จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,346



“หากฝ่าบาทปรารถนาสงคราม ข้าก็จะทำสงคราม! ถ้าฝ่าบาทไม่ไปไหน ข้าก็จะไม่ไปไหนเช่นกัน!”


การก้มกราบและเสียงตะโกนอันขึงขังของไคล์ ไม่ต่างอะไรกับอัศวินผู้จงรักภักดีที่กำลังลั่นสัตยาบันต่อหน้าเจ้านาย


ทั้งที่มันไม่เคยก้มศีรษะให้บาซาร่าหรือองค์ชายดูรันดัลซึ่งเป็นคนจ่ายเงินเดือนด้วยซ้ำ


พฤติกรรมซึ่งดูราวกับยอมรับกษัตริย์อาณาจักรอื่นในฐานะเจ้านาย ทำให้บรรดาขุนนางหลายฝ่ายเผยอาการแตกตื่น


‘กษัตริย์กริดคิดจะแย่งตัวไคล์?’


‘เสาหลักคนสุดท้ายของจักรวรรดิกำลังจะถูกโอเวอร์เกียร์พรากไป?’


เหล่าขุนนางเริ่มไม่วางใจในตัวกริด


ชายคนนี้คิดจะช่วงชิงขุนพลจากอาณาจักรพันธมิตร พฤติกรรมอันขาดศีลธรรมเช่นนี้สมควรถูกประณาม


จากมุมมองของจักรวรรดิ พวกมันรู้สึกเหมือนถูกทรยศ


อย่างไรก็ตาม คำพูดประโยคเดียวของกริดทำให้ลมเปลี่ยนทิศทันที


“ไคล์… ฉันเคยบอกไปแล้วว่าจะไม่ฆ่านาย จำไม่ได้หรือ? เมื่อก่อนเราอาจเป็นศัตรูกัน แต่ปัจจุบันไม่ใช่อีกแล้ว อย่าได้กังวลนักเลย ทำตัวตามสบายดีกว่า”


คำประกาศของกริดบอกเป็นนัยว่า ตนมิได้มีความสัมพันธ์ฉันนายบ่าวกับอีกฝ่าย ไคล์ทำเช่นนี้เพียงเพราะความกลัว


จริงอยู่ การพูดเช่นนี้ย่อมทำให้ไคล์อับอาย แต่กริดก็ไม่มีทางเลือกมากนัก และเหนือสิ่งอื่นใด ทุกคำที่เล่าไปล้วนเป็นเรื่องจริง ไคล์หวาดกลัวตนจากก้นบึ้ง


จวบจนปัจจุบัน ไคล์ยังไม่ลืมความเจ็บปวดในวินาทีที่แขนถูกตัด


ทุกครั้งเมื่อเห็นหน้ากริด กระเพาะปัสสาวะพลันสั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม


‘สัตว์ประหลาด…’


ไคล์ถูกฮวนเดอร์เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เติบโตท่ามกลางกลุ่มยอดฝีมือระดับทวีป มีไม่กี่คนที่ทำให้มันสั่นกลัวได้


เมื่อนำพรสวรรค์ซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผนวกกับพรอันประเสริฐของเทพสงคราม ไคล์ทะยานขึ้นไปเป็นเหนือมนุษย์ได้ในเวลาอันสั้น จึงไม่มีวันหวาดกลัวต่อมนุษย์ทั่วไป


แต่ปัญหาคือ กริดไม่ใช่มนุษย์ทั่วไป


ขณะถูกกริดมอบหมายให้คอยจับตามองดูรันดัล (ด้วยการข่มขู่) ไคล์หมั่นฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพสงครามอย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์จึงเฉียบแหลมและสามารถมองเห็นพลังแท้จริงของอีกฝ่าย


‘ชายคนนี้… เกินคำว่ามนุษย์ไปไกลแล้ว’


ไคล์มองออกว่ากริด ‘เห็น’ กระแสการไหลเวียนของทุกสิ่ง เป็นทัศนียภาพแบบเดียวกับโลกเหนือมนุษย์ของตน


จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า กริดคือเหนือมนุษย์แล้วแน่นอน


‘ชายที่สามารถตัดแขนเรา…’


แปล๊บ!


