จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 979
เฉกเช่นมอนสเตอร์อัญเชิญจำพวกวิญญาณตนอื่น ยารุกต์ไม่มีระบบเลเวลให้พัฒนา
แต่ไม่ได้หมายความว่ามันขีดจำกัดแล้ว
ยารุกต์ยังเติบโตได้ด้วยระบบฟื้นฟูพลังให้เท่ากับร่างเนื้อก่อนตาย
* ยารุกต์จะพัฒนาประสาทสัมผัสให้เฉียบคมขึ้นหากได้เผชิญหน้าศัตรูที่แข็งแกร่ง การผ่านศึกชี้เป็นชี้ตายจะส่งผลให้ยารุกต์รู้สึกถึงคุณค่าการมีชีวิต ยิ่งมันชนะศึก พลังที่แท้จริงก็ยิ่งกลับคืนมา (5/10)
นี่คือสิ่งที่ถูกระบุไว้ในหน้าต่างตัวละครของยารุกต์ ทุกครั้งที่มันเอาชนะบอสพิเศษ NPC พิเศษ หรืออสูรที่แข็งแกร่ง ยารุกต์จะฟื้นพลังกลับคืนพลังทีละนิด
ณ ปัจจุบัน ‘ดาบพิสุทธิ์’ ของยารุกต์ได้รุนแรงกว่าท่าไม้ตายของพีคซอร์ดราวสี่เท่า และทัดเทียมได้กับ ‘คลื่นทำลายล้างร่ายรำสังหาร’ ของกริด
เคร้งเคร้งเคร้งเคร้งเคร้ง!
“ชิ…!”
อพอลโล่กำลังยกโล่ตั้งรับดาบพิสุทธิ์อย่างเต็มกลืน แน่นอน มันมิอาจทานทนต่อแรงกระแทกที่เกิดขึ้น
แขนซ้ายพลันขาดสะบั้นในวินาทีที่โล่ในมือแหลกละเอียด ท่อนแขนสภาพเหวอะหวะปลิวกระเด็นในอากาศพร้อมด้วยน้ำพุโลหิต
“กัปตัน!!”
เสียงตะโกนสุดแหบพร่าของเหล่าอัศวินแสงครามพลันดังระงม
เพียงชั่วพริบตาที่เผ่าอสูรปรากฏกาย มันลงมือสังหารกลุ่มอัศวินอย่างโหดเหี้ยม รวมถึงตัดแขนกัปตันอัศวินแสงครามไปหนึ่งข้าง
พวกมันกำลังตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก
“ไม่เข้าใจเลยสักนิด… เคยได้ยินมาว่า เผ่าเนตรมารถูกขับไล่จากขุมนรกไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมเผ่าอสูรถึงช่วยปกป้องพวกมัน!!”
อพอลโล่คือ NPC พิเศษระดับสี่ซึ่งมีเลเวลสูงกว่าสี่ร้อย มันกำลังปฐมพยาบาลตัวเองเบื้องต้นด้วยทักษะ ‘ฝังเข็ม’
อพอลโล่เค้นเสียงถามอย่างเจ็บแค้น
แต่ยารุกต์มิใช่อสูรที่ชอบพล่าม
มันคืออสูรดาบซึ่งอุทิศชีวิตให้กับการไขว่คว้า ‘พลัง’ เพียงสิ่งเดียว
ไม่ว่อกแว่กสนใจสิ่งอื่นแม้แต่น้อย และไม่ใจดีขนาดต้องอธิบายสถานการณ์ฝั่งตัวเองให้ฟัง
ใช่ซะที่ไหน
“แกว่ายังไงนะไอ้ตูดหมึก?”
“…”
บรรยากาศรอบข้างพลันเงียบสงัดเมื่ออสูรดาบยารุกต์ถามกลับด้วยถ้อยคำสุดสถุน
“ทำแกถึงไม่สำรวจพฤติกรรมฝ่ายตัวเองก่อนตีโพยตีพายบ้าง?”
