จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,359



[นานมาแล้ว หญิงสาวคนหนึ่งเริ่มต่อสู้เพื่อเทพที่ตนศรัทธา]


[สำหรับเธอ เทพของตนทั้งสง่างามและเลอค่ายิ่งกว่าสิ่งใดในโลก]


[เพื่อปกป้องเกียรติยศขององค์เทพ หญิงสาวแผดเผาอายุขัยตัวเองท่ามกลางเปลวเพลิงสีขาวบริสุทธิ์ เธอเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่าตนเกิดมาเพื่อกระทำสิ่งนี้]


[หญิงสาวถูกปลูกฝังตั้งแต่ยังเล็ก จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อว่านั่นคือความจริง]


[ยิ่งเชื่อมาก เธอก็ยิ่งทุกข์ทรมาน]


[แม้จะเอาแต่ร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวเพราะตระหนักถึงอายุขัยที่ถดถอย แต่เธอก็ไม่เคยเคลือบแคลงในเทพของตน]


“จนกระทั่งฉันได้พบนาย”


[จนกระทั่งเธอได้พบกับ ‘เขา’]


[หญิงสาวได้ประจักษ์ ‘เทพ’ เป็นครั้งแรกผ่านภาพความพยายามในการสยบเพลิงสีขาวของชายหนุ่ม]


[‘เขา’ ปลดปล่อยเธอจากความทนทุกข์และช่วยมอบชีวิตใหม่ นั่นคือวินาทีแรกที่หญิงสาวได้ประจักษ์คำว่า ‘เทพมาโปรด’]


[‘เขา’ คนนั้นกลายเป็นเทพในใจเธอทันที]


“…”


เพื่อช่วยอิสซาเบลที่กำลังจะตาย กริดใช้แก่นของเทพธิดาเพื่อผนึกหอกไลฟาเอล


ขณะยืนอ่านเนื้อหาของมหากาพย์และหวนนึกถึงอดีต ชายหนุ่มจ้องหน้าอิสซาเบลที่อยู่ในท่าคุกเข่าคำนับ


ผิวพรรณอันเปล่งปลั่งของหญิงสาวช่างงดงามราวกับนางฟ้า ไม่หลงเหลือคราบของเด็กสาวที่เคยสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัว


กริดรู้สึกอิ่มเอมใจเมื่อตระหนักว่าตนคือผู้มอบชีวิตอันสดใสให้อีกฝ่าย


แต่ทันใดนั้น มันรีบสลัดความคิดดังกล่าวทิ้ง


เทพ


ไร้สาระสิ้นดี… เรายังไม่คู่ควรในตอนนี้…


ขณะกริดพยายามสลัดความอิ่มเอมใจ สองพ่อลูกฮานซอกบงเดินเข้ามาใกล้


ด้านหลังมีทหารของทวีปตะวันออกและหน่วยฟินิกซ์แดงจำนวนหนึ่ง หลายคนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากสงครามอันดุเดือด สภาพร่างกายอิดโรยอย่างชัดเจน


แต่สำหรับซูเอ ใบหน้าอันงดงามของเธอปรากฏรอยไหม้ฉกรรจ์


นอกจากนั้น นักรบหนุ่มบางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสชนิดที่ว่า จะล้มลงและตายไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด


อย่างไรก็ตาม สายตาที่ทุกคนกำลังมองมาทางกริดกลับเปี่ยมด้วยความแน่วแน่


[นานมาแล้ว มีคนจำนวนมากเชื่อฟังคำสั่งของเทพโดยมิอาจขัดขืน]


[สำหรับพวกเขา เทพคือตัวตนที่ต้องหวาดกลัว]


[พวกเขาต้องเสียสละตัวเองเพื่อทำตามประสงค์ของเทพ โดยเชื่อว่านั่นคือหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน]


[พวกเขาถูกปลูกฝังมาเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อว่านั่นคือความจริง]


[ยิ่งเชื่อมาก พวกเขาก็ยิ่งต้องเผชิญความอัปยศอดสู]


[ทั้งที่เทพของพวกตนเอาแต่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีมนุษย์เพราะกลัวเสียหน้า แต่ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่กล้าตำหนิหรือตั้งคำถาม]


[จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับ ‘เขา’]


“ทำไมไม่รีบรักษาแผลก่อน…”


