จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,343
คงไม่มีใครเคยคาดคิดว่า สักวันหนึ่ง มนุษย์จะกล้าดวลกับจอมอสูรและเป็นฝ่ายได้รับชนะ
ทวีปตะวันตกเคยเกือบถูกทำลายเพียงเพราะการปรากฏกายของจอมอสูรลำดับ 32 จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากทุกคนจะมองว่าจอมอสูรคือตัวตนที่แข็งแกร่งเกินเอื้อม
แต่ในวินาทีนี้
“ฟ่อออออ!”
ดาบในมือกริดที่มีเปลวเพลิงร้อนแรงลุกไหม้ เสียบทะลวงหัวใจโบทิส
『ถึงจะมีดยุคของจักรวรรดิและทัพหลวงมาช่วย แต่ก็เป็นความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กริดเข้าใกล้ชัยชนะตั้งแต่ตอนที่กำลังเสริมยังมาไม่ถึงแล้วครับ! 』
『ไม่ผิดแน่ครับ… แค่กริดตามลำพัง… ผู้เล่นหนึ่งคนสามารถดวลกับจอมอสูรตัวต่อตัวและได้รับชัยชนะ! 』
“เฮ—!!”
สุขสม ซาบซ่าน และตื่นตาตื่นใจ
หลังจากความตายของโบทิส เสียงโห่ร้องอันเปี่ยมด้วยอารมณ์หลากหลายพลันดังสนั่นไปทั่วเมืองหลวง ท้องฟ้าที่เคยถูกหมอกพิษปกคลุม กลับไปเป็นผืนนภาสีครามที่กระจ่างสดใสตามเดิม
กริดในสภาพหายใจหอบพลางปาดเลือดออกจากใบหน้า - มองยังไงก็ดูเหมือนสัตว์ร้ายหิวกระหาย แต่ในสายตาชาวเมืองและผู้ชมจากทั่วโลก คนคนนี้คือวีรบุรุษในดวงใจของใครหลายต่อหลายคน
“คุณกริดครับ ขอสัมภาษณ์สักครู่ได้ไหม? ทั่วโลกกำลังถกเถียงกันอย่างร้อนแรงว่า เหตุใดคุณถึงสร้างอาการมึนงงแก่จอมอสูรได้… กรุณาบอกใบ้ในเรื่องนี้ด้วยครับ”
“กรี๊ดดดด! พี่กริด! ขอลายเซ็นหน่อยค่ะ!”
ฝูงชนต่างกรูเข้ามารายล้อม
ผู้เล่นที่มองเห็นกริดในสายตา รีบรัวกดปุ่มถ่ายภาพด้วยเกรงว่าจะพลาดจังหวะสำคัญ ส่วนเด็ก ๆ ต่างตะโกนร้องขอลายเซ็นพัลวัน
กริดเมินเฉยคำถามของนักข่าวที่ยืนถือไมค์รอ เพียงเดินไปทางกลุ่มเด็กและเผยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ชื่อตัวละครอะไร?”
“ข…เขียนชื่อจริงของผมดีกว่า! แดเนี่ยล!”
“แอนค่ะ!”
“ฮะฮะ ตกลง”
กริดลูบศีรษะกลุ่มเด็กชายหญิงที่กำลังตื่นเต้น ตามด้วยการรับกระดาษมาเขียนลายเซ็น
“ผมจะเป็นช่างตีเหล็กเหมือนพี่กริดให้ได้!”
“หนูอยากรำดาบ! อยากเป็นผู้สืบทอดกริด!”
กึก
ปากกาในมือกริดที่กำลังวาดลายเซ็นอย่างชำนาญพลันชะงัก
ผู้สืบทอดกริด - อนาคตที่มันไม่เคยจินตนาการถึง กำลังทำให้จิตใจสั่นคลอนอย่างมิอาจหักห้าม
“เสร็จแล้ว”
กริดวางปากกาลง
ข้อความที่ราชาโอเวอร์เกียร์เขียนถึงแดเนี่ยล :
จงเป็นช่างตีเหล็กที่ยอดเยี่ยมเหมือนกับข่าน
ราชาโอเวอร์เกียร์เขียนถึงแอน :
จงเติบโตเป็นคนที่ดีกว่าฉัน
“เอ๋…? ผมอ่านไม่ออก!”