เป็นเสียงจากพีคซอร์ดที่หลบอยู่ด้านหลังยารุกต์
“ฝ่ายบุกรุกมันแกต่างหาก! เข้ามาในเขตเมืองคนอื่น พยายามทำร้ายร่างกาย แต่พอสู้ไม่ได้ก็โทษนั่นโทษนี่รึไง? ไม่ต่างจากพวกคนเถื่อนเลยสักนิด!!”
“…ฉันคงลืมแนะนำตัวไป พวกเราคืออัศวินหลวงแห่งราชวงศ์เก๊าส์ มีนามเต็มว่ากองอัศวินแสงคราม หมู่บ้านเรพิโอคือดินแดนอันชอบธรรมของเก๊าส์ พวกเรามีสิทธิ์อย่างเต็มที่ในการขับไล่ผู้รุกราน ฝ่ายที่ละเมิดกฎทวีปคือเนตรมารต่างหาก”
“ก…เก๊าส์? ชิ! แต่ชาวเนตรมารไม่เคยทำร้ายคนของพวกแก!”
“พวกแกรู้ได้ยังไง? มีหลักฐานงั้นหรือว่าชาวเนตรมารบริสุทธิ์? เผ่าเนตรมารคือพวกชั่วช้าที่แม้แต่ขุมนรกก็ไม่รับไว้!”
“อึก…!”
“ต่อให้ไม่คำนึงถึงเผ่าพันธุ์ แต่มันเกี่ยวข้องกับกฎหมายความปลอดภัยของอาณาจักร! พวกแกลองนึกภาพตาม หากมีกองกำลังติดอาวุธอาศัยซ่อนอยู่ใต้อาณาจักร… พวกแกจะปล่อยให้อาศัยโดยแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นงั้นหรือ?”
“…!”
ยิ่งอพอลโล่ให้เหตุผล พีคซอร์ดก็ยิ่งเถียงไม่ออก ทุกคำกล่าวจากปากอพอลโล่ ไม่มีสิ่งใดไม่สมเหตุสมผลในทางจริยธรรม
ตัวอย่างเช่น หากมีฐานทัพอากาศลับของจีนซ่อนอยู่ใต้เขตแดนประเทศเกาหลีใต้ พีคซอร์ดคงรีบส่งหน่วยพิเศษบุกถล่มโดยไม่ลังเล
ไม่สิ อาจถึงขั้นลงระเบิดนิวเคลียร์
“เข้าใจแล้ว… ที่แกพูดมาก็มีเหตุผล ในทางทฤษฎี ผู้เสียหายคือฝ่ายอาณาจักรเก๊าส์”
พีคซอร์ดจำใจยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
แต่ว่า
“แต่เรื่องของมึงสิ! อาณาจักรเก๊าส์เป็นศัตรูกับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์โว้ย! ฆ่าแม่งให้หมดยารุกต์!”
ความจริงที่ไม่อยากฟัง หากแสร้งอุดหูไว้เสีย จะถือว่าสิ่งนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน
พีคซอร์ดตัดสินใจหยุดต่อปากต่อคำ มันชักดาบสีดำเข้มเล่มใหม่ออกมาถือ เป็นดาบที่กริดสร้างจาก ‘เขาบีเลียล’ ซึ่งประสิทธิภาพสูงกว่าดาบยารุกต์เล็กน้อยหากไม่นับออปชันพิเศษ
“ลุยกันเลยยารุกต์! เชือดแม่งให้หมด!”
