จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,354



กริด บราฮัม และปิอาโร่


ดราเชี่ยนซึ่งถูกทั้งสามอัดจมดิน พลันเกิดความรู้สึกประหลาด


มันไม่เคยลิ้มรสอาการบาดเจ็บทางกายภาพแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะผิวหนังฉีกขาดหลุดลุ่ย กระดูกแตกละเอียด หรือลำไส้บิดงอจนผิดธรรมชาติ


สำหรับดราเชี่ยนซึ่งวางแผนจะ ‘ทำลายโลกด้วยความเกลียดชัง’ ตามสัญชาตญาณของจอมอสูร อาการบาดเจ็บได้สร้างความสับสนให้มันเป็นเวลานาน ความทรงจำเก่า ๆ เริ่มหวนกลับมาผสมปนเป


น่าแปลกมาก ทำไมเราถึงไม่คุ้นชินกับความเจ็บปวด…


ในเมื่อตัวมันเคยได้รับบาดแผลบนร่างกายอันมหึมานับครั้งไม่ถ้วน แถมยังเคยเผชิญ ‘ความตาย’ มาแล้ว


“ตัวตนอันสูงส่งที่เกิดจากความปรารถนาของข้าเอ๋ย จิตใจอันงดงามของเจ้าต้องดูแลพวกเขาเป็นอย่างดีได้แน่”


ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นในหัวดราเชี่ยน


เป็นภาพของตัวเองกำลังยิ้มแย้มบนทุ่งเมฆสีทองอร่าม แทนที่จะเป็นแม่น้ำลาวาเดือดปะทุ


ขณะกำลังโค้งศีรษะคำนับใครสักคนซึ่งตนเคารพเทิดทูน ดราเชี่ยนเห็นหลังมือตัวเองทั้งขาวเนียนและนวลผ่อง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับผิวพรรณสีดำอันหยาบกร้านในปัจจุบัน


“อึก… อว๊ากกกก!”


ดราเชี่ยนแหกปากกรีดร้องพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากดวงตา


ความทรงจำอันขาดหายทำให้มันรู้สึกฉุนเฉียว


ความสงสัยที่ไม่มีคำตอบคอยรบกวนจิตใจไม่รู้จบ


‘เราเป็นใคร…’


ไม่ใช่ว่าร่างในปัจจุบันคือตัวตนก่อนบีฟรองเซ่หรอกหรือ…


แล้วตัวตนที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขบนปุยเมฆสีทองเป็นใคร?


“…”


ดราเชี่ยนที่แหกปากอยู่ใต้ดินพลันชะงักความเคลื่อนไหว เหตุเพราะดินรอบ ๆ ตัวเริ่มแผดเผาผิวหนังจนยากจะทานทน


“สาป…”


ดินเหล่านี้คือแหล่งกำเนิดชีวิต


“ข้าขอสาปแข่ง!”


สาปแช่งผืนดิน สาปแช่งโลกใบนี้


ดราเชี่ยนไม่สงสัยในเรื่องที่ความโกรธและเกลียดชังกำลังสุมเต็มอก เหตุผลไม่ซับซ้อน มันคือจอมอสูร ผู้ปกครองแห่งขุมนรกที่หายใจเข้าออกเป็นความตาย ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะรังเกียจสิ่งที่ทำให้ชีวิตงอกเงย


จอมอสูรลำดับสิบเอ็ดระเบิดพลังคำสาปออกไปยังทุกหนทุกแห่งประหนึ่งคลื่นยักษ์ถาโถม ความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวคือการลบทุกชีวิตให้หายไปจากโลก


เมื่อโผล่ขึ้นจากผิวดินและก้มมองด้วยร่างกายอันใหญ่โต เสียงกรีดร้องอันโหยหวนซึ่งดังก้องสนามรบนั้นไม่ต่างอะไรกับนรกที่มันรู้จัก


ฉากตรงหน้าสร้างความอิ่มเอมใจอย่างหาที่สุดมิได้


ถึงคราวที่มันต้องเข่นฆ่าทุกชีวิตเพื่อระบายความโกรธแค้น


‘ท่านผู้นั้น…’