“ฮะฮะ!”
“เขียนอะไรลงไปหรือคะ?”
ในยุคปัจจุบัน เด็กรุ่นใหม่มักไม่สนใจความแตกต่างระหว่างโลกจริงกับซาทิสฟาย พวกเขามองทั้งสองโลกอย่างเท่าเทียม จริงอยู่ การได้รับลายเซ็นบนโลกจริงย่อมดีกว่า แต่ก็ไม่ติดขัดอะไรถ้าจะได้รับในซาทิสฟาย
กริดตอบเด็ก ๆ ที่รอคอยอย่างตื่นเต้น
“จงเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพ”
***
<ง้าวโบทิส>
เกรด : เลเจนดารี (เซต)
ความคงทน : 1,500/1,500
พลังโจมตี : 2,280
* เพิ่มโอกาส ‘ตัด’ เป้าหมาย 50%
* เพิ่มประสิทธิภาพของธาตุพิษเป็นสองเท่า
* ยิ่งผู้สวมมีความเร็วโจมตีมาก ความเสียหายยิ่งเพิ่มขึ้น
★ พลังโจมตีของอาวุธจะเพิ่มขึ้นหากใช้อาวุธคู่
หนึ่งในสองง้าวที่จอมอสูรลำดับ 17 โบทิส ชื่นชอบ ต้องใช้คู่กันสองเล่มจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
น้ำหนัก : 4,590
เงื่อนไขสวมใส่ : เลเวล 430 หรือสูงกว่า
‘ค่อนข้างดี… เงื่อนไขการสวมใส่ไม่ยากเกินไป ประสิทธิภาพก็ไม่เลว’
โบทิสดรอปอุปกรณ์สวมใส่เพียงสองชิ้น – ง้าวสองเล่ม
เพียงถือเดี่ยว ๆ ก็นับเป็นอาวุธที่ประสิทธิภาพสูงแล้ว แต่จะสุดยอดยิ่งกว่าหากไปอยู่ในมือผู้เชี่ยวชาญอาวุธคู่
‘ปัญหาคือ คนใกล้ตัวเราไม่มีใครชำนาญสิ่งนี้…’
การใช้อาวุธคู่ไม่ใช่เรื่องง่าย
หากขยับมือทั้งสองข้างส่งเดช การโจมตีจะเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ถือเป็นประเภทอาวุธที่ต้องใช้สมาธิสูงมาก โดยเฉพาะในยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่ง ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำพาไปสู่ความตาย และเมื่อสมาธิมัวจดจ่ออยู่กับการควบคุม สมองจะสังเกตการเคลื่อนไหวของศัตรูได้น้อยลง
เป็นเหตุผลที่กริดล้มเลิกการใช้ดาบคู่
‘ทักษะถืออาวุธสองมือ… ใครมีบ้างนะ?’
ทักษะติดตัวเกรดยูนีค มีผลช่วยปรับท่วงท่าการโจมตีของผู้เล่นให้เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ลบผลข้างเคียงจากการถืออาวุธคู่ออก (ลดพลังโจมตี)
หากสมาชิกโอเวอร์เกียร์คนใดครอบครองทักษะนี้อยู่ กริดเตรียมมอบง้าวคู่ของโบทิสให้ใช้งานโดยไม่ลังเล
‘เก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน… หืม… เดี๋ยวนะ’
กริดหวนนึกถึงงานแข่งซาทิสฟายนานาชาติ
ในการแข่งปีก่อน คนผู้หนึ่งสามารถใช้งานดาบคู่ได้อย่างชำนาญราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และคนคนเดียวกันยังเป็นแรงบันดาลใจให้กริดออกแบบดาบคู่ที่ถูกตั้งชื่อว่า ‘วิญญาณดาบ’
ถูกต้อง ไม่ใช่ใครนอกจากครอเกล
‘หมอนั่นเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ สามารถใช้ดาบคู่ได้โดยไม่ต้องมีทักษะความชำนาญ…’