ฉึบ—
พีคซอร์ดเอนตัวไปด้านหลังพร้อมกับเสียบดาบเล่มใหม่เข้าฝัก
“ดาบจันทร์ขุมนรก”
ฉัวะ—
ขณะยารุกต์ใช้ดาบจันทร์ขุมนรกตวัดสังหารศัตรูเบื้องหน้า มันก็ถูกอัศวินแสงครามที่เหลือรุมล้อม
“สังหารหมู่”
พีคซอร์ดปลดปล่อยเทคนิคชักดาบฟันอันทรงพลังใส่กลุ่มอัศวินโชคร้ายรอบตัวยารุกต์
เป็นความรุนแรงที่น่าสะพรึงกลัว
เมื่อตระหนักว่าการเจรจาไม่เป็นผล อพอลโล่ใช้แขนข้างที่เหลือกำดาบในมือแน่น จากนั้นทำการอัญเชิญเปลวเพลิงสีฟ้าครามอันเกรี้ยวกราดประทับคมดาบ
“จงแผดเผา… ฉันจะใช้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกป้องอาณาจักรอันเป็นที่รัก!!”
ฟ้าวววว—!
รัศมีดาบใหญ่ยักษ์สุดน่าเกรงขามกำลังพุ่งตรงมายังพีคซอร์ด
ขณะพีคซอร์ดเสียจังหวะชั่วครู่จากผลข้างเคียงเทคนิคชักดาบฟัน แวนเนอร์ได้พุ่งชาร์จมายืนข้างกายพร้อมกับยกโล่ในมือปกป้อง
เปรี้ยงง—!
เส้นดาบจากอพอลโล่ปะทะโล่แวนเนอร์จนเกินเสียงสนั่นกึกก้อง
สีหน้าแวนเนอร์พลันดำมืด
‘ต่างชั้นกันเกินไป…!’
NPC ระดับสี่ยังเกินไกลเอื้อมผู้เล่นอยู่สินะ
ในเมื่อคลาสระดับสามยังโค่นคลาสระดับสองได้ราบคาบถึงเพียงนั้น นับประสาอะไรกับศึกระหว่างคลาสระดับสี่และสาม
ต่อให้พลังโจมตีลดทอนลงหลายส่วนจากการเหลือแขนเพียงหนึ่งข้าง แต่แวนเนอร์ก็ยากจะต้านท่าไม้ตายจากอพอลโล่ไหว
ท้ายที่สุด แวนเนอร์ได้รับบาดเจ็บภายใน มันกระอักก้อนเลือดคำโตออกจากปาก
“เฮ้! ยารุกต์ รีบฆ่ามันสิโว้ย!!”
“หุบปาก แกไม่ใช่เจ้านายฉัน”
ยารุกต์เร่งจังหวะเพื่อรุกหนักใส่อพอลโล่ มันย่อมทราบดี หากไม่รีบจัดการศัตรูที่น่ารำคาญตัวนี้ เจ้านายของมันอย่างพีคซอร์ดอาจได้รับอันตราย
เคร้งเคร้งเคร้งเคร้ง—!
เทคนิคดาบเผ่าอสูรจะตรงข้ามกับเทคนิคดาบของมนุษย์โดยสิ้นเชิง
วิชาดาบที่ฟาดฟันจะเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตศัตรู แต่แลกมาด้วยพลังชีวิตของผู้ใช้งาน เทคนิคดาบที่ไม่คุ้นชินได้สร้างแรงกดดันจนสะกดอพอลโล่ไว้อยู่หมัด
ขณะเดียวกัน อพอลโล่ก็พบช่องโหว่ในวิชาดาบของยารุกต์ราวหนึ่งหรือสองจุด
แต่นั่นเป็นกลลวง
และอพอลโล่ก็มองออก
มันทราบดีว่า หากผลีผลามโจมตีใส่จุดอ่อนที่ศัตรูจงใจเผย ศพของตนคงออกมาไม่สวยแน่ หากมันยังเหลือสองแขน การต่อสู้คงไม่ถูกกดดันฝ่ายเดียวเช่นนี้ มันจะใช่โล่ควบคู่กับดาบเพื่อสร้างสมดุลในท่าโจมตีและตั้งรับ
การประมาทท่าใหญ่ระลอกแรกนับเป็นความฉิบหายที่ต้องจ่ายค่าโง่ราคาแพง
“เจ๋ง! ต้องอย่างนั้น!”
“ยารุกต์! บี้มันให้ตาย!!”