ฉากเมฆสีทองและสุ้มเสียงอันอ่อนโยนยังคงรบกวนจิตใจเป็นระยะ


ดราเชี่ยนไม่ทราบว่าภาพดังกล่าวเป็นความทรงจำของตนหรือผู้อื่น แต่นั่นทำให้จิตใจของมันสับสนว้าวุ่น


เพื่อระงับความหงุดหงิด ดราเชี่ยนเริ่มอาละวาดอย่างบ้าคลั่ง


มันปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสัญชาตญาณโดยไม่ผ่านกระบวนการนึกคิด


คราวนี้ดราเชี่ยนไม่ได้ใช้ปีกบิน


แตกต่างจากร่างแรกซึ่งเน้นโจมตีด้วยขนนกและสร้างนกประหลาด ร่างที่สองของดราเชี่ยนมีส่วนร่วมกับการต่อสู้มากขึ้น


โดยปราศจากความปรานี กำปั้นถูกชกใส่มนุษย์ที่บังอาจต่อต้านพร้อมกับถ่ายเทคำสาปเข้าไปครอบงำ


กองทัพมนุษย์ซึ่งเคยชิงความได้เปรียบแม้จะมีสาวกเทพสงครามคอยสนับสนุนจอมอสูร ปัจจุบันอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน


“อ…อึ๋ย! จอมอสูรอาละวาดแล้ว!”


เหล่าทหารเพิ่งตระหนักได้เมื่อสาย


สาเหตุที่พวกมันยังมีชีวิตจนถึงตอนนี้ได้ เพราะดราเชี่ยนยังไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง เพียงใช้ขนนกและสัตว์อัญเชิญโจมตี ผนวกกับฝั่งตนมีตัวช่วยที่แข็งแกร่งอย่างกริด ไคล์ นักบุญหญิง และคนอื่น ๆ


เหล่าทหารได้หลงลืมไปชั่วขณะว่า แท้จริงแล้วจอมอสูรคือสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเหนือจินตนาการและเกิดมาเพื่อทำลายโลก


“พายุหิมะ…!”


สถานการณ์พลิกผันจากฟ้าเป็นเหว


โดยเฉพาะเมื่อจอมเวทหญิงของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์กลายเป็นหุ่นเชิดของดราเชี่ยน


แม้จะยังสาว แต่เวทมนตร์ทำลายล้างของเธอกลับทรงอานุภาพจนใครหลายคนต่างคิดว่ายูเฟอมิน่าคือ ‘ราชาจอมเวท’ ที่หายตัวไป


ในวินาทีที่เวทมนตร์ระดับถล่มเมืองสำแดงฤทธิ์เดช ทหารหลายร้อยนายเสียชีวิตคาที่ หลายพันนายได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เบาไปถึงหนัก


ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีแค็ทซ์ที่อาละวาดได้หนักหน่วงยิ่งกว่า


แตกต่างจากยูเฟอมิน่าที่ถูกลดทอนค่าสถานะบางส่วนจากการฝืนใช้กีก้าไลท์นิ่ง แค็ทซ์กลายเป็นหุ่นเชิดในสภาพสมบูรณ์


พิรุณโลหิตของแค็ทซ์โปรยปรายอย่างเต็มประสิทธิภาพและเปลี่ยนทหารกลุ่มใหญ่ให้เป็นละอองแสงสีเทา


ฉากการตายของทหารจำนวนมากทำให้แม่ทัพฝั่งจักรวรรดิเริ่มสูญเสียกะจิตกะใจจะต่อสู้


“พ…พวกเรา… ไม่มีทางชนะ…”


ด้วยพลังที่ต่างชั้นเกินไป กลยุทธ์และจำนวนกลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย


กลุ่มคนที่ยังยืนหยัด เริ่มสิ้นหวังเมื่อเห็นจำนวนหุ่นเชิดเพิ่มขึ้นทุกวินาที


“อย่าเพิ่งหมดหวัง!”


