จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,344
[อาโมแรค จอมอสูรแห่งความขัดแย้ง กำลังรอท่านอยู่ที่ใดสักแห่งในขุมนรก]
นี่คือข้อความที่แสดงบนหน้าจอยูร่าหลังจากเกิดอีเวนต์บาเอล
อาโมแรคพยายามเข้าหายูร่าตั้งแต่สมัยที่เธอยังเป็นข้ารับใช้ยาธาน คล้ายกับ ‘หล่อน’ มีความขัดแย้งกับบาเอลมานานแล้ว
เหตุการณ์นี้จุดประกายความหวังในตัวยูร่า เธอเชื่อว่าตนต้องไปพบอาโมแรคให้ได้ จึงพยายามสำรวจทุกซอกมุมของขุมนรกแต่ละชั้นอย่างละเอียด
‘แต่ต้องเผื่อใจไว้… เป้าหมายของอาโมแรคอาจไม่ต่างจากบาเอลนัก’
ยูร่าเดาว่าอาโมแรคคงมีลำดับอยู่ระหว่าง 2 ถึง 5
สำหรับฝั่งผู้เล่น ข้อมูลของจอมอสูรระดับท็อปมีเพียงน้อยนิด แทบไม่ทราบลำดับของใครเลยนอกจากบาเอลและเบริอาเช่
แต่พิจารณาจากสภาพแวดล้อม อาโมแรคน่าจะเป็นลำดับสอง
ยิ่งจอมอสูรมีลำดับสูงเท่าไร ความดำมืดและชั่วร้ายในใจก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ อาโมแรคก็คงไม่ต่างจากบาเอลสักเท่าไร
แต่ยูร่าเชื่อว่า ตนควรร่วมมือกับอาโมแรคเพื่อปราบบาเอล
ในทางทฤษฎี ผู้เล่นไม่ทางล่าบาเอลได้ นอกเสียจากจะได้รับความช่วยเหลือจากตัวตนระดับสูง และเมื่อบาเอลไม่ถูกโค่น นรกก็จะไม่มีวันถูกชำระล้างอย่างสมบูรณ์
‘นอกจากนั้น… อาโมแรคน่าจะรู้จุดอ่อนของสตริโอ้’
ช่างตีเหล็กแห่งขุมนรก เฮลมิส กล่าวไว้ว่า หากกริดต้องการแข็งแกร่งขึ้น หัวใจของเทพอสูรคือสิ่งที่ขาดไม่ได้
‘เอาล่ะ’
นรกขุมที่ห้า
หญิงสาวเดินอย่างไร้จุดหมายไปบนดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยมอนสเตอร์เลเวลหลักหกร้อย ยูร่าพยายามลอบผ่านไปอย่างเงียบเชียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็เฉียดใกล้ความตายอยู่หลายหน
เธอไม่ล้มเลิกความตั้งใจแม้จะหวาดกลัวและอ่อนเพลีย ไม่ว่ายังไงก็ต้องเข้าไปตรวจสอบในปราสาทให้ได้ว่า ใครคือผู้ปกครองนรกขุมที่ห้า
แน่นอน เธอยินดีจ่ายด้วยความตาย
แต่หากเจ้าของปราสาทไม่ใช่อาโมแรค ยูร่าคงสิ้นหวังอย่างหนัก เพราะหมายความว่าเธอต้องไปเยือนนรกขุมที่สามและสอง ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีความน่ากลัวกว่าขุมที่ห้าหลายเท่า
“…”
ดวงตาสีดำของยูร่าสั่นระริกขณะกลั้นหายใจ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะไม่อยากถูกมอนสเตอร์เร่ร่อนพบตัว
เฉกเช่นเมื่อครั้งเคยไปเยือนนรกขุมที่หนึ่งเพื่อช่วยกริด หญิงสาวยังคงก้าวขาต่อไปอย่างไม่ลดละ
***
จักรพรรดินีอาเรียมีจิตใจงดงามพอ ๆ กับรูปร่างหน้าตา
เป็นหญิงสาวใจดีที่กระทำแต่เรื่องน่าชื่นชม เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างให้กับทุกคนในจักรวรรดิ ประชาชนต่างหลงรักอาเรียกันถ้วนหน้า ไม่มีใครเกลียดชังเธอลง
แต่แล้ววันหนึ่ง จักรพรรดินีแมรี่ปรากฏตัว
‘ทำไมกัน…’
เหตุใดองค์มหาจักรพรรดิถึงถูกนังแพศยานั่นล่อลวงได้? คนที่ไม่มีปัญญาปกป้องกระทั่งภรรยาตัวเอง สมควรปกครองจักรวรรดิแล้วหรือ?