แน่นอน พีคซอร์ดและแวนเนอร์ไม่เข้าไปก้าวก่ายในศึกดวล นั่นจะเป็นการรบกวนยารุกต์โดยใช่เหตุ
“ไอ้พวกระยำ!”
อัศวินแสงครามหลงเหลือไม่ถึงสิบนาย พวกมันแผดเสียงตะโกนด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
ขณะฝ่ายอาณาจักรเก๊าส์ต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกกับเผ่าอสูร คนของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์เอาแต่หลบหลังอสูรและส่งเสียงเชียร์ดีใจ
“พวกแกต้องเจอกับเรา!!”
กลุ่มอัศวินแสงครามปรี่เข้าหาแวนเนอร์และพีคซอร์ดด้วยดาบที่หุ้มด้วยเพลิงสีฟ้า
คงผ่านการฝึกหนักมาไม่น้อย ค่ายกลของพวกมันผสานงานได้น่าตื่นตาตื่นใจประหนึ่งงานศิลป์อันงดงาม
“อ๊ากกก!”
เคร้ง! เคร้ง!
พีคซอร์ดใช้ดาบปัดป้องดาบเพลิงสองเล่มจากฝั่งซ้าย แต่ถูกดาบเพลิงอีกสองเล่มจากฝั่งขวาแทงเข้าสีข้างจนส่งเสียงโหยหวน โชคดีที่ยังมีปฏิกิริยารวดเร็ว สามารถโยกตัวหลบพ้นจุดตายมาได้
พีคซอร์ดกลิ้งไปพื้นพลางนึกถึงใบหน้ากริด
แค่รับมือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเพียงสี่คนยังยากลำบากเพียงนี้ แล้วก็อดกริดรับมือท็อปแรงเกอร์หนึ่งต่อสี่ร้อยไหวได้อย่างไร?
ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว
สมกับเป็นก็อดกริด
คิดไม่ผิดที่เลือกติดตามรับใช้
เท่โคตร! เจ๋งเป้ง!
“ก็อดกริดยอดเยี่ยมที่สุด!!”
‘หมอนั่นอาการกำเริบรึไงฟะ?’
ในห้วงวินาทีความเป็นความตาย ถ้อยคำเยินยอกริดกลับหลุดออกจากปากพีคซอร์ด แวนเนอร์คิดเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากอีกฝ่ายเสียสติไปแล้ว
“…!?”
ขณะหลบหลังโล่ หางตาแวนเนอร์พลันกระตุก มันขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย สาเหตุเพราะโล่ในมือใกล้ถูกทำลายจากการสูญเสียค่าความคงทน
‘นี่สินะ… อัศวินหลวงประจำราชวงศ์’
อัศวินแสงครามคือหน่วยรบที่ไม่ธรรมดา
ค่ายกลพวกมันไร้จุดบอด แถมยังมีดาบหุ้มเปลวเพลิงที่สร้างความเสียหายได้สูงกว่าปรกติ
ดาบเพลิงสี่เล่มกระหน่ำแทงใส่โล่แวนเนอร์ในทุกวินาทีราวกับไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายพักหายใจ
“อั่ก! แค่ก! ฉันจะตายอยู่แล้วโว้ย!”
แวนเนอร์ถูกดาบเพลิงแทงใส่เอวจนต้องส่งเสียงแหกปาก แต่ด้านพีคซอร์ดก็ตึงมือไม่ต่างกัน ไม่มีใครยื่นมือช่วยใครได้
สภาพย่ำแย่พอกัน ทั้งสองถูกแทงใส่ช่องท้อง เอว และหลัง ไปแล้วหลายแผล
“นายเป็นแทงค์ นายต้องปกป้องฉันสิฟะ! ฉันจะหลบหลังนายเอง!”