ไคล์เจ็บปวดทุกครั้งเมื่อหวนนึกถึงกริดผมขาวผู้สะบั้นแขนของตนจนขาด จึงพยายามกัดฟันกรอดเพื่อมิให้เผยความเจ็บปวดเผยทางสีหน้า


ถูกต้อง ไคล์มั่นใจว่ากริดในปัจจุบันคือคนเดียวกับที่ตัดแขนของตนเมื่อหลายปีก่อน ความเข้าใจผิดนี้ไม่มีทางถูกแก้ไขนอกเสียจากกริดจะสารภาพออกมาเอง


ไคล์มีชะตากรรมต้องหวาดกลัวกริดไปตลอดชีวิต ต้องสุภาพนอบน้อมกับชายผู้สามารถดับลมหายใจตนได้ทุกเมื่อ


“…ขอบคุณฝ่าบาทที่ใจกว้าง”


ไอ้สุนัขจิ้งจอก…


ไคล์มองกริดเป็นชายที่น่ารังเกียจ เพราะอีกฝ่ายทำให้ตนต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันซับซ้อนซึ่งต้องมีเจ้านายถึงสามคน


ไคล์แทบเป็นบ้าเมื่อต้องคอยทำหลายสิ่งในเวลาเดียวกัน


อย่างไรก็ตาม มันมิกล้าเผยความรู้สึกแท้จริงออกมา ไม่อย่างนั้นกริดอาจไม่พอใจและเชือดตนทิ้ง


‘ต้องหาข้ออ้างออกจากจักรวรรดิสักพัก… เพื่อทำให้ท่านพึงพอใจ’


เมื่อไม่นานมานี้ ไคล์ได้ยินเสียงอัญเชิญจากเทพสงคราม


ท่านเทพบอกให้เหล่าสาวกเดินทางไปยังทวีปตะวันออก จุดประสงค์คือการลงทัณฑ์พวกนอกรีตซึ่งบังอาจอ้างตัวเป็นเทพสงครามบนดินแดนอันไกลโพ้น


ถึงจะไคล์ไม่ทราบว่าใครคือผู้อ้างตัวเป็นเทพสงคราม แต่ก็มองว่าอีกฝ่ายช่างโง่เขลาสิ้นดี


‘…ก่อนจะทำภารกิจของท่านให้ลุล่วง เราต้องมีชีวิตรอด’


ไคล์รู้มานานแล้วว่า อสูรซึ่งหลับใหลในคุกนรกนั้นไม่ธรรมดา


แกรนมาสเตอร์เคยบอกว่า อสูรตนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร


‘…คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจอมอสูร’


เหตุใดแกรนมาสเตอร์ถึงบอกว่า จอมอสูรคือตัวตนน่าสงสาร?


เป็นคำถามซึ่งปราศจากคำตอบ เพราะแกรนมาสเตอร์ไม่ได้อยู่ที่นี่


และเหนือสิ่งอื่นใด ไคล์คงไม่เสียเวลาขบคิดนานนัก เป้าหมายของมันคือทวีปตะวันออก ต้องรีบบรรลุภารกิจของเทพสงครามและครอบครองเคล็ดวิชาใหม่โดยเร็ว


‘บ้าจริง…’


จอมอสูรลำดับสิบเอ็ด…


ลำดับสิบเอ็ด!


‘มองไม่เห็นโอกาสชนะเลยสักนิด…’


แม้จะผนึกกำลังระหว่างตัวมัน กริด และกองทัพจักรวรรดิแบบเต็มอัตราศึก โอกาสชนะจอมอสูรลำดับสิบเอ็ดก็ยังริบหรี่เต็มที


แล้วจะเอาอะไรไปชนะเมื่อทหารในมือมีเพียงทัพหลวงอันน้อยนิด?