“เทพธิดาคอยอวยพรพวกเราอยู่!”


เป็นเสียงจากนักบวชรีเบคก้า


ทักษะการฟื้นฟูและขจัดอาการ ‘หวาดกลัว’ พอจะช่วยให้ใครหลายคนกลับมาฮึกเหิม


ขณะแสงแห่งความหวังจุดเล็ก ๆ เริ่มก่อตัวในใจฝ่ายมนุษย์ที่กำลังท้อแท้


“ดูม”


ราวกับอสุรกายกำลังหัวเราะเยาะ


ดราเชี่ยนเปลี่ยนมนุษย์ทุกคนในสนามรบให้กลายเป็นอันเดดในพริบตา


ต่อหน้าพลังอันเหนือจินตนาการที่สามารถต่อต้านทวยเทพ มนุษย์ตัวเล็ก ๆ ย่อมหมดสิทธิ์ดิ้นรนขัดขืน


“อ๊ากกก!”


“แค่ก!”


ทหารที่ถูกฮีลและบัฟ รวมถึงสมาชิกโอเวอร์เกียร์ที่กำลังดื่มโพชั่นเพื่อชดเชยพลังชีวิต พลันแสดงสีหน้าบิดเบี้ยวพร้อมกับส่งเสียงครวญคราง


เอฟเฟคย้อนกลับผลการรักษา ทำให้จำนวนคนตายเพิ่มขึ้นทุกวินาที


ขณะกำลังดวลกับลีจอง กริดเริ่มกระสับกระส่ายภายในใจ


จุดแข่งของชายหนุ่มคือความถึกทนและการฟื้นพลังชีวิต


กริดสามารถโค่นศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าตนได้ด้วยพลังดูดเลือดของแวมไพร์จากไอเท็มและอักขระ ผนวกกับผลของบาเรียคุ้มกายอีกหลายประเภท


แต่เมื่อผลการรักษาถูกย้อนกลับ การฮีลทุกชนิดจึงกลายเป็นยาพิษ


สถานการณ์แย่ลงทุกขณะ


[ท่านถอด ‘แหวนเอลฟินสโตน’]


กริดถอดไอเท็มดูดเลือดทั้งหมดออกและกวาดตาไปรอบตัว


ขณะที่ตนดวลกับลีจอง สาวกเทพสงครามกว่ายี่สิบแปดคนได้หายไปราวครึ่งหนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของไคล์


แน่นอน ทักษะปลดไอเท็มของขาดน้ำก็มีบทบาทไม่แพ้กัน


แต่ถึงอย่างนั้น กริดกลับมองไม่เห็นแสงแห่งความหวัง


‘ไอ้เวรนี่เริ่มรู้ตัวแล้ว’


ในช่วงเริ่มดวล ลีจองคอยหลีกเลี่ยงการโจมตีบริเวณไหล่และร่างกายท่อนล่างของกริดเพราะมันเข้าใจว่าตนจะถูกสะท้อนกลับ ส่งผลให้รูปแบบการเคลื่อนไหวถูกตีกรอบให้แคบลงจนกริดรับมือได้ง่ายขึ้น


แต่ดูเหมือนลีจองจะพบความผิดปรกติหลังจากผ่านไปสักพัก


ถึงจะเป็นเทวยุทธภัณฑ์ แต่ความสมบูรณ์แบบก็ไม่มีจริงในโลก


ไม่ว่าจะเป็นสามศาสตราเทพของโบสถ์รีเบคก้า หรือสี่สมบัติวิเศษจากเทพผู้พิทักษ์ของทวีปตะวันออก ทั้งหมดล้วนมีข้อจำกัด


แล้วก็เป็นไปตามคาด ลีจองไม่เกรงกลัวหัวไหล่และเกาะกางเกงของกริดอีกต่อไป


ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มแสดงท่าทีกังวลชัดเจนหลังจากถูกดูมเล่นงาน


เมื่อนำทุกสิ่งมารวมกัน ลีจองตัดสินใจเปิดฉากบุกเต็มพิกัดด้วยรอยยิ้ม


แม้จะถูกเกราะไหล่และเกราะกางเกงสะท้อน รอยยิ้มก็ยังไม่จางหาย


“ไม่แสบไม่คันเลยสักนิด!”