มหากาพย์คือหนึ่งในระบบสำคัญสำหรับกริด


ไม่เกินจริงไปนักหากจะกล่าวว่า ชายหนุ่มเฝ้ารอให้มหากาพย์เกิดขึ้นทุกลมหายใจ


ทว่า มันก็มิได้สำคัญมากไปกว่าชีวิตของพวกพ้อง


ขณะกริดเรียกเซฮีและใช้โพชั่นสาดใส่หน้าซูเอ


“ก่อนจะได้พบฝ่าบาท… พวกเราเคยสงสัยว่า บางทีเราอาจเป็นแค่เครื่องมือที่เกิดมาเพื่อให้เทพใช้งานอย่างทิ้งขว้าง”


ซูเอกล่าวขึงขัง


หญิงสาวยังคงไม่ลืมความสิ้นหวังและหดหู่ในวินาทีที่คันศรฟินิกซ์แดงหายไป


จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เอาแต่กังวลเกี่ยวกับบทลงโทษและคำตำหนิที่จะได้รับจากยังบัน


จนกระทั่งถูกคุมขังโดยการัม ยังบันที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นกริด ซูเอละทิ้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่


[พวกเขาได้ประจักษ์ ‘เทพ’ เป็นครั้งแรกผ่านฉากการตวัดดาบตัดกรงเหล็กของห้องขังที่สร้างโดยเจตจำนงของเทพ]


[หลังจากถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากความกลัวและทวงศักดิ์ศรีที่สูญหายไปกลับคืนมา พวกเขาได้ตระหนักถึงคำว่า ‘เทพมาโปรด’ เป็นครั้งแรก]


[‘เขา’ กลายเป็นเทพองค์ใหม่ของผู้คนเหล่านั้น]


ฮานซอกบงและลูกสาวถูกจับขังคุกเพราะมิอาจตามหาเบาะแสของผู้สร้างคันศรฟินิกซ์แดง ชะตากรรมเดียวของทั้งคู่คือการรอรับโทษประหาร


ไม่ใช่แค่สองพ่อลูก แต่ชาวบ้านอีกนับไม่ถ้วนบนทวีปตะวันออกล้วนทุกข์ทรมานจากการกดขี่อย่างไม่เป็นธรรมของยังบัน


เลวร้ายถึงขั้น ช่างตีเหล็กที่เชื่อในตัวกริด ต้องเสียชีวิตด้วยฝีมือของยังบันไปมากมาย


“…”


ขณะฟังเนื้อหาของมหากาพย์ กริดหวนนึกถึงอดีตอีกครั้ง


ชายหนุ่มหันไปจ้องใบหน้าซูเอด้วยสายตาอ่อนโยน


แม้รอยไหม้ฉกรรจ์จะบดบังความงดงาม แต่เธอกลับมีความสุขมากกว่าตอนที่ยังสวย


มหากาพย์ยังคงดำเนินต่อไป


[ผู้คนจำนวนมากเคยสูญเสียเทพที่ตนเคยศรัทธา]


[พวกเขาทำได้เพียงสวดภาวนาให้เทพองค์เก่ากลับมายังดินแดนอีกครั้ง]


[เหตุผลที่พวกเขาไม่ละทิ้งดินแดนของเทพองค์เดิม แม้จะถูกเทพจอมปลอมเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะพวกเขาเชื่อว่า เทพของตนจะหวนกลับมาช่วยเหลืออีกครั้ง]


[เหตุผลที่พวกเขาไม่ละทิ้งดินแดนของเทพองค์เดิม แม้จะถูกเทพจอมปลอมใช้ความรุนแรงอย่างโหดร้าย เพราะพวกเขากังวลว่า เทพของพวกตนที่กำลังดิ้นรนตามลำพังภายในความมืดมิด จะถูกผู้คนลืมเลือนไปตลอดกาล]


[จนกระทั่ง ‘เขา’ ได้กลายเป็นเทพองค์ใหม่ของผู้คน]


[‘เขา’ เริ่มลงทัณฑ์เทพจอมปลอมและค้นหาร่องรอยของเทพองค์ก่อน]


[‘เขา’ ประกาศอย่างกึกก้องว่า ตนขอเป็นเทพเองยังเสียดีกว่า]


“…”