“…”
สิบวีรชนผู้ก่อตั้งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
ทหารโอเวอร์เกียร์กำลังเฝ้ามองตำนานและวีรบุรุษของพวกเขาต่อกรกับศัตรูสุดแกร่งอย่างยากลำบาก เหงื่อไคลเปียกชุ่มร่างกาย ทุกคนล้วนคิดว่านี่ต้องเป็นศึกแห่งประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำไปชั่วชีวิต
แต่ไม่ใช่เลย การต่อสู้ดำเนินไปอย่างทุลักทุเลและมีแต่ถ้อยคำโต้เถียง
“พวกเราก็จะร่วมสู้ด้วย!!”
“โอ๊ส!! ลุย!!”
ทหารที่ถอยห่างเพราะคำสั่งแวนเนอร์ พวกเขาเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่พักใหญ่ ถึงเวลาที่ต้องลงมือสนับสนุนบ้างแล้ว
ทุกคนเตรียมสละชีพเพื่อผู้เป็นนาย
หัวจิตหัวใจหวังตายแทนพีคซอร์ดและแวนเนอร์โดยไม่ลังเล
“ย๊ากกกก!”
“ชิ… ทั้งที่ฉันบอกให้หนีไป…”
พีคซอร์ดและแวนเนอร์ย่อมไม่ปลื้มนักที่ทหารกรูกลับเข้ามาช่วย
พวกมันไม่เสียใจที่ตัวเองต้องตาย ทั้งสองคือผู้เล่นที่คืนชีพใหม่ได้ อาจสูญเสียไอเท็มและค่าประสบการณ์ไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าสูญเสียทหารกล้าซึ่งมีเพียงชีวิตเดียว
ทหารเหล่านี้ถูกฝึกหนักโดยปิอาโร่ อัสโมเฟล และจู๊ด เป็นเวลานาน พีคซอร์ดกับแวนเนอร์ไม่ต้องการให้พวกมันเสียชีวิตอย่างไร้ประโยชน์
ตลอดเดือนที่ผ่านมา ทุกคนร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันจนเกิดเป็นสายสัมพันธ์
“บ้าจริง… ยารุกต์!! ช่วยทหาร!!”
พีคซอร์ดรอดตายหวุดหวิดชั่วคราวเนื่องจากการเข้าแทรกแซงของกลุ่มทหาร มันหันไปตะโกนสั่งยารุกต์
โชคร้ายที่ยารุกต์ไม่อยู่ในสถานการณ์ซึ่งสามารถกระทำเช่นนั้นได้
อพอลโล่คือบุคคลที่แข็งแกร่งระดับท็อปของอาณาจักรเก๊าส์ ต่อให้เหลือแขนเดียว แต่ถ้าไม่ใช่ทักษะที่ทรงพลังอย่างดาบพิสุทธิ์ก็เอาลงได้ไม่ง่ายนัก
ใจและกายของมันทุ่มเทให้การปกป้องอาณาจักร พลังต่อสู้อพอลโล่ถูกรีดเร้นจนถึงขีดสุด และมันยิ่งมีสมาธิเต็มเปี่ยมหลังจากเสียแขนไปหนึ่งข้าง เทคนิคดาบจากยารุกต์เริ่มคุกคามอพอลโล่ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าตอนแรก
“บัดซบ… เสนาบดีเผ่าเนตรมารไปไหนกันหมด!!”
โครม!