ทำไมกัน… ทำไม!!
องค์ชายเบนัวต์ไม่พอใจทุกสิ่งที่เป็นจักรวรรดิ รวมถึงตัวมันเอง
เบนัวต์เกลียดชังฮวนเดอร์ที่เอาแต่นิ่งเงียบ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าแมรี่เป็นคนวางแผนลอบฆ่าอาเรีย
นอกจากนั้น เบนัวต์เกลียดชังทุกคนที่ไม่พยายามเปิดโปงบาปของแมรี่
‘ข้อขอสาปแช่ง!’
ไม่ว่าจะแมรี่ องค์จักรพรรดิ ประชาชน หรือตัวมันเอง
“ข้าขอสาปแช่ง!”
องค์ชายเบนัวต์ตะโกนอีกครั้งขณะตกลงไปยังหุบเหวไร้ก้น
เสียงที่สะท้อนกลับมาเป็นราวกับถ้อยคำตอบสนอง
“มนุษย์ทุกคนในจักรวรรดิ…. ข้าขอสาปแช่งทุกสิ่งในจักรวรรดิ!”
ขอให้ทุกคนที่หลงลืมความรักและใจดีของอาเรีย ประสบชะตากรรมแบบเดียวกับเธอ! ขอให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้กลายเป็นสิ่งไร้ความหมายเมื่อไม่มีมารดาของตน!
องค์ชายเบนัวต์ภาวนาจากก้นบึ้ง
> จำได้แล้ว…
อสูรที่ขดตัวอยู่ในเวิ้งนรกลืมตาขึ้น
> ข้าคือความหวังของผู้ที่ปรารถนาในคำสาป
บีฟรองเซ่
อสูรที่ถูกกักขังอยู่ในกรงและหลงลืมไปว่าตัวเองเป็นใคร
น้ำตาเลือดไหลรินอาบสองแก้มพลางตอบสนองสิ่งที่เบนัวต์ปรารถนา
> อสูรแห่งคำสาป…
จอมอสูรลำดับ 11 ที่ถูกอริยดาบมุลเลอร์ผนึก
ดวงวิญญาณของดราเชี่ยนเร่ร่อนนานนับร้อยปี จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อน มันสู้กับมนุษย์ธรรมดานามว่าครอเกลและพ่ายแพ้ เหตุการณ์ดังกล่าวกระทบกระเทือนจิตใจจนทำให้ดราเชี่ยนความจำเสื่อม หลงลืมช่วงชีวิตก่อนหน้าไปจนหมด พร้อมกับการไปเกิดในร่างใหม่
“ดราเชี่ยน! จงฟังคำสาปของฟ้า!”
เบนัวต์แหกปากตะโกน เป็นอันบรรลุการทำพันธสัญญา
> เข้าใจแล้ว
พลังอสูรสีแดงฉานพลันระเบิดท่ามกลางเวิ้งคุกนรกอันมืดมิด
อารมณ์เกลียดชังและสาปแช่งจากเหล่านักโทษที่อยู่ในเวิ้ง พลันตอบสนองต่อเวทมนตร์ของดราเชี่ยน
“อ๊ากกกก!”
“คึ่ก! ว๊ากกกก!”
เสียงโหยหวนของนักโทษเริ่มกังวาน
ดราเชี่ยนคือจอมอสูรที่โหยหาดวงวิญญาณและร่างกายของผู้ทำพันธสัญญา โดยแลกมากับการทำให้ความปรารถนาของอีกฝ่ายเป็นจริง
เหล่านักโทษที่กำลังสบถสาปแช่งใครสักคนขณะถูกขัง ล้วนกลายเป็นผู้ทำพันธสัญญากับดราเชี่ยน ส่งผลให้จอมอสูรลำดับ 11 สามารถสังเวยร่างกายและวิญญาณพวกมันได้ทันที
คนกลุ่มนี้คือมนุษย์ที่ต้องทนทุกข์ไปอีกตราบนานเท่านาน
หนึ่งในนั้นคืออดีตจักรพรรดินีแมรี่
“กรี๊ดดดดดด!”
