จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 978
“ฝ่าบาทเกี่ยวข้องอย่างไรกับคนผู้นั้น?”
สติกส์เอ่ยปากถาม
สายตาของมันชำเลืองมองราชาเวทมนตร์ ‘โกลด์ฮิต’ ที่ด้านหลัง
“หืม? ความสัมพันธ์? ไม่ซับซ้อนอะไรเลย ต่างฝ่ายต่างฆ่ากันให้หายไปจากโลก…”
เมื่อกริดตอบเสร็จ สติกส์เงยหน้าขึ้นมอง
“แล้วทำไมหล่อนถึงปล่อยให้ฝ่าบาทผ่านเข้ามาได้ง่ายนัก?”
“ทำไมน่ะหรือ? ไม่รู้แฮะ มานาหมดมั้ง?”
“มานาของราชาจอมเวทจะฟื้นฟูได้เร็วกว่าเอลฟ์ที่มีบัฟต้นไม้โลก และจากการประเมินของผม ราชาจอมเวทยังฟื้นฟูมานาขณะต่อสู้ได้ด้วย”
“เรี่ยวแรงหมดรึเปล่า? เมอร์เซเดสเคยบอกกับฉันว่า ราชาจอมเวทมีร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ”
“ไม่นะ ผมไม่เห็นว่าเป็นเช่นนั้น”
“หืม… สติกส์ นายกลัวหล่อนหรือ?”
“ฮะฮะ… แน่นอนอยู่แล้ว ราชาจอมเวทผู้นี้แข็งแกร่ง ผมเป็นเพียงผู้แสวงหาความรู้ มิใช่จอมเวท”
“นายก็ใช้เวทมนตร์ได้นี่? ฉันเคยเห็นนายสร้างยาครอบจักรวาลและเวทเคลื่อนย้ายมิติ”
“ผมร่ำเรียนโดยบังเอิญระหว่างแสวงหาความรู้ มิใช่สิ่งที่อวดโอ่ต่อหน้ามหาจอมเวทอันดับหนึ่งของทวีปได้”
“หืม… งั้นหรือ”
‘แปลว่า.. หล่อนอาจเข้าใจผิดเกี่ยวกับตัวเราในบางเรื่อง… ไม่สิ… คงไม่หรอกมั้ง’
โกลด์ฮิตซึ่งร่ายเวทล้มเหลวอาจเข้าใจผิด คิดว่ากริดสามารถถอดรหัสเวทมนตร์ได้ทุกครั้ง ทั้งที่ความจริงแล้วแค่ดวงดี
ในช่วงหลัง ความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นกับตัวเขามันบ่อยครั้งจนเริ่มน่าหงุดหงิด บ่อยชนิดที่นิยายเกรดบียังไม่พบเจอถี่ขนาดนี้
บ่อยจนไม่น่าเชื่อว่าโกลด์ฮิตจะเป็นไปด้วย
แต่กริดก็ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่หล่อนจะเข้าใจผิด
สถานการณ์รอบตัวกริดมักดำเนินไปอย่างผิดแผกเพราะความเข้าใจผิดเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งเหตุการณ์ตรงหน้า
‘ช่างเถอะ… จะอย่างไหนก็ไม่เลว’
อาจเป็นผลพวงจากค่าความโชคดีกระมัง
นี่เขาเอาชนะความอับโชคได้แล้วสินะ
‘สิบปีผ่านไป… ในที่สุดเราก็มีพัฒนาการด้านโชคเหมือนกับตัวเอกนิยายเกรดเอสักที!’
