จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,356



นอกจากสันตะปาปา ดาเมี่ยนยังเป็นอัครสาวกแห่งเทพธิดา


หรือกล่าวได้ว่า มันคือมนุษย์ที่รีเบคก้าเลือก


แต่ใครจะไปคาดคิดว่า เทวทูตที่คอยรับใช้เทพธิดารีเบคก้าอย่างซื่อสัตย์จะแทงหัวใจและตัดคอสันตะปาปาของศาสนจักรตัวเอง


ใบหน้าดาเมี่ยนเผยความสับสนชัดเจน


“ดาเมี่ยน!”


ร่างดาเมี่ยนทิ้งดิ่งลงพื้นพร้อมกับกลายเป็นละอองแสง


ดวงตากริดพลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อแขนทั้งสองข้างที่พยายามคว้าตัวดาเมี่ยน พบเพียงความว่างเปล่า


“ไม่ใช่แค่เซราทุลที่ต้องการช่วยดราเชี่ยน แต่เป็นทั้งสวรรค์?”


เทวทูตคือสิ่งที่รีเบคก้า เทพธิดาแห่งแสง สร้างขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นพลเมืองของสวรรค์ พวกมันแตกต่างจากสาวกเทพสงครามที่เป็นเบี้ยของเซราทุลโดยสิ้นเชิง


การลงมือของเทวทูตย่อมหมายถึงเจตจำนงของสวรรค์


รูม่านตาสีทองของพวกมัน อาจดูงดงามและน่าเกรงขามในช่วงแรก แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด ภายในนั้นกลับปราศจากความเมตตาและเห็นอกเห็นใจ แม้แต่ดวงตาของจอมอสูรก็ยังเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากกว่า


วาบ


กริดพลันเย็นสันหลังเมื่อเผชิญหน้ากับเทวทูตที่มิอาจคาดเดาความคิด


หนึ่งในเทวทูตพล่ามถ้อยคำเหลวไหล


“อย่าริอ่านตั้งคำถามกับสวรรค์เด็ดขาด คำถามคือบ่อเกิดของพิษร้ายที่ชื่อว่าความสงสัย นั่นจะทำให้จิตใจอ่อนไหวจนหลงเชื่อในสิ่งนอกรีต”


ช่างน่าขัน ถ้อยคำเหลวไหลดังกล่าวคือสิ่งที่เขียนไว้จริงในพระคัมภีร์


“ในเมื่อสาวกเทพสงครามของเซราทุลคอยขัดขวางมนุษย์ที่พยายามฆ่าดราเชี่ยน และเทวทูตลงมือสังหารสันตะปาปาที่พยายามช่วยเหลือมนุษย์ เหตุการณ์อันผิดแผกเหล่านี้ยังไม่เพียงพอจะให้ตั้งคำถามอีกหรือ”


“เหล่าทวยเทพห่วงใยมนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้ การที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่คือเครื่องพิสูจน์ ดังนั้น การตั้งคำถามต่อเทพถือเป็นบาป”


“จะบอกว่าเทวทูตช่วยดราเชี่ยนเพื่อมนุษย์?”


“การขัดขวางพวกเจ้าไม่ได้แปลว่าต้องช่วยเหลือจอมอสูรเสมอไป ช่างโง่เขลาและไร้วิสัยทัศน์เสียจริง… การปรักปรำพวกข้าต่างหากที่เป็นบาปร้ายแรง”


“จะบอกว่าเทวทูตไม่ได้ช่วยดราเชี่ยน?”


ใจจริง กริดไม่อยากลากบทสนทนาออกไปนานนัก


กระทั่งในตอนนี้ ดราเชี่ยนกำลังอาละวาดเข่นฆ่าผู้คนมากมาย สมาชิกโอเวอร์เกียร์พยายามตรึงสถานการณ์อย่างยากลำบาก เสียงครวญครางดังมาจากทุกสารทิศในทุกวินาที


“ถ้าอย่างนั้น เทวทูตจะช่วยพวกเรากำจัดดราเชี่ยนสินะ? ในเมื่อธรรมชาติของสวรรค์คือการลงโทษจอมอสูร”


กริดถามเข้าประเด็น


เป็นการชักนำบทสนทนาเพื่อมิให้เทวทูตยอกย้อนด้วยถ้อยคำกำกวม


“…”