ท่ามกลางความเจ็บปวดราวกับกระดูกถูกกรีดและเนื้อหนังหลอมละลาย ดวงตาที่สั่นเทาของแมรี่มองเห็นร่างหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากด้านบน
ท่ามกลางฉากหลังสีแดงสว่าง ชายคนดังกล่าวกำลังยิ้มให้แมรี่
องค์ชายเบนัวต์
“เบ… อ๊ากกก!”
คงจะดีกว่านี้ถ้าเธอถูกประหารชีวิตโดยเพชฌฆาต
อดีตจักรพรรดินีแมรี่เสียชีวิตด้วยความโศกเศร้าถึงขีดสุด และบทลงโทษอันแสนทารุณเช่นนี้จะยังคงดำเนินต่อไปแม้ร่างกายจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว
“ฮะฮะ! คึฮ่าฮ่าฮ่า!”
เบนัวต์ระเบิดเสียงหัวเราะราวกับคนบ้าจนกลบเสียงนักโทษคนอื่น
วิญญาณและร่างกายของมันเองก็กำลังเจ็บปวดไม่ต่างกัน แต่เบนัวต์ก็มิได้แยแส สีหน้าไม่เผยความหวาดกลัวหรือสิ้นหวัง
แต่ทันใดนั้น
เสียงตะโกนอย่างร้อนรนของใครบางคน ดังแว่วข้างหูเบนัวต์ที่พยายามกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดขณะลอยตัวกลางอากาศ
“อัญเชิญอัศวิน!”
‘ใคร… กัน?’
“รูบี้!”
จากมุมสายตาของเบนัวต์ หญิงสาวผู้หนึ่งปรากฏกายท่ามกลางเสาลำแสงอันเจิดจ้า
เธอมีรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนกับมารดาของมัน
“แสงชำระล้าง!”
วาบ!
พลังงานสีฟ้าอบอุ่นเริ่มแผ่ปกคลุมทั่วเวิ้งคุกนรก กลืนกินพลังอสูรสีแดงที่เคยแผ่ขยายจนเต็มบริเวณ
> อะไรกัน?!
หลังจากกินวิญญาณและกายาของนักโทษอย่างหิวกระหาย ใบหน้าดราเชี่ยนพลันบิดเบี้ยวขณะเตรียมดื่มด่ำอาหารจานสุดท้าย (เบนัวต์)
นักบุญหญิง
สิ่งที่จอมอสูรเกลียดชังและหวาดกลัวที่สุด ปรากฏตัวต่อหน้ามันพร้อมกับสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่
ดราเชี่ยนไม่รู้สึกอื่นใดนอกจากหงุดหงิด
> เจ้า!!
จากส่วนลึกของเวิ้งคุกนรก ดราเชี่ยนทะยานขึ้นฟ้าพร้อมกับกางเล็บอันแหลมคม เล็งแทงใส่หัวใจนักบุญหญิงซึ่งร่างกายกำลังเปล่งแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง
ทว่า กรงเล็บของมันสัมผัสไม่ถึงตัวเป้าหมาย ถูกดาบที่ใสเหมือนแก้วขัดขวางเอาไว้ ก่อนที่ใบดาบแก้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิงพร้อมกับเกิดลุกไหม้ พ่นเปลวไฟที่ชวนให้นึกถึงมังกรออกมาแผดเผาเนื้อหนังของดราเชี่ยนในระยะประชิด
“เบนัวต์!”
เสียงที่ดราเชี่ยนคุ้นเคย กำลังร้องเรียกองค์ชายผู้แทบไม่หลงเหลือสติสัมปชัญญะ
ดวงตาสีดำของชายแปลกชายไม่เผยอาการสั่นคลอน แม้จะเผชิญหน้ากับมวลอารมณ์สิ้นหวังมหาศาลรอบเวิ้งคุกนรกก็ตาม
บุรุษลึกลับสลัดดราเชี่ยนหลุดอย่างง่ายดายด้วยท่ารำดาบอันงดงาม จากนั้นก็พุ่งไปหาองค์ชายเบนัวต์ที่กำลังร่วงหล่น
“จักรพรรดิฮวนเดอร์ขอร้องให้ฉันดูแลนาย!”