แวนเนอร์ใช้ไหล่กระแทกอัศวินจนล้มลงเพื่อช่วยเหลือกลุ่มทหาร สายตามันชำเลืองมองไปยังประตูทางเข้าปราสาท
ทั้งที่ด้านนอกเอะอะวุ่นวายขนาดนี้ แต่กลับไม่มีเสนาบดีเนตรมารแม้แต่ตนเดียวเปิดประตูออกมาช่วย
‘พวกบัดซบ… ทั้งที่เราสละชีวิตปกป้อง’
แวนเนอร์ตัดพ้อ การสละชีวิตของมันและพีคซอร์ดกลายเป็นสิ่งสูญเปล่า
ช่วงเวลาเช่นนี้มีชื่อเรียกด้วยศัพท์เฉพาะว่า
‘ฮยอนจาไทม์*’ (ภาวะนักปราชญ์)
(*현자타임 — หมายถึงช่วงเวลาที่หัวสมองโล่ง ปราศจากความละโมบหรือตัณหาครอบงำ ตัวอย่างเช่น : การสั่งอาหารในตอนที่หิวจัด เมื่อสั่งมาเยอะแล้วเริ่มกินไปจนถึงจุดอิ่ม แต่อาหารกลับยังเหลือเพียบ สมองจะเข้าสู่ภาวะความฉลาดที่เรียกว่า ‘รู้งี้ไม่น่า…’)
ซู่ว—
ทันใดนั้น ดอกไม้ปริศนากลับเบ่งบานอย่างน่าฉงนท่ามกลางสนามรบที่คละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด
มันไม่ได้บานจากพื้น
แต่กลีบดอกเริ่มผลิบานจาก ‘หัวใจ’ ของอัศวินแสงครามโชคร้ายนายหนึ่ง
“…?”
ภาพหลอนงั้นหรือ?
อัศวินคนที่เห็นกลีบดอกสีแดงผลิบานจากหน้าอกข้างซ้าย ใบหน้าของมันกำลังขาวซีด
โลหิตไหลซึมจากทวารทั้งเจ็ด
จากนั้น
“…!”
มันล้มหงายหลังกับพื้นโดยมิได้กล่าวสิ่งใด
บุปผาโลหิตยังคงเติบโตบานสะพรั่งพร้อมกับผลิกลีบดอกแดงฉานงดงาม
ซู่ว—
ดอกไม้เลือดที่แผ่ขยายกิ่งก้านขึ้นไปในอากาศจน พอถึงจุดหนึ่ง มันเริ่มละลายกลับกลายเป็นหยดเลือดแดงสด ตกกระทบพื้นจนเจิ่งนองไปทั่วหน้าปราสาท
ใช่แล้ว
ดอกไม้ที่ทุกคนเห็น ทั้งหมดคือเลือดของอัศวินแสงครามโชคร้ายที่หงายหลังนอนแผ่บนพื้นหินเย็นยะเยียบ
“…เกิดอะไรขึ้น!!”
ใครเป็นคนสังหารพวกพ้องของมันโดยไร้สุ้มเสียงเช่นนี้?
ใครยื่นมือเข้าช่วยพวกตน?
ทั้งฝ่ายอัศวินแสงครามและโอเวอร์เกียร์ต่างพากันฉงนกับเหตุการณ์ตรงหน้า
“…ฟู่ว พวกเรารอดแล้ว”
พีคซอร์ดและแวนเนอร์ถอนหายใจยาวพลางอมยิ้มด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
เพียงชำเลืองสายตาก็ทราบทันทีว่าการโจมตีเมื่อครู่เป็นฝีมือจากใคร
เงามืดที่คอยเร้นกายปกป้องอาณาจักรโอเวอร์เกียร์อยู่เบื้องหลังเสมอมา
เทพสังหาร เฟคเกอร์
ตุ้บ…
อัศวินแสงครามล้มลงไปอีกหนึ่งคน
‘เกิดเรื่องบ้าอะไรกันแน่?’