“…”


เทวทูตต่างเงียบงัน


นับตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนที่คุยกับกริด สีหน้าเทวทูตทั้งสองมีเพียงความเย็นชาและไร้อารมณ์


แต่ในวินาทีนี้ เศษเสี้ยวอารมณ์แรกเริ่มปรากฏ


คิ้วพวกมันขยับเล็กน้อย


เป็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยากจะมีใครสังเกตเห็น แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถกริด


น้อยคนนักจะมีค่าวิสัยทัศน์สูงเท่าราชาโอเวอร์เกียร์


กริดเดาว่า คำพูดถัดไปของเทวทูตคงเหลวไหลไม่ต่างจากเดิม


“หน้าที่จัดการอสูรเป็นของเรา พวกเจ้าเชิญกลับไปได้”


“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่เคยจัดการจอมอสูร”


“นั่นเป็นเพียงทางเลือกของพวกเจ้า แต่เป็นหน้าที่หลักของพวกข้า”


“มนุษย์ไม่เคยเห็นสวรรค์ลงมือกับจอมอสูรเลยสักครั้ง แล้วทำไมตอนนี้ถึงนึกอยากทำหน้าที่? มีเหตุผลอะไรที่ต้องเพ่งเล็งดราเชี่ยนเป็นพิเศษ?”


“เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่รู้หรือ… ดราเชี่ยนแข็งแกร่งกว่าจอมอสูรตนใดที่มนุษย์เคยเผชิญ หากปล่อยให้พวกเจ้าจัดการกันเอง เกรงว่าความเสียหายอาจลุกลามเป็นวงกว้าง พวกข้าจึงต้องลงมือ”


“ถ้ากังวลเรื่องความสูญเสีย แล้วทำไมต้องฆ่าดาเมี่ยน?”


“อย่าพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา”


“เปลี่ยนตรงไหน? ฉันกำลังพูดเรื่องเดียวกัน เทวทูตไม่มีเหตุผลให้ต้องฆ่าดาเมี่ยนเลยสักนิด ทำไมถึงอ้างว่าดาเมี่ยนทำผิดกฎสวรรค์? นั่นคือสิ่งที่พวกเรากำลังสงสัย หรือเทวทูตไม่อยากให้ดาเมี่ยนมีส่วนร่วมในการปราบจอมอสูร?”


“ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ข้าก็ไม่มีหน้าที่อธิบายให้เจ้าฟัง”


“แปลว่า… มีเหตุผลที่สวรรค์ต้องฆ่าดาเมี่ยนสินะ”


“…”


“ดูจากท่าทีตอบสนอง ทางนี้คงไม่ได้คิดไปเอง… โชคดีที่ดาเมี่ยนปรากฏตัว ไม่อย่างนั้นพวกเราคงถูกเทวทูตแทงข้างหลังแน่… ใช่ไหม?”


“…”


คิ้วอันหมดจดสมบูรณ์แบบของเทวทูตที่ราวกับถูกตกแต่งรักษาเป็นอย่างดี เริ่มขยับอีกครั้งอย่างเห็นได้ชัด


เทวทูตเริ่มตระหนักว่า การคุยกับกริดรังแต่จะเกิดผลเสีย


หลังจากสบตากัน สองเทวทูตจ้องลงไปยังพื้นดิน


เบื้องล่าง ซากศพซ้อนทับเป็นภูเขา โลหิตไหลรวมกันเป็นลำธาร


แถมยังคละคลุ้งไปด้วยความแค้น คำสาป และกลิ่นเหม็นสุดพรรณนา


หลังจากกวาดตาไปรอบสนามรบที่ไม่ต่างจากนรกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เทวทูตซึ่งมองเห็นนักบวชรีเบคก้า ส่งเสียงเรียก


“เหล่าพี่น้องที่รับใช้เทพธิดาแห่งแสงเอ๋ย…”


“พวกเจ้าที่ฝืนต่อกรกับอสูรชั่วร้ายด้วยความอ่อนแอ จงนำทางกลุ่มมนุษย์โง่เขลาออกจากสนามรบซึ่งเต็มไปด้วยความตายแห่งนี้”