‘เราเคยได้ยินมาว่า จอมอสูรหลักเดียวหรือใกล้เคียง จะมีพลังคำสาปรุนแรงเช่นการเผาดวงวิญญาณหรือย้อนกลับชีวิต’


มันหมายถึง ‘โซลเบิร์น’ และ ‘ดูม’


หากเป็นถึงจอมอสูรลำดับสิบเอ็ด ก็คงครอบครองอย่างใดอย่างหนึ่งจากคำสาปสองชนิดนี้


การล่าดราเชี่ยนอาจสำเร็จถ้ามีคนที่สามารถฟันคำสาปทิ้งได้อย่างอริยดาบมุลเลอร์ แต่ถ้าประเมินจากสภาพแวดล้อมปัจจุบัน จอมอสูรลำดับสิบเอ็ดไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะรับมือไหว


กริดอาจบรรลุระดับเหนือมนุษย์ขั้นสูงสุด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคำสาปทรงพลัง มนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์วันยังค่ำ


‘…หมอนี่คงยังไม่รู้’


ในมุมมองไคล์ เริ่มแรก กริดคงหยั่งเชิงดราเชี่ยนอย่างตื่นเต้นสักพัก แต่หลังจากพบความสิ้นหวัง ราชาโอเวอร์เกียร์จะเปลี่ยนใจและเผ่นหนีทันที


ถ้าอย่างนั้น… เราต้องออมแรงเผื่อสำหรับการหนีไว้ด้วย…


‘หากมองว่านี่คือการตอบแทนบุญคุณอดีตจักรพรรดิ ความเสี่ยงตรงหน้าพอจะยอมรับได้…’


ด้วยความสัตย์จริง จักรวรรดิอันปราศจากฮวนเดอร์ ไม่มีค่าให้ไคล์เหลียวมองแม้แต่น้อย ถึงกระนั้น การแสร้งทำเป็นต่อสู้เพื่อปกป้องจักรวรรดิ ก็อาจเป็นภาพที่ดูดีเมื่อฮวนเดอร์มองมาจากโลกแห่งความตาย


ขณะมันตัดสินใจทำตามคำสั่งกริด เตรียมเผชิญหน้าจอมอสูร


“รู้จักตัวจริงของจอมอสูรในคุกนรกไหม”


กริดซักถามพลางจ้องไคล์ผู้พยายามควบคุมสีหน้าให้เป็นธรรมชาติ


ไคล์ตอบอย่างรอบคอบ


“ประเมินจากสิ่งที่ข้าเคยอ่านและเอกลักษณ์ของพลังอสูร ขอเดาว่าจอมอสูรตนนี้คือดราเชี่ยน…”


“เดาถูก… มีความรู้เหมือนกันนี่”


“หอสมุดหลวงของจักรวรรดิเต็มไปด้วยวรรณกรรมซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับจอมอสูร โดยเฉพาะตนที่ถูกอริยดาบมุลเลอร์ผนึกไว้ หนึ่งในนั้นคือดราเชี่ยน… แล้วฝ่าบาททราบได้อย่างไรว่าจอมอสูรในคุกนรกคือดราเชี่ยน?”


เป็นเพราะฮวนเดอร์ ไคล์จึงมีความรู้มากมายพอจะสรุปได้จากระยะไกลว่านั่นคือดราเชี่ยน


แต่มันไม่เข้าใจ ทำไมกริดถึงรู้ตัวจริงของจอมอสูร?


ราชาโอเวอร์เกียร์ยักไหล่


“ก็เพิ่งสู้กับมันมา”


“หือ…?”


ไม่เพียงไคล์ แต่ทั้งบาซาร่าและเหล่าขุนนางต่างก็ตกตะลึง


เมื่อไม่กี่นาทีก่อน กริดเพิ่งสู้กับโบทิสไม่ใช่หรือ?


หลังจากนั้นก็สู้กับดราเชี่ยนต่อทันที?


ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ฟังดูเหมือนการโอ้อวด แม้กระทั่งไคล์ผู้ทราบระดับฝีมือกริดเป็นอย่างดี ก็ไม่กล้าเชื่อคำพูดเมื่อครู่อย่างเต็มร้อย


“แล้วฝ่าบาท… รอดชีวิตกลับมาได้ยังไง?”