สีหน้าของพวกมันกำลังดำมืด พวกพ้องตายไปสองคนโดยที่ยังหาสาเหตุไม่พบ แต่ละคนพยายามกวาดสายตามองโดยรอบด้วยนัยน์ตาที่สั่นระริก
แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
เฟคเกอร์ที่ปลดปล่อยเทคนิคลับลันเทียร์ได้เข้าสู่ภาวะไร้ตัวตน
ตึกตัก…
ตึกตัก…
สนามรบถูกบรรยากาศสุดเงียบงันเข้าครอบงำ สิ่งเดียวที่ดังกังวานคือเสียงหัวใจของเหล่าอัศวินแสงครามซึ่งกำลังเต้นไม่เป็นจังหวะ
นอกงั้นเงียบเชียบ…
…ตุ้บ
หน่วยแสงครามล้มลงทีละคนสองคนโดยที่ยังหาสาเหตุการตายของพวกพ้องไม่พบ
“…หมอนั่นเจ๋งชะมัด”
“อา… ไม่ได้เก่งเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการฝึกหนักจนอาเจียนเป็นเลือด”
พีคซอร์ดและแวนเนอร์ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้น สายตาพวกมันเบือนหันไปมองการดวลระหว่างยารุกต์และอพอลโล่
ศึกดวลกินวงกว้างกว่าที่คิด รู้ตัวอีกที ทั้งยารุกต์และอพอลโล่ก็เขยื้อนจุดต่อสู้ไปใกล้ปากทางเข้าปราสาทแล้ว
ระหว่างคนทั้งสอง…
ตึก—
เงาดำพุ่งลงมาจากด้านบน
เป็นเฟคเกอร์
อพอลโล่ที่รักษาสมดุลการต่อสู้ไว้ได้นาน ขณะมันเล็งหาโอกาสโต้กลับ ศัตรูคนใหม่ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดฝัน
ผลลัพธ์เข้าขั้นเลวร้าย
พีคซอร์ด แวนเนอร์ และทหารโอเวอร์เกียร์เอาชนะกองอัศวินแสงครามได้เร็วกว่าที่คิด แถมพวกมันแทบไม่บาดเจ็บ
และถัดมาไม่นาน
“พวกนายทำได้ดีมาก”
กริดมาถึงจุดเกิดเหตุ
เมื่อพีคซอร์ดและแวนเนอร์เห็นผู้นำของตนเข้าสู่สงคราม สีหน้าพวกมันโล่งใจเป็นที่สุด
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว… อยากพักจะแย่”
“ไม่มีปัญหา พวกนายไปพักได้เลย”
“ฮะฮ่า… ล็อกเอาต์”
“โอ๊ส!! ฝ่าบาทกริด!!”
กลุ่มทหารส่งเสียงเฮดังสนั่น
กริดปรากฏตัวพร้อมทัพเสริมจำนวนหลายพัน หน่วยปกป้องเมืองทุกคนต่างแสดงสีหน้าโล่งใจ
“ฉันจะไม่ลืมความจงรักภักดีที่พวกนายมอบให้ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา”
ผู้เหลือรอดล้วนมีสภาพร่อแร่เจียนตาย ทุกคนไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะขานตอบ
กริดกวาดสายตาเพื่อจดจำใบหน้าพวกมันไว้ เขาตระหนักถึงความเหน็ดเหนื่อยที่หน่วยปกป้องหมู่บ้านได้รับตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ชายหนุ่มมีแผนจะตกรางวัลอย่างงามให้กับทุกความจงรักภักดีที่คนเหล่านี้มอบให้
“ฝ่าบาท”
สติกส์วิ่งเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“ผมสัมผัสถึงมวลพลังเวทมหาศาลภายในปราสาท”
“ในปราสาท?”
กริดรีบหันมองประตูทางเข้า มันยังคงปิดสนิทเช่นเดิม ปราศจากรอยงัดแงะของผู้บุกรุก
“ใช่เวทมนตร์ของราชาเนตรมารรึเปล่า?”
“ราชาเนตรมาร… ไม่ใช่… เป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลังกว่านั้นมาก”
จอมปราชญ์สติกส์
น้ำเสียงของไฮเอลฟ์ผู้นี้สั่นเครือไม่บ่อยครั้งนัก ไม่แม้กระทั่งในยามเอ่ยถึงนามโกลด์ฮิตหรือราชาเนตรมาร แต่ปัจจุบันกลับ…
“ใครบางคนเข้าไปในปราสาทโดยไม่ผ่านประตูทางเข้า…”
คนที่จะทำแบบนั้นได้
“ปริมาณพลังเวทของมัน… มหาศาลยิ่งกว่าราชาจอมเวทหลายเท่า”
“…หรือว่า!”