มันกำลังบอกให้ทุกคนหยุด พลางเหยียดหยันทำนองว่า เหตุใดพวกเจ้าต้องฝืนทำในสิ่งโง่เขลาอย่างการสู้กับศัตรูที่ไม่มีวันชนะ และเหตุใดถึงอยากตายเยี่ยงสุนัขอยู่ที่นี่


“…”


ตามพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ เทวทูตคือตัวตนอันแสนบริสุทธิ์


พระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่า เหล่าเทวทูตมิได้ถูกครอบงำด้วยอารมณ์เหมือนกับมนุษย์ จึงเป็นตัวตนด้านดีที่ไม่ปรากฏความมุ่งร้ายในจิตใจ


นั่นคือสิ่งที่เหล่านักบวชได้ศึกษา


แต่เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เมื่อได้เห็นเทวทูตฆ่าคนอย่างไร้หัวใจ ความศรัทธาจากก้นบึ้งเริ่มสั่นคลอน


สันตะปาปาดาเมี่ยนน้อมรับคำสั่งสอนของเทพธิดาแห่งแสงอย่างเคร่งครัด พยายามปราบมารร้ายที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติ แต่สุดท้ายกลับเทวทูตพรากชีวิตอย่างไม่กะพริบตา


ตัวตนที่ไร้อารมณ์จะต้องเป็นคนดีเสมอไปหรือ?


และถ้าปราศจากอารมณ์ พวกเขาจะมอบความรักด้วยวิธีใด?


คำถามคือบ่อเกิดของพิษร้ายที่ชื่อว่า ‘ความสงสัย’ …


คนที่สงสัยในพระองค์ถือเป็นพวกนอกรีต…


คำสอนของเทพธิดาดังก้องในหัวเหล่านักบวชหลายตลบ


บรรดานักบวชเริ่มฉุกคิดไว้ว่า พวกตนกำลังเกิดคำถาม และกำลังเสื่อมความศรัทธาในตัวเทพธิดาแห่งแสงทีละนิด


“อะ… พระองค์ได้โปรดอภัยให้ด้วย!”


ห้ามสงสัยโดยเด็ดขาด


หากความศรัทธาสั่นคลอนแม้เพียงเล็กน้อย ตนจะกลายเป็นพวกนอกรีตทันที


นักบวชหนุ่มสาวพลันคุกเข่าลงพร้อมกับสวดวิงวอน


แต่ไม่ใช่กับนักบวชอีกสิบห้าคนในชุดสีสันฉูดฉาด


นักบวชอาวุโสผู้รับใช้เทพธิดามาอย่างยาวนาน พวกมันหาได้หวาดกลัวต่อความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นในใจ


เพียงเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ


“ความสงสัยมิใช่พิษร้าย”


นักบวชอาวุโสคนหนึ่งที่เสื้อผ้าเปรอะเลือดจนชุ่ม ตะโกนเสียงดังฟังชัด


เพื่อให้แน่ใจว่า เสียงของตนจะไม่ถูกกลบโดยเสียงสนามรบ


คล้ายกับพยายามดึงสติของนักบวชทุกคนให้ตื่นขึ้นมาเผชิญความจริง


“ในอดีต พวกเราเคยประจักษ์ข้อเสียของ ‘การไม่ตั้งคำถาม’ มาแล้ว เมื่อครั้งที่อดีตสันตะปาปาเดรวิโก้กระทำเรื่องชั่วช้า ไม่มีนักบวชอาวุโสคนใดกล้าตั้งคำถาม สิ่งนั้นกลายเป็นการเพิกเฉยต่อบาป เป็นบ่อเกิดของปัญหามากมาย”


“พวกเราจะไม่กระทำผิดซ้ำเดิมเด็ดขาด การตั้งคำถามต่างหากที่ช่วยให้พวกเราหลุดพ้นจากบาปได้อย่างแท้จริง”


“เทวทูต! การสังหารสันตะปาปาเป็นประสงค์ของเทพธิดาจริงหรือ?”