แต่ปัจจุบัน ครอเกลกลายเป็นอริยดาบ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีทักษะติดตัวในการถืออาวุธคู่ และยิ่งถ้าเป็นทักษะเฉพาะของอริยดาบ ประสิทธิภาพอาจยอดเยี่ยมกว่าความชำนาญอาวุธคู่ทั่วไปหลายเท่า
‘ดีล่ะ… ให้ครอเกลใช้ก็แล้วกัน’
คงไม่มีใครดึงศักยภาพของอาวุธมีคมได้มากเท่าอริยดาบอีกแล้ว การส่งมอบให้คนอื่นนอกจากครอเกลนับว่าเสียของ
เหนือสิ่งอื่นใด ครอเกลร่ำรวยมาก กริดสามารถทำเงินได้มหาศาลหากขายให้ชายคนนั้น
จัดแจงไอเท็มเสร็จ กริดผิวปากด้วยความโล่งใจ ชายหนุ่มมิได้กังวลว่าง้าวคู่ของโบทิสจะย้อนกลับมาทำร้ายตนในอนาคต สายสัมพันธ์ระหว่างมันและครอเกลมิได้เปราะบางเช่นนั้น นอกจากความเป็นคู่แข่ง พวกเขายังเป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน
“ข้าแค่อยากจะปลดปล่อยความเคียดแค้นให้ท่านแม่! …แค่อยากจะพบหน้าท่านแม่อีกครั้ง! ข้าขอสาปแช่งดินแดนที่มีแต่ความสุขแห่งนี้…!”
ระหว่างที่กริดกำลังดวลกับโบทิส องค์ชายเบนัวต์ถูกอัศวินควบคุมตัวขึ้นรถม้าเพื่อเตรียมนำไปขังในคุกนรก
เป็นระยะเวลากว่าสิบปีที่เบนัวต์วางแผนแก้แค้นให้มารดา ทุกลมหายใจมีแต่ความเคียดแค้นและเกลียดชัง
ใบหน้าองค์ชายสามเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น เส้นผมหงอกขาว ดูแก่ชรายิ่งกว่าโรแลนด์ซึ่งมีอายุมากกว่าเจ็ดปี สภาพไม่ต่างอะไรกับชายวัยกลางคน
‘เปล่าประโยชน์’
กริดเห็นอกเห็นใจเบนัวต์
ทั้งบิดาและพี่ชายต่างไม่แยแสความตายของมารดา (เบนัวต์คิดเช่นนั้น) ส่งผลให้ความแค้นที่มีต่อแมรี่สุมอยู่ในอกเป็นเวลานาน
องค์ชายสามปรารถนาจะอัญเชิญจอมอสูร เพื่อให้จอมอสูรอัญเชิญดวงวิญญาณของมารดา ความจริงทั้งหมดรวมถึงความเลวทรามของจักรพรรดินีแมรี่จะได้ถูกเปิดเผยเสียที
แต่แล้ววันหนึ่งบาปของแมรี่ถูกเปิดโปงโดยที่มันมิได้ทำอะไร จักรวรรดิเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ถูกต้อง ข่าวลือที่แพร่กระจายออกไป ทำให้ไม่มีใครไม่ทราบเบื้องหลังความตายของอดีตจักรพรรดินีอาเรีย
นอกจากเบนัวต์ คนอื่น ๆ ต่างมองไปยังอนาคตวันข้างหน้า มิใช่โหยหาแต่อดีต ความคับแค้นใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเบนัวต์ กลายเป็นสิ่งไร้ราคาและไม่ก่อเกิดประโยชน์
ด้วยสายตาเจือความโศกเศร้า กริดยืนจ้ององค์ชายเบนัวต์ในสภาพล่ามโซ่แน่นหนา ถูกนำตัวขึ้นรถม้า
“ขอบคุณที่ปกป้องประชาชนเอาไว้…”
เมื่อจักรพรรดินีบาซาร่ามาถึงจุดเกิดเหตุ หญิงสาวโค้งศีรษะคำนับกริดเพื่อแทนคำขอบคุณของทุกฝ่าย
