จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,350


นอกจาก ‘สามยอดนักรบ’ จะถูกกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสาวกเทพสงคราม พวกมันยังถูกขนานนามให้เป็น ‘สามราชา’


เหตุผลไม่ซับซ้อน พวกมันทุกคนล้วนมีพลังในระดับทำลายอาณาจักรได้ตามลำพัง หรือไม่ก็สามารถก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมาเองอย่างง่ายดาย


ไคล์เชื่อว่า หากจักรวรรดิซาฮารันตกเป็นเป้าโจมตีของสามยอดนักรบ ความมั่งคงก็ไม่ต่างอะไรกับเทียนไขท่ามกลางพายุ


“ข้าไม่เข้าใจการกระทำของเจ้า”


ลีจอง หนึ่งในสามยอดนักรบ ยังคงไม่เผยใบหน้าให้ใครเห็น


ไม่มีใครในโลกเคยเห็นใบหน้าเบื้องหลังผ้าคาดตาผืนใหญ่ซึ่งปกคลุมลงมาจนถึงจมูก ทุกคนที่เคยเห็นล้วนไม่มีชีวิตอยู่อีกแล้ว


“ไคล์ มนุษย์ผู้ถูกเทพสงครามโปรดปรานเอ๋ย… ฝ่ามือที่แข็งแกร่งดุจดังเหล็กกล้าของเจ้าเคยบีบคอมนุษย์มานับไม่ถ้วน เหตุใดถึงเข้ามาขวางทางข้าทั้งที่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเทพสงคราม”


“…”


ราวสามถึงสี่ปีก่อน ไคล์สาบานว่าจะจงรักภักดีต่อเทพสงคราม


ความรู้สึกในตอนนั้นคือของจริง


บนเกาะโบราณสถานเทพสงคราม มันเรียนรู้หลายสิ่งและได้รับพรจากเทพสงครามโดยตรงหลังจากอีกฝ่ายเกิดความโปรดปราน


ไคล์ยังไม่ลืมปาฏิหาริย์ในวินาทีที่แขนของตนงอกกลับมาใหม่


ทว่า มันมิได้จงรักภักดีอย่างหน้ามืดตามัว


ไคล์เป็นคนฉลาด จึงคลางแคลงในตัวเทพสงครามมาตลอด และเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ประสงค์ดีกับมนุษย์สักเท่าไร


อึก


ขณะเผชิญสายตาลีจอง ไคล์กลืนน้ำลายหนึ่งอึก


มันถามกลับไปด้วยสีหน้าหนักใจ


“ไม่ใช่ว่าพระองค์ถ่ายทอดวิวรณ์ผิดหรอกหรือ? ทวยเทพแข็งแกร่งได้เพราะมีมนุษย์คอยมอบความศรัทธา แล้วเหตุใดเทพสงครามจึงออกคำสั่งให้พวกเราทำร้ายมนุษย์ แทนที่จะช่วยต่อกรกับจอมอสูร”


“กล้าเคลือบแคลงเจตจำนงขององค์เทพเชียวหรือ”


ลีจองมอบคำตอบทันที แต่ก็มิได้อธิบายเหตุผลประกอบ


แน่นอน มันเองก็ไม่ทราบเจตนาแท้จริงของเทพสงคราม เพียงก้มหน้าทำตามโดยไม่คิดตั้งคำถาม ตรงข้ามกับไคล์ผู้เฉลียวฉลาดและมิได้เอาแต่เทิดทูนอย่างไร้เหตุผล ในมุมมองไคล์ พฤติกรรมงมงายของลีจองคือหนึ่งในความผิดที่คนโง่มักชอบกระทำ


“…”


ลีจองผู้เคยมีตัวตนมโหฬารในสายตาไคล์ เริ่มหดลีบลงทีละนิด


ความกลัวในตอนแรกเริ่มจางหาย พฤติกรรมอันโง่เขลาของลีจองทำให้ไคล์ผ่อนคลายความกังวล


“…ไอ้โง่”


ไคล์มีความทระนงตนสูง ไม่ใช่เพียงด้านฝีมือ แต่รวมถึงสติปัญญาในการเอาชีวิตรอด หลังจากถูกฮวนเดอร์อบรมสั่งสอนจนเติบโตมาเพียบพร้อมทั้งปัญญาและความสามารถ ไคล์ไม่ยอมศิโรราบต่อผู้ใดเว้นเสียแต่อีกฝ่ายจะมีทั้งมันสมองและความแข็งแกร่งมากกว่าตน


เช่นกริดและบราฮัม


“เจ้าหมายถึงข้า?”