“…!!”
เบนัวต์ดวงตาเบิกโพลง
บิดา
ผู้ที่มันมองว่าเป็นเสี้ยนหนามมาตลอด แท้จริงแล้วกลับยังห่วงใยและสั่งเสียให้ใครบางคนคอยดูแลตนแทน?
ความรู้สึกอันยากอธิบายทำให้หัวใจเบนัวต์เริ่มสั่นคลอน
ความเจ็บปวดที่หลงลืมไปชั่วขณะ ยามนี้กลับมาถาโถมจิตใจอีกครั้งจนต้องยอมจำนนกับความจริง
ความจริงที่ว่า ทุกสิ่งสายเกินไปแล้ว
“คำสาปของดราเชี่ยน… อีกไม่นานจะปกคลุมจักรวรรดิและมุ่งหน้าไปหาอริยดาบ”
เบนัวต์ฝืนกล่าวอย่างยากลำบาก
เมื่อสิ้นเสียง ดวงตาของมันอับแสง
มือข้างหนึ่งยื่นไปหากริดโดยไม่รู้ตัว แต่จากนั้นก็ไร้เรี่ยวแรงพร้อมกับร่างกายที่ร่วงหล่นลงไปในความมืดมิด
“พี่!”
รูบี้กระวนกระวายเมื่อเบนัวต์หลุดออกจากรัศมีแสงชำระล้าง
แต่กริดก็จนปัญญา เวิ้งคุกนรกนอกเขตแสงสว่างนั้นมืดสนิทจนมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่สามารถใช้ชุนโปตามไปช่วย
และที่สำคัญที่สุด ดราเชี่ยนกำลังขวางทางอยู่
แตกต่างจากเมื่อครั้งเป็นบีฟรองเซ่ จอมอสูรดราเชี่ยนไม่หลงเหลือเค้าเดิมของความใสซื่อ เพียงจ้องกริดด้วยดวงตาอาฆาตแค้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ กริดไม่เหลือเหตุผลให้ต้องอยู่ที่นี่อีก
ชายหนุ่มพยายามช่วยเบนัวต์เพียงเพราะต้องการรักษาคำมั่นที่เคยให้ไว้กับฮวนเดอร์ แต่เมื่อทางช่วยเดียวคือการควานหาร่างเบนัวต์ท่ามกลางความมืด กริดก็ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองและพวกพ้องไปเสี่ยง
“อัญเชิญอัศวิน เมอร์เซเดส”
“ฝาบาทเชิญรับสั่ง”
“พาตัวรูบี้หนีไป”
เวทเคลื่อนย้ายมิติและม้วนคาถาพากลับล้วนใช้การไม่ได้ที่นี่ หากหวังพารูบี้กลับไปอย่างปลอดภัย ทางเดียวคือต้องรบกวนเมอร์เซเดส
“…น้อมรับบัญชา”
เมอร์เซเดสลังเลเล็กน้อยเมื่อได้ยินกริดสั่งให้ทิ้งเขาไว้ แต่เพียงไม่นานก็รีบตอบสนองด้วยการโอบกอดรูบี้ไว้ในอ้อมแขน สยายปีกสีเงินบินขึ้นไป
> ข้าจะไม่ปล่อยให้นักบุญหญิงมีชีวิตรอดเด็ดขาด!