เป็นการเชื่อมโยงแสนมั่วซั่ว
แต่เขาไม่สน กริดคิดเป็นจริงจังว่าตนคือตัวเอกของนิยายเรื่องดัง
ขณะแอบกำหมัดดีใจ กริดและพวกพ้องได้เดินผ่านเมืองเรพิโอเข้ามาถึงแท่นน้ำพุ
ใจกลางลานน้ำพุมีรูปปั้นหินของเด็กชายเปลือยกายที่น่าขบขันวางตั้งอยู่
บนพื้นแท่นมีคราบน้ำเปียกซึมเล็กน้อย
ขนาดของลานน้ำพุไม่ใหญ่มาก
ในครั้งแรกที่กริดเดินทางมายังหมู่บ้านเนตรมาร เขาอาศัยความช่วยเหลือจากแท่นน้ำพุแห่งนี้เพื่อเข้าไปด้านใด ชาวเนตรมารได้กระทำบางสิ่งกับน้ำพุจนประตูมิติถูกเปิดออก
“ฉันจำกลไกไม่ได้… ขอถามลอเอลก่อน”
“ผมจัดการเอง”
สติกส์เคยสนทนากับ ‘เดสตินีการ์เดี้ยน’ บ่อยครั้งในอดีต มันไต่ถามเรื่องทั่วไปรวมถึงทางลับสำหรับเข้าไปยังหมู่บ้านใต้ดินเนตรมาร
ครืนนน…
เมื่อสติกส์ลงมือบิดรูปปั้นสองถึงสามครั้ง ห้วงมิติใจกลางแท่นน้ำพุเริ่มบิดเบี้ยวและเปิดออก
มันคือประตูมิติที่จะส่งบุคคลภายนอกเข้าไปยังปากทางเข้าหมู่บ้านเนตรมาร
“อายุขัยเหลืออีกไม่มากแล้ว”
“อายุขัย?”
อายุขัยอะไร?
กริดพลันนึกขึ้นได้ว่า สติกส์ต้องเจ็บป่วยบ่อยครั้งเพราะได้รับคำสาปจากมังกร
“สติกส์ นายกำลังจะตายงั้นหรือ?”
“…”
สติกส์จ้องมองกริดโดยที่ยังปิดปากเงียบ
ในฐานะไฮเอลฟ์ อายุขัยของสติกส์สูงกว่ามนุษย์หลายสิบเท่า แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็หวังจะมีชีวิตให้ยืนยาวที่สุด
ในอดีต สติกส์จะรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายทุกครั้งที่อาการหัวใจกำเริบ เมื่อกริดเอ่ยปากถามจนสะกิดแผลใจ สีหน้าของเขาพลันเศร้าหมอง
“ผมไม่ได้หมายถึงตัวเอง… แต่หมายถึงอายุขัยของอุปกรณ์เวทมนตร์ประตูมิติ”
“ประตูมิติมีอายุขัยด้วยรึไง?”
“เฉกเช่นไอเท็มที่มีค่าความคงทน อุปกรณ์เวทมนตร์ทุกชิ้นล้วนมีอายุขัยของมัน ไม่มีสิ่งใดอยู่ค้ำฟ้าได้ชั่วนิรันดร์ และยิ่งเป็นสิ่งที่ถูกกระตุ้นอย่างผิดธรรมชาติบ่อยครั้ง อายุขัยก็ยิ่งลดลงรวดเร็ว”
“ถูกกระตุ้นอย่างผิดธรรมชาติ?”
“ดูเหมือนโกลด์ฮิตจะใช้เวทมนตร์พิเศษบางชนิดโดยมีแท่นน้ำพุเป็นสื่อกลาง การกระทำของหล่อนส่งผลให้อายุขัยของแท่นน้ำพุลดลงเร็วกว่าปรกติ แต่ก็น่าจะใช้งานได้อีกสักหนึ่งปี…”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันถูกทำลาย?”
“ทางเข้าระหว่างหมู่บ้านเนตรมารและโลกภายนอกจะถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง”
“นายซ่อมแซมหรือสร้างใหม่ได้ไหม?”