ลีจองแทบไม่เชื่อหู


ไอ้โง่…?


ในฐานะสามยอดนักรบ มันไม่คุ้นชินกับคำวิจารณ์เช่นนี้สักเท่าไร


“ไม่เห็นหรือว่าคนอื่นกำลังยุ่งอยู่ เจ้าเป็นคนเดียวที่ว่างฟังข้าพล่าม คำกล่าวเมื่อครู่จะหมายถึงใครได้อีกถ้าไม่ใช่เจ้า”


เหตุการณ์ในสนามรบใหญ่กำลังดำเนินไปด้วยจังหวะรวบรัด


มวลมนุษย์ร่วมแรงร่วมใจเป็นหนึ่งเพื่อเปิดศึกเต็มรูปแบบกับดราเชี่ยน


ขณะดราเชี่ยนบินขึ้นฟ้าพร้อมกับสยายปีก ขนนกสีดำของมันพลันปกคลุมน่านฟ้าเบื้องบนจนเกิดความวินาศเป็นวงกว้าง


ไม่เพียงเท่านั้น ศรนับหมื่นดอกของมนุษย์ซึ่งถูกยิงขึ้นท้องฟ้า ไม่ใช่ทั้งหมดที่เล็งทำร้ายดราเชี่ยน แต่บางส่วนกลับตกใส่พวกเดียวกันเอง


ยิ่งเวลาผ่านไป ผู้ต้องสาปก็ยิ่งเพิ่มจำนวน


โกเลมซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันวังหลวงเริ่มเคลื่อนไหว จำนวนพวกมันมีมากกว่าหนึ่งพันตน ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า โกเลมทั้งหมดของทุกหอคอยในจักรวรรดิถูกส่งเข้าร่วมสงครามนี้โดยไม่หวงแหน


โกเลมที่สำคัญในศึกปราบดราเชี่ยนคือธาตุดิน


พวกมันอาจมีเกรดและค่าสถานะต่ำสุดจากบรรดาทุกธาตุ แต่จอมเวทและนักบวชของจักรวรรดิได้ยืนยันแล้วว่า ดราเชี่ยนแพ้ทางธาตุดินมากที่สุด


“ศาสตราศักดิ์สิทธิ์!”


“อาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์!”


ร่างกายอันเปรอะเปื้อนของโกเลมถูกปกคลุมด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์


เช่นเดียวกันกับทหารด้านล่างซึ่งถูกบัฟชุดเกราะและถุงมือ ทุกคนกรูเข้าไปล้อมดราเชี่ยนในรูปขบวนวงกลม


“โบยบิน!”


เหล่าพลแม่นธนูและจิสึกะ เหล่าจอมเวทจักรวรรดิและลาเอลล่ากับเซ็ดนอส ทีมจู่โจมระยะไกลกำลังทำงานของตนอย่างแข็งขัน กระหน่ำยิงใส่จากมุมสูงมีเพื่อกดดันให้ดราเชี่ยนร่อนลงมาด้านล่าง


เป็นหนแรกที่ดราเชี่ยนตัดสินใจกางบาเรีย เวทมืดก่อตัวเป็นทรงกลมล้อมรอบจอมอสูรไว้ทุกทิศ หวังหยุดการโจมตีของจิสึกะและจอมเวท


แม้จะยังไม่เห็นอีกฝ่ายบาดเจ็บ แต่สมาชิกโอเวอร์เกียร์ยังฮึกเหิม


‘อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่า การโจมตีของพวกเราได้ผล’