ตอนนั้นกริดพูดไปเพราะความโกรธ


เมื่อชายหนุ่มเห็นยังบันชั่วช้าเอาแต่อ้างตัวว่าเป็นเทพ โทสะพลันปะทุจนตะโกนออกไปด้วยความรู้สึกที่ว่า ‘ถ้าเทพมันเฮงซวยขนาดนี้ เราขอเป็นเทพเองยังดีเสียกว่า’


การจะแก้ต่างอะไรในตอนนี้คงสายเกินไปแล้ว


และในความเป็นจริง มหากาพย์หนนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคำประกาศในอดีต


มหากาพย์มิได้ยกย่องให้กริดเป็นเทพเพราะคำประกาศเมื่อครั้งก่อน แต่เป็นผลมาจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าของผู้คนจำนวนมาก


[ดังที่กล่าวมาข้างต้น เขากลายเป็นเทพในใจผู้คนมานานแล้ว]


……



[ราชาโอเวอร์เกียร์ กริด เสร็จสิ้นการเขียนมหากาพย์บทที่สิบ!]


[เทวตำนานใหม่ถือกำเนิด!]


เทวตำนาน ระดับที่เหนือกว่าตำนาน


หากตำนานคือสิ่งที่จะส่งต่อเรื่องราวไปตลอดกาล เทวตำนานก็คือสิ่งที่จะส่งต่อความเชื่อและความศรัทธาไปตลอดกาล


แน่นอน ระดับความศรัทธาของมนุษย์ที่มีต่อกริดยังค่อนข้างเปราะบาง


น้อยคนนักจะหันมานับถือกริดเพียงเพราะเทพบนสวรรค์ถูกเปิดโปงบาป


มีแค่ไม่กี่คนที่ได้ประจักษ์พลังของกริดกับตา หรือไม่ก็ถูกกริด ‘มอบชีวิตใหม่’ จึงจะเกิดเป็นความศรัทธาอย่างแรงกล้า


หรือกล่าวได้ว่า ผู้คนในสนามรบคือกลุ่มที่เกิดความศรัทธาต่อกริดโดยตรง


อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ความศรัทธา’ จะไม่มีผลกับผู้เล่น


ไม่อย่างนั้น หากความเชื่อของผู้เล่นจำนวนมากทำให้เกิดเทพองค์ใหม่ ซาทิสฟายคงเป็นเกมที่เต็มไปด้วยเทพเดินขวักไขว่ ใครก็สามารถเป็นเทพได้ขอเพียงมีเงินทองและชื่อเสียง


[ผู้คนต่างยกย่องให้ท่านเป็น ‘เทพมนุษย์’]


[ผู้คนต่างยกย่องให้ท่านเป็น ‘เทพคุณธรรม’]


[ผู้คนต่างยกย่องให้ท่านเป็น ‘เทพสงคราม’]


ความศรัทธาที่กระจายตัวออกไปเริ่มส่งผล


บางคนยังไม่ลืมว่ากริดเป็นมนุษย์ จึงเรียกขานว่าเทพมนุษย์


บางคนสำนึกในคุณงามความดีของกริด จึงเรียกขานว่าเทพคุณธรรม


บางคนหลงใหลในพลังของกริด จึงเรียกขานว่าเทพสงคราม


และบางคนหลงใหลในฝีมือการตีเหล็ก จึงเรียกขานว่าเทพตีเหล็ก


แต่สำหรับคนส่วนใหญ่


[ผู้คนต่างยกย่องท่านให้เป็น ‘เทพโอเวอร์เกียร์’]


กริดถูกเรียกขานว่าเทพโอเวอร์เกียร์ เพราะฉายาที่โด่งดังที่สุดและเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวก็คือ ‘ราชาโอเวอร์เกียร์’


‘ด…เดี๋ยว!’


กริดพยายามปฏิเสธด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


[นี่คือจุดเริ่มต้นของเทวตำนานเทพโอเวอร์เกียร์!]


‘สมญาเทพ’ ของกริดถูกระบบเกมตั้งให้โดยไม่ไถ่ถามความสมัครใจ


“พรูด!”