“ทั้งที่พระองค์บอกให้พวกเจ้าห้ามสงสัย แต่กลับยังทำในสิ่งตรงกันข้าม… พวกเจ้ามันนอกรีต”


เทวทูตสองตนยกหอกที่เสียบหัวใจและตัดคอดาเมี่ยนขึ้น


บริเวณปลายแหลมที่โปร่งใสกำลังถูกย้อมด้วยเลือดแดงฉาน บอกเป็นนัยว่าชะตากรรมของนักบวชอาวุโสเองก็ไม่ต่างกัน


บรรดานักบวชหนุ่มสาวที่พยายามสลัดความสงสัย อดไม่ได้ที่จะผุดคำถามเดิมในใจอีกครั้ง


เทวทูตคือผู้ส่งสารแห่งเทพ ควรเป็นที่รักและเทิดทูนอย่างสูงสุด


แล้วเหตุใดพวกตนถึงกำลังหวาดกลัว?


ท่ามกลางสถานการณ์ที่ต้องสั่นกลัวต่อพลังของเทวทูต เหล่านักบวชเริ่มพบความไม่สมเหตุสมผล คล้ายกับความศรัทธาตลอดชีวิตของพวกตนถูกปฏิเสธ


พรึบ


สองเทวทูตสยายปีกสีขาวพลางโปรยขนนกลงสู่พื้น


ทันใดนั้น


“…!”


ดราเชี่ยนชะงักการเคลื่อนไหวกะทันหัน เจตนาในการเหวี่ยงกำปั้นและปลดปล่อยคำสาปหยุดลงทันที


ในจังหวะดังกล่าว คริสฉวยโอกาสใช้ดาบพันชั่งฟันใส่ศีรษะดราเชี่ยนจนหน้าหันไปอีกทาง แต่จอมอสูรกลับยังเอาแต่เพ่งมองขนนกสีขาวบนอากาศด้วยสายตาเหม่อลอย


“ปีก… สีขาว…”


ในความทรงจำที่ไม่ทราบที่มา ปีกของตนก็มีสีขาวแบบเดียวกัน


เป็นปีกอันงดงามและสูงสง่า แตกต่างจากปีกสีดำอันชั่วร้ายและน่ากลัวในปัจจุบันลิบลับ


“ข…ข้า!”


ด้วยสีหน้าเจ็บปวด ดราเชี่ยนใช้สองมือที่เต็มไปด้วยเลือดเนื้อของมนุษย์กุมศีรษะตัวเอง


ปีกสีดำถูกสยายออก ปลดปล่อยขนนกจำนวนมากที่แปรสภาพกลายเป็นนักยักษ์ในภายหลัง


อย่างไรก็ตาม อาจเป็นเพราะผู้บงการกำลังสับสนว้าวุ่น บรรดานกประหลาดจึงเคลื่อนไหวส่งเดช ปราศจากทิศทางแน่ชัด


สีหน้าสองเทวทูตพลันแปรเปลี่ยนอย่างชัดเจน


พวกมันกำลังเผยความกระวนกระวาย


“ข้าแต่พระองค์”


“ได้โปรดให้ข้าหยิบยืมพลังของท่านด้วย”


เมื่อจบบทสวดสั้น ๆ ผืนนภาสีแดงฉานเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยสายฟ้า


หอกศักดิ์สิทธิ์ในมือสองเทวทูตเริ่มส่องแสง


ยิ่งเวลาผ่านไป แสงสว่างก็ยิ่งทวีความเจิดจ้า


หอกสองเล่มค่อย ๆ เปล่งแสงเข้มข้นจนโลกทั้งใบถูกย้อมด้วยสีขาว


แต่ในสายตามนุษย์เบื้องล่าง ภาพดังกล่าวไม่มีกลิ่นอายความศักดิ์สิทธิ์เลยสักนิด


จนกระทั่ง แสงสีขาวสว่างเจิดจ้าจนไม่มีใครกล้าแหงนหน้าขึ้นไปมอง


“ข้าจักลงทัณฑ์พวกนอกรีต”


เมื่อเทวทูตยืนยันว่ามนุษย์ทุกคนก้มศีรษะลง พวกมันเตรียมเหวี่ยงหอกโจมตี


เส้นผมที่เคยสีทอง เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนคล้ายแสง สิ่งนี้คือผลข้างเคียงของพลัง ‘ร่างสีขาว’ เหมือนกับบุตรีแห่งรีเบคก้า


เนื่องจากมีอายุขัยเป็นอนันต์ พวกมันจึงไม่ต้องกังวลผลกระทบ


เพียงพริบตา แสงอันเจิดจ้าปกคลุมสนามรบทุกซอกมุมอย่างท่วมท้น


เป้าหมายการโจมตีมิใช่ดราเชี่ยน หากแต่เป็นทุกสิ่งมีชีวิตโดยรอบ


‘ไอ้ระยำ!’