ใบหน้ากริดพลันขาวซีด ชายหนุ่มรีบตรงไปยังประตูปราสาท
และเมื่อเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้เห็น…
รอยคราบเลือดเปรอะเปื้อนเป็นทางยาวไปถึงหน้าท้องพระโรงราชา
สถานที่แห่งนี้เคยมีสามเสนาบดีเนตรมารผู้ครอบครอง ‘เนตรบงการ’ ที่มีพลังออกคำสั่งแก่เหยื่อ
เดาได้ไม่ยากว่าใครเป็นเจ้าของรอยเลือดเหล่านี้
“โธ่เว้ย!”
ราชาเนตรมารกำลังตกอยู่ในอันตราย!
กริดที่กำลังหวั่นวิตกรีบเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด
และเมื่อเข้าไปภายในท้องพระโรงหลักที่ราชาเนตรมารประทับอยู่
[ท่านเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับสูงที่แข็งแกร่งแห่งยุคสมัยปัจจุบัน]
กริดประสานสายตากับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งกำลังจับตัวราชาเนตรมารไว้
เด็กหนุ่มปริศนามีรูปร่างผอมเพรียว ใบหน้าหล่อเหลา แววตาแฝงความเบื่อหน่าย
“เหยื่อรนหาถึงที่เลยหรือ”
ชื่อเหนือศีรษะเขียนไว้ว่า ‘ซิกเฟรคเตอร์’
แค่ผู้คนมักรู้จักในนาม ‘แกรนมาสเตอร์’ เสียมากกว่า
“ไม่สิ… ต้องเรียกราชาโอเวอร์เกียร์ถึงจะถูกใช่ไหม?”
[สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำงาน!]
[ปราณต่อสู้กลายเป็นค่าสูงสุดทันที!]
“ปล่อยมือของแกซะ!!”
‘เสมือนเทพ’ ถูกใช้งานโดยไม่ลังเล
กริดผสานใบดาบท้าทายเทพเข้ากับดาบอัสนีฯ และปลดปล่อยดาบพินาศทัพหนึ่งแสน
บึ้มบึ้มบึ้มบึ้มบึ้ม!!
เส้นดาบสีม่วงแดงจำนวนมากพุ่งปะทะร่างแกรนมาสเตอร์พร้อมกับเกิดระเบิดกัมปนาท
แน่นอน แกรนมาสเตอร์ที่ใช้มือคว้าคอราชาเนตรมารไว้ ร่างกายของมันไม่ปรากฏแม้แต่รอยขีดข่วนให้เห็น
“ความตายอาจเป็นเรื่องน่ากลัว แต่ขอรับประกันว่ามันมิได้เจ็บปวดอย่างที่คิด ถึงเวลาที่เจ้าต้องตายแล้ว”
แกรนมาสเตอร์กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มันหยิบบางสิ่งที่คล้ายกระจกออกมาถือ พร้อมกับคลายผ้าคาดตาที่ราชาเนตรมารกำลังสวม
ทันใดนั้น
“เคลื่อนย้ายมิติแบบกลุ่ม!”
สติกส์ใช้เวทย้ายตำแหน่งชั่วพริบตา
มันพากริดไปโผล่ข้างกายราชาเนตรมาร
ชายหนุ่มรีบนำแว่นตาสวมให้ราชาเนตรมารทันที
อุปกรณ์สวมใส่ประเภทเครื่องประดับสามารถยัดเยียดใส่ร่างกายอีกฝ่ายได้หากไม่มีการดิ้นรนขัดขืน
ไอเท็มดังกล่าวคือ ‘แว่นตาอีเธอร์’ รุ่นที่อลิซาเบธเป็นผู้สร้าง
“…?”
ใบหน้าแกรนมาสเตอร์พลันดำมืด
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,372
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
ขอบคุณมากครับ😊🙏
ReplyDeleteถล่มทิ้งให้หมด ๆ ไป . . . วัลฮาล่าขยะนั่นน่ะ
ReplyDelete