บรรดาผู้เล่นที่กำลังดื่มน้ำเพื่อผ่อนคลายร่างกายอันเหนื่อยล้าจากสงคราม ต่างพากันตกตะลึงกับข้อความโลกตรงมุมสายตา


“อะ… อะ…”


ลอเอลทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยสีหน้าซีดเผือด


หลายคนนึกเสียดายว่า ทำไมถึงไม่ใช่เทพกริด หรือก็อดกริด


ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มทำเพียงเงียบงัน ตรวจสอบหน้าต่างสถานะตัวเอง


ชื่อ : กริด

เลเวล : 441

คลาส : ผู้สืบทอดแพ็กม่า, ดยุคแห่งปัญญา, มหากาพย์จอมดาบเวท

สมญานาม : ‘ผู้กลายเป็นตำนาน’ และอีก 44 สมญานาม


ไม่มีสิ่งใดแตกต่างจากค่าสถานะของผู้เล่นทั่วไป นอกจากจำนวนคลาสที่เพิ่มจากปรกติสองชนิด และสมญานามจำนวนหนึ่ง


จนกระทั่งกริดพบความผิดปรกติใต้สถานะของ ‘ราชา’


สถานะ : เทพโอเวอร์เกียร์


มีแค่ตรงนี้ที่เพิ่มเข้ามาใหม่


ข้อความดังกล่าวทำให้กริดตระหนักว่า ตนกลายเป็นเทพแล้วอย่างแน่นอน เพียงแต่ยังมิอาจสนุกสนานไปกับชีวิตอมตะหรือการใช้พลังเทพได้ตามใจนึก เนื่องจากระดับบารมีเทพยังค่อนข้างต่ำ


[* หากต้องการเพิ่มระดับบารมีเทพ ท่านต้องสร้างศาสนาและรวบรวมสาวก]


“…หืม”


เทพอยู่ในหมวดหมู่ของสถานะ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์?


น่าแปลก ครึ่งเทพอยู่ในหมวดหมู่ของเผ่าพันธุ์แน่นอน เป็นเผ่าที่สามารถพัฒนากลายเป็นเทพได้


‘เผ่าของเรายังเป็นมนุษย์เหมือนเดิม แต่มีสถานะเป็นเทพ…’


อะไรคือข้อแตกต่างระหว่างเทพโดยสถานะกับเทพโดยเผ่าพันธุ์?


‘ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงรู้คำตอบเอง… เรื่องราวในวันนี้ช่างบ้าบอสิ้นดี…’


กริดไม่ต้องการเป็นเทพเพราะไม่อยากให้ทวยเทพบนสวรรค์โกรธเคือง


แต่ก็สายไปเสียแล้ว


ในวินาทีที่กลายเป็นเทพ อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติมากมาย


ว่ากันตามตรง กริดอยากสละตำแหน่งเทพทิ้งทันที


แต่แน่นอนว่าระบบไม่เปิดช่องให้ลาออก ไม่ว่าจะปรารถนาสักเพียงใดก็ตาม


“ขอคารวะเทพโอเวอร์เกียร์”


“เงียบน่า”


กริดหันไปตำหนิพวกพ้องที่พยายามกลั้นหัวเราะขณะทำเสียงล้อเลียน


ชายหนุ่มตั้งใจอ่านรายละเอียดของระบบใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้งาน


เป็นระบบเกี่ยวกับอำนาจของเทพ จำพวกความสามารถในการส่ง ‘วิวรณ์’ ไปยังสาวก รวมถึงการแต่งตั้งผู้ส่งสารแห่งเทพ


พิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ กริดไม่สงสัยในสถานะของตนอีกต่อไป ถึงจะไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรนักเพราะแต้มสถานะทุกอย่างยังเหมือนเดิม


ซาลิเอลที่เผยสีหน้าลังเล รวบรวมความกล้าถามออกมา


“ตัวข้าคู่ควรแก่การรับใช้เทพโอเวอร์เกียร์หรือไม่เพคะ?”


นางฟ้าตัวจริงเสียงจริง…


หากเราไปไหนมาไหนกับนางฟ้า ผู้คนก็จะยิ่งเชื่อว่าเป็นเทพไปกันใหญ่…


และความสัมพันธ์ของตนกับเทพบนสวรรค์ก็จะไม่มีวันกลับมาคืนดีได้เลย


ไม่เพียงเท่านั้น มีหลายคนที่จ้องจะเล่นงานเพราะปรารถนาสมญานาม ‘ผู้สังหารเทพ’


แถมสถานะเทพยังเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของซือโหยวที่ต้องการให้กริดคงความเป็นเหนือมนุษย์ไว้ก่อน