พวกมันต้องการปิดบังอะไรกันแน่?


เหตุใดถึงต้องกวาดล้างผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด?


กริดที่ไม่เข้าใจการกระทำของเทวทูต เตรียมยิงดาบสลายทัพสองแสนขึ้นไปสลายการโจมตีดังกล่าว


แน่นอน ผลข้างเคียงอาจต้องแลกมาด้วยชีวิตของตน แต่ถ้ารักษากองทัพพันธมิตรนับหมื่นไว้ได้ นั่นถือว่าคุ้มแสนคุ้ม


‘คนที่มีชีวิตรอด… พวกเขาจะเป็นพลังให้เราในอนาคต’


กริดเตรียมปลดปล่อยวิชาดาบครั้งสุดท้ายของตน


กล้ามเนื้อที่ขยายตัวจนถึงขีดจำกัดเริ่มปริแตก แต่ชายหนุ่มยังคงกัดฟันอดทนและไม่หยุดยั้งการกระทำ


“ดาบสลายทัพ…”


กริดเริ่มวางแผนว่าตนต้องทำอะไรต่อ


ก่อนอื่น หลังจากคืนชีพก็ต้องมุ่งหน้ามาที่นี่ จัดการเทวทูตระยำสองตนและรีบปิดฉากการล่าดราเชี่ยนให้จบโดยเร็ว


“สอง…”


ทว่า กริดที่เตรียมยิงทักษะพลันชะงักมือ


ประสาทสัมผัสขณะอยู่ในโหมด ‘โลกแห่งเหนือมนุษย์ที่แท้จริง’ ได้ยับยั้งพฤติกรรมของชายหนุ่มไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง


ท่ามกลางโลกซึ่งเกือบหยุดนิ่ง กริดเริ่มเข้าใจสาเหตุที่ตนต้องหยุด


มหาโจรราตรีสีชาด


บุคคลที่ไม่มีใครพบตัวนับตั้งแต่เริ่มสงคราม กำลังวิ่งผ่ากลางสนามรบด้วยความเร็วสูงจนคนธรรมยากจะรับรู้


มหาโจรกางผ้าผืนใหญ่ออก


ในตอนแรก กริดคิดว่านั่นอาจเป็นผ้าสักชนิดของครูเกอร์ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เมื่อเพ่งมองดูให้ดี ชายหนุ่มพบว่าผ้าผืนดังกล่าวคือ ‘โลกจินตภาพ’ ของมหาโจรราตรีสีชาด


เป็นโลกซึ่งเกิดจากความปรารถนาที่จะขโมยทุกสิ่ง


“ช่วงชิงอาณาจักร”


ไม่ว่าจะทหารหรืออัศวินของทั้งสองอาณาจักร กลุ่มนักบวชที่กำลังแตกตื่น สมาชิกโอเวอร์เกียร์ที่ถูกขังในน้ำแข็ง บราฮัมผู้กำลังจดจ่ออยู่กับการคงสภาพมิให้น้ำแข็งแตก จักรพรรดินีบาซาร่าและดยุคที่ยืนด้านข้าง


ทุกคนในสนามรบ รวมถึงกริด ล้วนถูกดูดเข้าไปในโลกจินตภาพของมหาโจรราตรีสีชาด


ขณะแสงสว่างจากพลังของสองเทวทูตกำลังพุ่งลงมายังกึ่งกลางสนามรบ สิ่งมีชีวิตด้านล่างหลงเหลือเพียงดราเชี่ยนกับ—


“กรี๊ดดดด!”


“อ๊ากกกก”


กับโรสและสาวกยาธานที่เพิ่งมาถึงสนามรบ



______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,833
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. สนุกมากครับ ขอบคุณแอดมินที่แปลให้ได้อ่าน 🙏🙏

    ReplyDelete
  2. ในอีกเรื่องนึง. พระเอกต้องสู้กับทั้งเทพบนสวรรค์ กับจอมอสูรจากนรก

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00