กริดเผยสีหน้ายินดีเมื่อเห็นท่าทีตอบสนองจากไคล์


“นายรู้จักดูมสินะ”


ดูม – คำสาปซึ่งจะเปลี่ยนเผ่าพันธุ์ของเป้าหมายให้เป็นอันเดดชั่วคราว


กริดได้ลิ้มรสพลังอันน่ารังเกียจที่ย้อนกลับเอฟเฟค ‘ฮีล’ ทุกชนิดมาแล้ว ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เป็นพลังแสนขี้โกง แถมยังไม่สามารถต้านทานได้


กริดเชื่อว่าพลังเช่นนี้ย่อมต้องมีจุดอ่อน และความรู้ของไคล์อาจช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น


ไคล์ได้รับการศึกษาระดับสูงสุดจากฮวนเดอร์ตั้งแต่ยังเล็ก แถมยังเป็นเหนือมนุษย์ผู้มีสายตาเฉียบแหลม กริดคาดหวังว่าชายคนนี้จะช่วยบอกวิธีรับมือกับคำสาปดูมสุดแกร่ง


แต่น่าเสียดาย ความรู้ของไคล์เองก็จำกัด


“ข้าพอจะทราบอยู่บ้าง ดูมคือคำสาปทรงพลังซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดบนโลกกึ่งกลางสามารถต้านทาน ชะตากรรมเดียวของเป้าคำสาปคือความตาย ข้าจึงประหลาดใจมากเมื่อฝ่าบาทรอดกลับมาอย่างมีชีวิต”


‘คำสาปทรงพลังที่สิ่งมีชีวิตบนโลกกึ่งกลางมิอาจต้านทาน…’


หมายความว่า ไม่เพียงมนุษย์ แต่ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนจนปัญญาเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดูม?


ถ้าเป็นแบบนั้น การโค่นดราเชี่ยนก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว


กริดย้อนนึกถึงฉากที่แม้แต่นักบุญหญิงรูบี้ ก็ยังจนปัญญาจะขจัด ‘ดูม’ ออกจากร่างตน พลางหันไปขอความยินยอมจากบาซาร่า


“ฉันต้องการอัญเชิญกองทัพโอเวอร์เกียร์มาที่นี่ ช่วยยกเลิกข่ายเวทมนตร์ที่กีดขวางเวทเคลื่อนย้ายมิติได้ไหม”


ทักษะอัญเชิญอาจใช้การได้ แต่ไม่ใช่กับเวทเคลื่อนย้ายมิติ


หนทางเดียวในการเรียกกำลังเสริมระดับกองทัพ คือการขอให้ผู้ปกครองจักรวรรดิยกเลิกข่ายเวทมนตร์กีดขวาง


“ไม่ได้เด็ดขาด!”


ขุนนางรายหนึ่งโพล่งขึ้นอย่างหวาดผวา


สีหน้าคล้ายกับว่า อีกนิดเดียวก็จะหลุดสติแตก


แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ข่ายเวทมนตร์มีเพื่อกีดขวางเวทเคลื่อนย้ายมิติทุกชนิดจากภายนอก เป็นกลยุทธ์พื้นฐานสำหรับป้องกันเมืองหลวง หากยกเลิกข่ายเวทมนตร์ ไม่มีใครรับประกันได้ว่า กรุงไททันจะไม่ถูกโจมตีในจุดใจกลางอีกครั้ง


จากมุมมองขุนนาง ราชาโอเวอร์เกียร์ยังไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น โดยเฉพาะท่าทีกับไคล์เมื่อครู่


ขุนนางต่างจินตนาการถึงภาพอันเลวร้าย เช่นการเคลื่อนย้ายกองทัพโอเวอร์เกียร์มายังใจกลางเมืองหลวงและเข้ายึดวัง


แต่ในทางกลับกัน บาซาร่ามิได้เคลือบแคลงในตัวกริด


หากกริดและไคล์คือพวกเดียวกันจริง และต้องการจะยึดวังหลวง ลำพังคนทั้งสองคงลงมือสำเร็จไปนานแล้วโดยไม่ต้องพึ่งพากองทัพ