ขณะชายหนุ่มกำลังหนักใจกับคำถาม มหาโจรราตรีสีชาดเดินเข้ามาใกล้


“ข้าเลือกได้แล้วว่าต้องการสิ่งใดจากเจ้า”


“เชิญกล่าว”


ว่ากันตามตรง มหาโจรราตรีสีชาดมีสถานะเป็นศัตรู


การจับมือกันชั่วคราวมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดดราเชี่ยนเท่านั้น


เนื่องจากต้องการยืมกำลังของอีกฝ่าย กริดจึงสัญญาว่าจะให้มหาโจรราตรีสีชาดเลือกไอเท็มใดก็ได้หนึ่งชิ้น


ชายหนุ่มจะทำอย่างไรหากอีกฝ่ายเลือก ‘ขาดน้ำ’ หรือ ‘หัตถ์เทวะ’ ?


กริดเริ่มเป็นกังวล


ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลังของมหาโจรราตรีสีชาดทำให้การล่าดราเชี่ยน (?) ประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น หลีกเลี่ยงการสูญเสียอย่างใหญ่หลวง


ชายหนุ่มเผยสีหน้าตึงเครียดขณะรอคำตอบจากอีกฝ่าย


ทันใดนั้น มหาโจรฯ เหยียดแขนออกมา


“ข้าต้องการดาบเล่มนั้น”


“ตกลง”


กริดนำดาบสั้นเฮ็กเซเทียเก็บไว้ข้างหลัง ก่อนจะดึงดาบอัสนีฯ ออกมายื่นให้มหาโจรราตรีสีชาด


แน่นอน อีกฝ่ายไม่รับดาบอัสนีฯ


กริดผงะเล็กน้อย จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นดาบมังกรเพลิง


เป็นอีกครั้งที่มหาโจรราตรีสีชาดไม่รับไว้


“ข้าหมายถึงดาบสั้นเล่มนั้น”


“…คุณมหาโจร ผมขออธิบายเรื่องราวของดาบเล่มนี้ให้ฟัง”


กริดเริ่มสาธยายยืดยาว


ชายหนุ่มถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตนกับเฮ็กเซเทียอย่างละเอียด ไปจนถึงการเสียสละของเฮ็กเซเทียที่แลกมากับการถูกจองจำในคุกนิรันดร์


ทว่า คำอธิบายทั้งหมดล้วนไร้ผล


“ข้าไม่เปลี่ยนใจ ส่งดาบเล่มนั้นมา… แต่ในเมื่อเป็นถึงดาบที่เทพสร้าง ข้าจะเพิ่มเงื่อนไขให้ก็แล้วกัน”


มหาโจรราตรีสีชาดมีทั้งพลังและทักษะล้นเหลือ การช่วงชิงดาบสั้นจากกริดไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ที่ไม่ทำเช่นนั้นเพราะว่ามันไม่อยากเป็นศัตรูกับกริด มหาโจรราตรีสีชาดตระหนักดีว่ากริดสำคัญมากเพียงใด


“ข้าจะให้เจ้าเลือกสมบัติหนึ่งอย่างจากข้าเป็นของขวัญ จริงอยู่ที่มันไม่ค่อยยุติธรรมนักเพราะเจ้าคงไม่ทราบว่าข้ามีสมบัติอะไรบ้าง แต่นี่เป็นน้ำใจหนึ่งเดียวที่ข้าพอจะหยิบยื่นให้ได้… นอกจากนั้น หากเจ้าคิดจะบุกสวรรค์เพื่อช่วยเทพเฮ็กเซเทีย ข้ายินดีให้ยืมดาบเล่มนี้ชั่วคราว”


“ขอบคุณมาก… ถ้าอย่างนั้นก็ส่งสร้อยคอเนอวาร์ธานมา”


“…อะ?”


สีหน้าจอมมหาโจรราตรีสีชาดพลันบิดเบี้ยว


ขณะเดียวกันก็นึกเสียใจที่ตนลั่นวาจาเช่นนั้นออกไป


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,836
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. "การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม" น่ะมีอยู่จริงนะปู่โจรโลหิต :)))

    ReplyDelete
    Replies
    1. วาาแต่สร้อยเนอร์วาธารมังกรคลั่ง มันทำอะไรได้เนี่ย รอดูเลยครับ

      Delete
    2. รู้สึกจะเคยบอกความสามารถของสร้อย ที่กริดต้องการคือการทำเควสเท่านั้น

      Delete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00