ในตอนแรก เมื่อเห็นลูกศรและเวทมนตร์ของทหารจักรวรรดิแทบไม่ระคายเคืองผิวหนังดราเชี่ยน แถมหลอดพลังชีวิตก็แทบไม่กระดิก สมาชิกโอเวอร์เกียร์เริ่มเกิดความกังวลใจ


แต่โชคดีที่ผิวหนังของดราเชี่ยนยังพอมีหนทางเจาะทะลวง


การถูกคุกคามจนต้องกางบาเรียป้องกันคือเครื่องพิสูจน์


แต่ปัญหาคือหลังจากนี้


“…!”


“…!”


ดราเชี่ยนมิได้หยุดการโจมตีเพียงเพราะใช้เวทป้องกันตัว


ปีกสีดำขยายใหญ่จนเลยขอบบาเรียทรงกลม ตามด้วยการพัดกระพือขนนกสีดำลงมาทำร้ายทหารด้านล่างอย่างต่อเนื่อง


มนุษย์บนพื้นต่างบาดเจ็บหรือไม่ก็ล้มตาย


“อึก!”


แวนเนอร์และโทบันพลันตกตะลึงขณะยกโล่ป้องกัน


ขนนกสีดำซึ่งปะทะเข้ากับโล่ แปรสภาพกลายเป็นนกตัวใหญ่พร้อมกับอ้าปากกว้าง ดวงตาปูดโปนจนเกือบถลน ฟันนับร้อยซี่ที่เรียงรายตามจะงอยปากยาวเรียวจนดูเหมือนใบเลื่อย ชวนให้รู้สึกขนหัวลุกอย่างบอกไม่ถูก


“มันเปลี่ยนรูปแบบการโจมตี! เล็งทำลายขนนก!”


โทบันตะโกนพลางทุบค้อนศึกใส่จะงอยปากนกตัวที่พยายามจะกลืนตน


จนกระทั่งเมื่อครู่ ขนนกของดราเชี่ยนมีอันตรายเพียงสองสิ่ง อย่างแรกคือความแหลมคมซึ่งสามารถคร่าชีวิตทหาร และอย่างที่สองคือคำสาปซึ่งทำให้ทหารอ่อนแอและโจมตีกันเอง


แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว


เมื่อขนนกสามารถแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดแห่งความตาย ลำพังการป้องกันก็ไม่เพียงพออีกต่อไป มีแต่ต้องทำลายทิ้งเท่านั้น ภัยพิบัติของดราเชี่ยนจะได้ไม่ลุกลามเป็นวงกว้าง


“ยิง!”


แม่ทัพจักรวรรดิเริ่มตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน แต่นั่นก็ทำให้ความเร็วในการยิงของพลแม่นธนูเพิ่มขึ้น


เมื่อเป้าหมายการยิงเปลี่ยนจากตัวดราเชี่ยนไปเป็นขนนก ด้วยความเก่งกาจของทหาร อันตรายจากดราเชี่ยนจึงไม่ขยายวงออกไป


ในวินาทีที่บททดสอบเริ่มยากขึ้น เหล่าทหารสามัญได้แสดงให้เห็นถึงคุณประโยชน์ของพวกตน


เป็นไปตามคำกล่าวที่ว่า ไม่มีใครไร้ค่าบนโลกใบนี้


“ย๊ากกกก!”


บรรดาทหารต่างตะโกนอย่างฮึกเหิมเมื่อพบว่าตนสามารถทำประโยชน์ให้จักรวรรดิ แม้นฝ่ามือจะเลือดไหลไม่หยุด แต่ทุกคนยังคงกระหน่ำยิงขนนกบนท้องฟ้าโดยไม่สนใจความเจ็บปวด


อัศวินลำดับหนึ่งถึงสี่ซึ่งเคยหดหู่หลังจากเห็นพวกพ้องถูกฆ่าตาย ไฟแห่งการต่อสู้เริ่มกลับมาลุกโชนในใจอีกครั้ง


แม้แต่ทหารสามัญก็ยังต่อสู้อย่างห้าวหาญโดยไม่รักตัวกลัวตาย แล้วอัศวินอย่างพวกตนจะยอมแพ้แค่นี้หรือ?