ลีจองเริ่มตระหนักว่า การยื้อเวลาจะทำให้ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะลมหายใจของกริดเริ่มติดขัดอย่างเห็นได้ชัด


ก่อนหน้านี้ มันคิดว่าการประวิงเวลาออกไปไม่ใช่เรื่องดีนัก บาดแผลของกริดสามารถฟื้นฟูได้เร็วเหมือนกับแมลงสาบ


แต่ในวินาทีนี้ ทั้งสองฝ่ายกำลังถูกผลของดูมเล่นงาน


“ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ข้าฝึกฝนตามคำชี้นำของพระองค์โดยไม่เคยขาดตกบกพร่อง สมรรถภาพร่างกายเข้าใกล้ความไร้เทียมทานจนไม่มีมนุษย์คนใดเทียบได้ แตกต่างจากเจ้าที่เอาแต่พึ่งพาการฟื้นฟูจากของวิเศษและพลัง”


ไม่ว่าจะเป็นพลังชีวิตหรือค่าเรี่ยวแรง ลีจองล้วนเหนือกว่ากริด


อีกฝ่ายเป็นถึง NPC พิเศษ ส่วนกริดเป็นแค่ผู้เล่น ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะตกเป็นรองเมื่อพลังชีวิตมิอาจฟื้นฟูได้ด้วยไอเท็ม ทักษะ และโพชั่น


“มาดูกันว่าใครจะล้มลงก่อน!”


ด้วยผลของดูม บาดแผลตามร่างกายจึงมิอาจฟื้นฟู


ลีจองหวังปิดฉากกริดให้เรียบร้อยในช่วงเวลานี้


หากดวลกันในสภาพต่างฝ่ายต่างไม่สามารถฮีล มันมั่นใจว่ากริดจะเป็นฝ่ายล้มลงไปก่อน


ลีจองกลั้นหายใจพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความเร็วสูงจนเกิดภาพตกค้างอันงดงามคล้ายขนแพนหางของฟินิกซ์


เพียงพริบตา พายุหมัดเท้าถาโถมใส่กริดจากทุกทิศทาง


คำว่า ‘แพ้แล้ว’ พลันผุดขึ้นในจิตใต้สำนึกของกริด


แต่ก็เพียงชั่วครู่


“เขตแดนพายุเพลิงเทพ”


เขตแดนพายุเพลิงเทพมาพร้อมเอฟเฟคมากมาย


หนึ่งในนั้นคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์


<เพลิงศักดิ์สิทธิ์>

ทำการปลดปล่อยเปลวเพลิงจากหัวใจดวงที่เก้าของฟินิกซ์แดงเพื่อสร้างพายุเพลิงเทพ

พายุจะปกคลุมรัศมีสองร้อยเมตรรอบตัวผู้ร่าย เพิ่มผลการรักษาของพวกเดียวกันภายในรัศมี (ยกเว้นอันเดดและเผ่าอสูร) รวมถึงตัวผู้ร่าย 20%

ลดผลการรักษาของศัตรูลง 50% โดยมิอาจต้านทาน

เมื่อเป้าหมายที่ถูกลดทอนผลการรักษาพยายามฟื้นฟูพลังชีวิต เอฟเฟค ‘โทสะเทพแห่งเพลิง’ จะแสดงผล สร้างความเสียหาย 15,000 หน่วยแบบคงที่พร้อมกับมีโอกาสทำให้เกิดผลย้อนกลับการรักษา

หากเผ่าพันธุ์ของเป้าหมายเป็นอันเดดหรือเผ่าอสูร ความเสียหายจากพายุเพลิงจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ในความเป็นจริง ทักษะชนิดนี้ไม่สามารถสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อศัตรู เว้นเสียแต่เป้าหมายจะเป็นอันเดดหรืออสูร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลีจองซึ่งเป็น NPC สุดพิเศษ ถึงจะนับรวมความเสียหายจาก ‘เจตจำนงแห่งไฟ’ ที่คำนวณความแรงตามค่าพลังจิตของผู้ร่ายเข้าไปด้วยก็ตาม