ฝ่ายที่ต้องเฝ้าระวังจึงไม่ใช่กริด แต่เป็นศัตรูของจักรวรรดิซึ่งคอยจับตามองสถานการณ์ภายในอย่างใกล้ชิด


‘ที่พวกเขาพูดก็มีเหตุผล ท่ามกลางความโกลาหลจากจอมอสูร หากปล่อยให้กองทัพศัตรูบุกเข้ามาได้อีก สถานการณ์อาจรับมือได้ยากเกินไป’


กริดหันไปยิ้มให้บาซาร่าผู้กำลังคิดไม่ตก


“อย่าได้กังวลอันตรายจากภายนอก อัศวินของฉันแข็งแกร่งมาก”


“…เข้าใจแล้ว”


ความกังวลใจของบาซาร่าพลันเลือนหาย


ปิอาโร่ อัสโมเฟล เมอร์เซเดส


สองคนเคยเป็นเสาหลัก อีกหนึ่งคืออัศวินสีชาดลำดับหนึ่ง


ชื่อเสียงภายในจักรวรรดิล้วนโด่งดังไม่แพ้กริดในตอนนี้


“ปิดข่ายเวทมนตร์”


หญิงสาวออกคำสั่ง


“ฝ่าบาท หากข่ายเวทมนตร์ปิดตัวลง จะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามสิบนาทีในการเดินกลไกใหม่ ถ้าศัตรูบุกเข้ามาตอนนั้นล่ะก็…”


“เพื่อกำจัดดราเชี่ยน พวกเราเลี่ยงการปิดข่ายเวทมนตร์ไม่ได้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับคำขอร้องของราชาโอเวอร์เกียร์”


“…ฝ่าบาทคิดจะอัญเชิญอัศวินหลักเดียวมาจากชายแดน?”


“ถูกต้อง”


อัศวินหลักเดียวถูกส่งไปบัญชาการกองทัพชายแดนเพื่อความสงบสุขของจักรวรรดิ หากพวกเขาถูกเรียกตัวกลับ ศัตรูอาจฉวยโอกาสดังกล่าวลงมือโจมตีเมืองชายแดน


แต่กรุงไททันย่อมสำคัญกว่า ไม่มีชายแดนใดยิ่งใหญ่ไปกว่าเมืองหลวง


ขุนนางซึ่งเริ่มเห็นพ้องกับบาซาร่าต่างพยักหน้ารับ


ทุกคนไม่เคลือบแคลงเลยว่า หากแม่ทัพเก่งกาจตามชายแดนถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงทั้งหมด กองทัพศัตรูที่คิดบุกรุกกรุงไททันก็ไม่ได้น่ากลัวสักเท่าไร


ลงเอยด้วย


“ตกลง กระหม่อมจะปิดข่ายเวทมนตร์เดี๋ยวนี้”


มหาจอมเวท รีซิเลีย รับคำสั่งในนามขุนนาง


เมื่อมันและสมาชิกหอคอยพิสุทธิ์ทำการถ่ายพลังเวทเข้าไปในแหวนหรือสร้อยคอ ข่ายเวทมนตร์ที่คอยกีดขวางเวทเคลื่อนย้ายมิติเริ่มสลายตัว


‘เจ๋งแฮะ’


กริดกล่าวชมเมื่อเห็นข่ายเวทมนตร์เปล่งแสงสีฟ้าก่อนจะหายไป


เป็นเพราะพลังของดราเชี่ยนหรือ?


ท้องฟ้าด้านบนกำลังมีสีดำสลับแดง


> ลอเอล ลงมือ


กริดส่งข้อความเสียงไปหาลอเอลซึ่งอยู่ในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์


ขณะชายหนุ่มรอให้เหล่าขุนพลปรากฏกายด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้ายมิติแบบกลุ่มของมหาจอมเวท อัชเชอร์


บุรุษแปลกหน้าคนหนึ่งปรากฏตัว ณ ใจกลางท้องพระโรง


“หีบสมบัติถูกเปิดแล้วสินะ… คึคึก”


[มหาโจรราตรีสีชาดปรากฏกาย!]


เพียงข้อความเดียว หัวใจพลันกริดหล่นไปอยู่ตาตุ่ม


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,820
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00