ผู้คนทั่วโลกต่างตกตะลึงเมื่อเห็นบาซาร่าก้มศีรษะ เพราะเธอเป็นถึง ‘มหาจักรพรรดิเหนือฟ้าดิน’ ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าใครในทวีปตะวันตก
แน่นอน หญิงสาวมิได้แยแส เธอต้องการให้ผู้คนค่อย ๆ ยอมรับในตัวผู้ปกครองสูงสุดคนใหม่ไปทีละนิด
ท่ามกลางเสียงฮือฮา บาซาร่าเดินมากระซิบข้างกริด
“พวกเราจะไม่ประหารองค์ชายเบนัวต์ ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล”
ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจผิดหลังจากเห็นสายตากริดเจือความเศร้า
อันที่จริง ชายหนุ่มมองว่าการประหารเบนัวต์คือสิ่งที่ควรทำ และคงจะแปลกกว่าหากไม่ทำ เพราะถ้าบาซาร่าคิดจะเก็บตัวอันตรายที่ต้องการทำลายจักรวรรดิทุกลมหายใจเอาไว้ แรงสนับสนุนจากประชาชนและขุนนางอาจลดลงอย่างมาก
“เป็นเพราะคำสั่งเสียของอดีตจักรวรรดิหรือ”
อดีตจักรวรรดิฮวนเดอร์ทิ้งคำสั่งเสียไว้ว่า : กรุณาช่วยดูแลเหล่าองค์ชายเป็นอย่างดี ตัวมันคือต้นเหตุที่ทำให้เหล่าองค์ชายบกพร่องหรือประพฤติตัวเพี้ยนไปจากสามัญสำนึก แต่เนื้อแท้แล้วพวกเขาไม่ใช่คนเลว
ถึงจะเป็นคำสั่งเสียที่ฮวนเดอร์จงใจพูดกับกริด แต่ยังมีพยานอีกหลายคนร่วมรับรู้ในเหตุการณ์
คำสั่งเสียของฮวนเดอร์กำลังจะทำให้บาซาร่าตัดสินใจทำสิ่งที่ผิด?
คล้ายกับอ่านความคิดกริดออก หญิงสาวรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่แบบนั้น คำสั่งเสียของอดีตจักรพรรดิไม่มีทางอยู่เหนือความปลอดภัยของประชาชน ดิฉันตัดสินใจไว้ชีวิตเบนัวต์เพราะต้องการความรู้เกี่ยวกับจอมอสูร”
ฟังดูเข้าท่าและมีน้ำหนักมาก
ด้วยเหตุผลที่น่าสนใจเช่นนี้ บาซาร่าค่อนข้างโล่งอกที่เธอไม่ต้องประหารชีวิตหลานชายของตน
กริดซึ่งรู้จักนิสัยของเธอเป็นอย่างดี ทำเพียงยิ้มและพยักหน้า
แต่ทันใดนั้น รอยยิ้มชายหนุ่มพลันแข็งทื่อ
‘ว่าแต่… พวกอัศวินเอาชนะเบนัวต์ได้ยังไง…’
จริงอยู่ที่อัศวินของจักรวรรดิเก่งกาจที่สุดในทวีป โดยเฉพาะหน่วยอัศวินสีชาดอันโด่งดัง แต่กลุ่มอัศวินที่จับตัวเบนัวต์มีลำดับไม่สูงนัก จากการประเมินของกริด คงอยู่ราวหลักยี่สิบเท่านั้น
กลุ่มอัศวินสีชาดหลักยี่สิบสามารถล้อมจับกุมองค์ชายสาม ผู้ครอบครองสายเลือดแท้ของซาฮารันและปราณสีชาดได้จริงหรือ?
ไม่มีทาง
ต่อให้เบนัวต์อยู่ในสภาพไม่เต็มร้อย แต่กำแพงทางด้านพรสวรรค์และชาติกำเนิดไม่ใช่เรื่องที่จะก้าวข้ามกันได้ง่าย โดยเฉพาะสายเลือดแท้ของซาฮารันผู้ปกครองทวีปอย่างยาวนาน
‘จงใจปล่อยให้ตัวเองถูกจับ?’
เพื่ออะไร
‘หรือว่า…?’
หัวใจกริดพลันหล่นวูบ
เบนัวต์คือผู้เชี่ยวชาญด้านอสูร และในคุกนรกก็มีอสูรอยู่หนึ่งตน
บีฟรองเซ่
เรื่องที่ทั้งสองกำลังจะได้พบกันในอีกไม่ช้า เป็นแค่ความบังเอิญ?