นอกจากนั้น บุรุษลึกลับผู้มีฝีมือเก่งกาจก็ยังถูกถ่วงเวลาโดยหนึ่งในเสาหลักแห่งจักรวรรดิ ไคล์


สีหน้าไคล์คล้ายกับกำลังพูดว่า ‘ข้าจะแก้แค้นให้กับทุกชีวิตที่เสียสละ!’


“ฉันเคยคิดว่าเจ้าไคล์ที่อยู่ฝ่ายองค์ชายดูรันดัล… เป็นศัตรูของเรา…”


แต่ในยามคับขัน ทุกคนกลับต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด


อัศวินหลักเดียวเผยรอยยิ้มขื่นขมเมื่อตระหนักว่า พวกตนเอาแต่หวาดระแวงไคล์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา


ขณะพยายามรวบรวมออร่าไว้ปลายดาบ เสียงหนึ่งดังขึ้น


“หายใจให้ช้าลง!”


สตรีเลอโฉมผู้เคยแข็งแกร่งที่สุดในจักรวรรดิ


อดีตอัศวินสีชาดลำดับหนึ่ง เมอร์เซเดส อัศวินต้นแบบของใครหลายคนในปัจจุบัน เดินเข้าใกล้พวกมันพร้อมกับมอบคำแนะนำ


“…!”


อัศวินต่างพากันประหลาดใจเมื่อวิธีหายใจแบบใหม่ได้ผลดีเยี่ยม


ยิ่งหายใจคล่องขึ้น มานาก็ยิ่งไหลเวียนได้สะดวก


เมอร์เซเดสเดินไปยืนนำหน้าเหล่าอัศวินหลักเดียวผู้ตระหนักว่าตนแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย


“ตามฉันมา”


“ค…ครับ!”


หลังจากเมอร์เซเดสกางปีกสีเงิน ทุกคนรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าพร้อมกับรวบรวมออร่าไว้ปลายดาบ ขนสีดำและสัตว์ประหลาดจากด้านบนล้วนถูกอัศวินสาวสวยทำลายทิ้งเป็นวงกว้าง ยิ่งเวลาผ่านไป ออร่าปลายดาบทุกคนก็ยิ่งขยายใหญ่


“ลงมือ!”


ในวินาทีที่คมดาบเมอร์เซเดสทะลวงผ่านบาเรียสีดำของดราเชี่ยน อัศวินหลักเดียวต่างระดมแทงดาบฉาบออร่าจนฝากบาดแผลไว้ตรงเอวได้สำเร็จ


ดราเชี่ยนหยุดชะงักชัดเจน


“ไม่นึกเกลียดชังจักรพรรดินีที่ส่งพวกเจ้ามาตายบ้างหรือ”


ดราเชี่ยนพึมพำคำถาม สายตามองไปทางอัศวินหลักเดียวโดยไม่พูดต่อ


ทันใดนั้น พลังเวทอันเย็นยะเยือกเริ่มหมุนวนรอบท่อนแขนจอมอสูรในลักษณะเกลียวคลื่น ดูคล้ายกลับเตรียมยิงบางสิ่งทรงพลังตรงมาข้างหน้า


“คึ่ก!”


เหงื่อเย็นเม็ดใหญ่เริ่มไหลอาบแก้มอัศวิน


ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกมันมิอาจดึงดาบซึ่งปักอยู่ในตัวดราเชี่ยนออก คล้ายกับผิวหนังรอบดาบกำลังรัดรึงเพื่อมิให้อัศวินถอยกลับสำเร็จ


“ทิ้งดาบ!”