ทว่า ลีจองกำลังถูกสาปด้วยดูม


ก่อนหน้านี้ กริดไม่กล้าใช้ปราณดาบอนันต์เพราะกลัวว่าลีจองจะดูดซับเข้าไปเหมือนที่ทำกับสายฟ้าของไคล์ ชายหนุ่มจึงได้ทำเพียงโจมตีตอบโต้ด้วยวิชาดาบไม่ผสาน และผลลัพธ์คือ อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บไม่มากนัก


จากมุมมองของกริด คำสาปดูมของดราเชี่ยนกำลังมอบโอกาสทอง


“อ๊ากกกกก!”


เป็นอย่างที่คิด


เพลิงศักดิ์สิทธิ์สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อลีจองในร่างอันเดด


ลีจองซึ่งไม่เคยสูญเสียความสุขุมแม้แต่วินาทีเดียว ปัจจุบันกำลังแหกปากโหยหวนอย่างทุรนทุราย


“รีบตายไปสักที ฉันจะได้กลับไปล่ามันต่อ”


“เจ้า…! เจ้า!! อว๊ากกกก!!”


ในสภาพกระเสือกกระสนดิ้นรน ผิวหนังของลีจองเริ่มละลายและสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัส


แต่ถึงอย่างนั้น มันยังรวบรวมสติและกัดฟันอดทน พุ่งโจมตีใส่กริด


มันตระหนักว่าชีวิตของตนกำลังจบลงในอีกไม่ช้า จึงต้องเร่งมือฆ่ากริดให้ได้ก่อนหน้านั้น


แต่ปัญหาคือ กริดเองก็สั่งสมระดับตัวตนเหนือมนุษย์มาไม่น้อย


“มายา. ชุนโป.”


การฆ่าเหนือมนุษย์ที่สามารถใช้ชุนโปได้ตามใจนึกย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย


“นี่เจ้า! คิดจะเอาแต่หนีหรือ? ไม่มีศักดิ์ศรีของนักรบเลยรึไง!”


เสียงตะโกนโหวกเหวกของลีจองดังกังวานท่ามกลางเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชนอย่างร้อนแรง


ตัวมันซึ่งมิอาจไล่ตามกริดที่รัวชุนโปได้ทัน เริ่มถูกไฟศักดิ์สิทธิ์แผดเผาจนร่างกายค่อย ๆ สลายเป็นเถ้าถ่าน


[ท่านชนะการดวลกับหนึ่งใน ‘สามยอดนักรบ’ ที่เทพสงครามโปรดปราน!]


[ท่านได้รับรางวัลตอบจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่!]




[เลเวลอัป!]


[เลเวลอัป!]


ช่างน่าขัน


กริดเอาชนะลีจองได้เพราะคำสาปดูมของดราเชี่ยน


ชายหนุ่มไม่มัวดื่มด่ำกับความสุขที่เกิดจากผลลัพธ์อันคาดไม่ถึง


กริดมองลงไปยังสนามรบเบื้องล่างพร้อมกับเริ่มรำดาบผสานห้าชนิด


เป้าหมายคือดราเชี่ยนบนพื้นดิน


ชายหนุ่มวางแผนถ่วงเวลาดราเชี่ยนตามลำพังจนกว่าผลคำสาปดูมจะหมดลง ไม่สนว่าจะต้องแลกมาด้วยชีวิตหรือไม่


ขณะเดียวกัน บนพื้นดิน


“เธอต้องร่วมมือกับฉัน”


บราฮัมเชื่อว่า หากผนวกปัญญาและความรู้ของตัวเองเข้ากับเนตรมองทะลุของเมอร์เซเดส พวกตนอาจพบหนทางในการขจัดดูม


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,830
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00