แต่ไหนแต่ไร ความคลั่งไคล้ของเบนัวต์ไม่เคยเป็นสองรองใคร ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมสละความสุขสบายในวังเพื่อออกไปพเนจรทั่วทวีป
เบื่อกับชีวิตแล้ว? จึงเร่งจุดจบของตนด้วยการอัญเชิญจอมอสูร ณ ใจกลางเมืองหลวง?
‘เราเคยคิดว่าเขาคงหมดอาลัยตายอยาก… แต่ว่า’
ต้องไม่ใช่แน่
การก่อความผิดร้ายแรงจนต้องถูกขังในคุกนรก ไม่มีทางเกิดจากสาเหตุเพียงเล็กน้อย…
เบาะแสเดียวในตอนนี้คืออสูรบีฟรองเซ่
“ดันเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเสียได้… ฝ่าบาทกรุณากลับวังไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยล้าก่อน ดิฉันจะจองภัตตาคารให้ในวันถัดไป”
“ไม่ต้องรีบ”
“…”
แก้มบาซาร่าพลันแดงระเรื่อขณะจ้องแผ่นหลังกริดผู้เดินจากไป
เป็นอีกครั้งที่หญิงสาวตกหลุมรักในความใจดีและการคำนึงถึงจิตใจผู้อื่นของกริด เธอกำลังเข้าใจว่า กริดเห็นตนต้องทำงานหนักหลังจากเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวาย จึงไม่อยากเอาแต่ใจด้วยการเร่งรัดเวลา
***
อัศวินสีชาดรีบขับรถม้าที่บรรทุกคนบาป
แต่เพราะคนบาปในคราวนี้คือองค์ชาย พวกมันจึงไม่ต้องการทำให้เป็นที่เอิกเกริกต่อชาวเมือง
“หยุดก่อน!”
เมื่อเห็นรถม้าจอดหน้าคุกนรก กริดตะโกนเรียกจากจุดห่างไกล
แต่เสียงส่งไปไม่ถึงเนื่องจากระยะทางที่ไกลมาก
ลงเอยด้วย กริดชักดาบ เปิดใช้งานมายาและชุนโป
เพียงพริบตา ชายหนุ่มส่งตัวเองมายืนหน้าคุกนรก
ทันใดนั้น เสียงองค์ชายเบนัวต์ดังเล็ดลอดเข้ามาในหัว
“สมกับเป็นบุคคลที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้… หัวไวกว่าใครเพื่อน”
“…!”
ดวงตากริดพลันเบิกโพลง
เบนัวต์กระโจนเข้าไปในความมืดมิดที่ราวกับแสงสว่างถูกดูดกลืนโดยสมบูรณ์ ไม่ต่างอะไรกับมองลงไปยังหุบเหวไร้ก้น
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากเสียจนเหล่าอัศวินสีชาดตอบสนองไม่ทัน
“ชุนโป”
กริดที่เริ่มกระวนกระวาย พยายามพุ่งตัวไปจับเบนัวต์
ทว่าอีกฝ่ายสร้างม่านพลังเวทที่แข็งแกร่งปกคลุมปากทางเข้าคุกนรกอย่างมิดชิด กริดพุ่งกระแทกม่านพลังพร้อมกับกระเด็นถอยหลังเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าไม่ดี ชายหนุ่มชักดาบเพื่อเตรียมทำลายม่านพลังเวท
ระหว่างนั้น เบนัวต์ไม่หยุดรอ รีบมุ่งหน้าเข้าไปในความมืดมิดพร้อมกับฝากถ้อยคำทิ้งท้าย
“ข้าขอสาปแช่งอดีตจักรพรรดิและองค์จักรพรรดินีคนปัจจุบัน… พวกมันใช้ข้ออ้างมากมายเพื่อหลีกเลี่ยงการป่าวประกาศบาปของแมรี่!”
เสียงตะโกนสะท้อนกังวาน
องค์ชายสามกลืนหายเข้าไปในความมืด
แหม่!! ได้ลาขาดสมใจอยาก
ReplyDelete