เฟคเกอร์ซึ่งคอยคุ้มกันแนวหลังด้วยเทคนิคย้ายเงา ทนดูไม่ไหวจนต้องเผยตัวและตะโกนเสียงดัง


ทว่าสำหรับอัศวิน ดาบมีค่าพอ ๆ กับชีวิต


การทิ้งดาบไม่ต่างจากการละทิ้งศักดิ์ศรีลงแม่น้ำ


“จงเกลียดชังความโง่เขลาของตัวเอง”


ขณะอัศวินกำลังโลเล ดราเชี่ยนจบการร่ายมนตร์


พลังอสูรเย็นยะเยือกพุ่งออกจากฝ่ามือดราเชี่ยนโดยมีเป้าหมายเป็นเหล่าอัศวินหลักเดียว แต่ทันใดนั้น เสียงระเบิดหนึ่งดังก้องกังวาน พลังเวทสีดำของจอมอสูรถูกหักเหจนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีแดงฉาน


สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังหน้าอกดราเชี่ยน


หอกเล่มหนึ่งเสียบลึกเข้าไปพร้อมกับสร้างบาดแผลเหวอะหวะ


เป็นการโจมตีจากป็อน


ด้วยทักษะติดตัว ‘หนึ่งพลม้าคร่ากองทัพนับพัน’ พละกำลังของป็อนจึงเพิ่มเป็นสองเท่า ส่งผลให้หอกแม่เหล็กไฟฟ้ามีอานุภาพสูงจนสร้างความเสียหายแก่ดราเชี่ยนในปริมาณมาก


ดราเชี่ยนกระชากหอกพร้อมขว้างกลับในพริบตา


ด้วยพละกำลังของจอมอสูร หอกแหวกอากาศด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองตามไม่ทัน ป็อนซึ่งกำลังอ่อนเพลียมิอาจตอบสนองได้อย่างเหมาะสม คมหอกพุ่งปักหัวไหล่และทะลุไปด้านหลัง


“ป็อน! เป็นยังไงบ้าง!”


แวนเนอร์ตะโกนเรียกด้วยสีหน้ากังวล


ด้วยตาอันสั่นเทาของป็อนจ้องศีรษะล้านแวนเนอร์และกล่าว


“แสบตา…”


“เจ้าบ้า!”


ยังกล้าล้อเล่นในเวลาแบบนี้?


แวนเนอร์เตรียมสบถอย่างหัวเสีย แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อเงยหน้าขึ้น


แสงสว่างเริ่มแผ่ปกคลุมท้องฟ้าสีดำสลับแดงซึ่งดูเหมือนฉากพระอาทิตย์ตกผสมผสานกับยามราตรี


แสงสีขาวโพลนมีต้นตอมาจากปราณดาบของกริดซึ่งกำลังฉาบด้วยจิตคุกคามอันท่วมท้นท้องฟ้า


“ร่ายรำ”


ปราณดาบหลายสิบเส้นพุ่งทำลายโล่ของดราเชี่ยนจนแหลกเป็นผุยผง


“ดิสอินทิเกรต”


หอกแสงซึ่งสร้างจากมวลพลังเวทปริมาณมหาศาล ทะลวงร่างดราเชี่ยนพร้อมกับกระชากจอมอสูรให้ตกลงสู่พื้นดิน


นี่คือการเหยียบพื้นหนแรกนับตั้งแต่เริ่มปรากฏตัว


ทว่า ผืนดินมนุษย์ไม่ต้อนรับการรุกล้ำของดราเชี่ยน


“พสุธากัมปนาท!”


พสุธากัมปนาท หนึ่งในสุดยอดเวทมนตร์เฉกเช่นดิสอินทิเกรต


เวทมนตร์ซึ่งถูกบันทึกเพียงในตำนาน กำลังสร้างภัยพิบัติแก่รุนแรงเพื่อกลืนกินร่างกายดราเชี่ยนอย่างตะกละตะกลาม


“บดข้าวเปลือก”


ในเวลาเดียวกัน การโจมตีของปิอาโร่ได้กระแทกดราเชี่ยนให้จมลึกลงไป


กริด บราฮัม และปิอาโร่


สามตำนานผู้ห่างเหินการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่มาสักพัก กำลังไล่ต้อนให้จอมอสูรลำดับสิบเอ็ดต้องจนมุม


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,825
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00