน่าเกรงขาม ไคล์ตกใจจนกลืนน้ำลาย


“วางอาวุธลง”


ทุกคนต่างคิดว่ากริดพูดจาเพ้อเจ้อ แต่ในความเป็นจริง สาวกทั้งยี่สิบแปดกลับต้องทิ้งอาวุธบนมือโดยมิอาจขัดขืน


นี่คืออำนาจของ ‘ความอัปยศแห่งทาลิม่า’


<ราชาลบล้าง>

สะกดไอเท็มทุกชนิดที่ปราศจากอีโก้

อุปกรณ์สวมใส่ทุกชิ้นที่ปราศจากอีโก้ภายในรัศมี 10 เมตรจะถูกบังคับปลดออกทันที สามารถปลดอุปกรณ์ได้พร้อมกัน 30 ชิ้น

ทรัพยากร : ไม่มี

ระยะเวลาแสดงผล : 3 วินาที

ระยะหน่วง : 7 นาที


เป็นพลังแห่งไอเท็ม


หลังจากทำให้สาวกเทพสงครามยี่สิบแปดตนหมดสภาพชั่วคราว กริดอาศัย ‘เคลื่อนที่อิสระ’ เพื่อหลบหลีกการโจมตีแบบไม่ล็อกเป้าของลีจอง ต่อด้วยการเข้าประชิดตัวสาวกเทพสงครามด้านหลังและเริ่มลงมือเชือด


“…!”


ไคล์ตระหนักบางสิ่งได้ทันที


มันมิได้เลือกข้างผิด


โลกมนุษย์เองก็มีเทพสงคราม


นามของเทพก็คือ ‘กริด’


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,826
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00