ดราเชี่ยนพยายามไล่ตามเมอร์เซเดส
แน่นอน กริดเข้ามาขวางไว้
เหมือนกับที่ดราเชี่ยนขัดขวางการไปช่วยเบนัวต์เมื่อครู่
“บีฟรองเซ่… เปลี่ยนไปมากเลยนะ”
> ข้าไม่ได้เปลี่ยน แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม
“ในหมู่อสูรด้วยกัน นิสัยของนายไม่นับว่าไม่เลว”
> หึ… การพบกันของพวกเราเมื่อคราวนั้น… ก็ไม่ได้แย่อะไรนัก
บทสนทนาจบลงเพียงเท่านี้
กริดทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางมิให้ดราเชี่ยนไล่ตามทั้งสองไป
แน่นอน ชายหนุ่มเสียเปรียบจอมอสูรเต็มประตู เพราะเพิ่งเสร็จจากการล่าโบทิสได้ไม่นาน ท่าไม้ตายส่วนใหญ่อยู่ในระยะหน่วง เรียกได้ว่าไม่พร้อมต่อสู้สักเท่าไร
เหตุผลที่ต้องกัดฟันทนก็เพื่อให้เมอร์เซเดสและรูบี้รอดกลับไป
“เอลฟิน·สโตน!”
“เขตแดนโลหิต”
ในวินาทีที่ปรากฏตัว เอลฟิน·สโตนใช้พลังพิเศษพลิกสถานการณ์ทันที
อาศัยผลของเขตแดนโลหิต กริดสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้ดีกว่าเดิมหลายเท่า
ชายหนุ่มใช้ ‘ถ่ายโอนโลหิตขั้นสูงสุด’ จนพลังชีวิตที่เกือบหมดหลอด กลับมาเต็มถังอีกครั้งในพริบตา
ดราเชี่ยนจ้องไปทางกริด ผู้ครอบครองทั้งแหวนแวมไพร์ ทักษะบาเรียหลายชนิด และทักษะฟื้นฟูพลังชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง
จอมอสูรตวัดนิ้ว
“ดูม” (Doom)
ทักษะที่ตรงข้ามกับ ‘ฮีล’ โดยสิ้นเชิง เป็นพลังพิเศษของอสูรระดับสูง
[ท่านได้รับผล ‘ดูม’]
[ขณะถูก ‘ดูม’ ท่านจะกลายเป็นอันเดด]
[ท่านสร้างความเสียหาย 59,975]
[ท่านได้รับความเสียหาย 13,194 หน่วย จากผลของแหวนเอลฟิน·สโตน]
‘บ้าบอสิ้นดี’
อันเดดกลายเป็นอาการผิดปรกติตั้งแต่เมื่อไร?
ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ที่กริดไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ใบหน้าชายหนุ่มเริ่มขาวซีดเมื่อตระหนักถึงฝีมือที่แท้จริงของจอมอสูรลำดับสูง ขณะจินตนาการความยากลำบากที่ตนต้องเผชิญในอนาคต ภาพการมองเห็นของกริดพลันมืดลง
เช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย
> …?!
ดราเชี่ยนพลันเย็นสันหลังวาบเมื่อถูกกริดโจมตีจนร่างกายชะงัก
อาการผิดปรกติ ‘มึนงง’
ถูกต้อง นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริงที่ดราเชี่ยนได้สัมผัสอาการมึนงง ไม่แม้แต่ในวันที่ถูกอริยดาบมุลเลอร์ทำลายร่างเนื้อ
‘มนุษย์ยุคใหม่แข็งแกร่งกว่ามุลเลอร์อีกหรือ’
กริดหนีรอดอย่างหวุดหวิดขณะที่ดราเชี่ยนเสียจังหวะไปกับการมึน
เมื่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง ดราเชี่ยนแหงนมองแผ่นหลังกริดด้วยสีหน้าตกตะลึง ประหนึ่งชายหนุ่มคือสัตว์ประหลาดดุร้าย
กริดที่หลุดพ้นจากเขตคุกนรก ส่ายหน้าพลางรำพัน
“ดูม… จะไปเอาอะไรไปชนะของแบบนั้น!”
> ขึ้นไปข้างบนตอนนี้อาจไม่ปลอดภัย…
คำสาปของดราเชี่ยนซึ่งควรจะปกคลุมดินแดนจักรวรรดิอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว กลับถูกผนึกไว้ในเวิ้งคุกนรกเป็นการชั่วคราว
ปาฏิหาริย์ดังกล่าวเกิดจากสิ่งที่เรียกว่า ‘สุดยอดศิลปะการต่อสู้’
ได้ร่วมมือกันแน่ ดราเชี่ยน
ReplyDeleteอย่างตึงอ่ะน้อนๆ 555+
ReplyDelete