“คงยาก อุปกรณ์ประตูมิติชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือเผ่าอสูร แต่การที่เผ่าอสูรจะขึ้นมายังโลกมนุษย์…”
“…หืม ช่างเถอะ ยังไงเสีย ชาวเนตรมารก็ต้องออกมาด้านนอกสักวันอยู่แล้ว”
แต่นั่นย่อมมีปัญหาตามมา
เมื่อฐานหลักของเผ่าเนตรมารถูกย้ายออกมาสู่โลกภายนอก พวกมันไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกต่อไป
“ฝ่าบาทคิดจะให้เผ่าเนตรมารอาศัยในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์งั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอสารภาพตามตรงว่า ผมสนใจภูมิปัญญาเผ่าอสูรที่หลับใหลในหอสมุดเนตรมารมานานแล้ว… พวกเราเข้าไปกันเถอะ”
กริด สติกส์ อดีตผู้เล่นกิลด์ไจแอนต์ รวมถึงทหารโอเวอร์เกียร์อีกกว่าสองพันนาย ทุกคนเดินผ่านประตูมิติเข้าไป
…
ทันทีที่กริดปรากฏตัวหน้าทางเข้าหมู่บ้านเนตรมาร สีหน้าชายหนุ่มพลันกระอักกระอ่วน
สาเหตุเพราะ สถานการณ์ไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการไว้แม้แต่น้อย
“…”
ทหารโอเวอร์เกียร์กำลังยืนขวางทางเข้าหมู่บ้านด้วยสีหน้าอิดโรย
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น พวกเขาถูกทิ้งไว้ลำพังเป็นเวลานาน ชุดเกราะชำรุดจนไม่เหลือเค้าเดิม ซ้ำยังมีบาดแผลเต็มตัว
เพียงชำเลืองมอง กริดก็เห็นถึงความยากลำบากตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
คงไม่ต่างจากขุมนรกมากนัก
ทุกคนคงเหนื่อยเจียนตาย
แต่ว่า... ความฮึกเหิมตรงหน้าคืออะไร?
สายตาของทหารโอเวอร์เกียร์ยังคงแหลมคมดุจดั่งใบมีด พวกมันจ้องเขม็งใส่กลุ่มทหารจักรวรรดิโดยไม่เผยความอ่อนแอให้เห็น
ในทางกลับกัน ทหารจักรวรรดิที่ยืนเผชิญหน้าล้วนกำลังเหม่อลอย
ชุดเกราะของพวกมันไร้รอยขีดข่วนก็จริง แถมเรี่ยวแรงยังหลงเหลืออีกมาก แต่ราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างโดยสมบูรณ์
“…?”
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
กริดกวาดสายตามองเข้าไปในเมืองด้วยสีหน้าสุดฉงน
ด้านหลังกลุ่มทหารที่กำลังยืนขวางทาง ชายหนุ่มมองเห็นภาพสงครามอันสยดสยองซึ่งเต็มไปด้วยฉากนองเลือดสะอิดสะเอียน
สตรีเลอโฉมผมสีดำขลับใช้ดาบในมือแทงใส่ช่องท้องอัศวินเกราะฟ้า จากนั้น เธอชักปืนสั้นจ่อใส่ขมับอีกฝ่ายอย่างเลือดเย็น
“ว… ไว้ชีวิตด้วย!”
อัศวินร้องขอชีวิตด้วยร่างกายที่ชุ่มเลือด
แต่เปล่าประโยชน์
ปัง!
สาวงามผมดำลั่นไกโดยมิกล่าวสิ่งใด
ศีรษะอัศวินเกราะฟ้าระเบิดกระจายประหนึ่งผลแตงโมถูกทุบ
“เฮ—!!”
ตึก! ตึก! ตึก!
ทหารโอเวอร์เกียร์ที่ปากทางเข้าต่างส่งเสียงคำรามเฮสั่นอย่างฮึกเหิม จากนั้น พวกมันทุกคนคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
ทหารจักรวรรดิที่ยืนเผชิญหน้าด้วยแววตาเหม่อลอยอยู่นาน แต่ละคนถูกดึงสติกลับมาพร้อมกลับผงะถอยหลังสองก้าว
“มาถึงแล้วสินะ”
ขณะเก็บกวาดศัตรูที่เหลือ สตรีผมดำหันมองตามเสียงเอะอะที่ปากทางเข้า
เมื่อเห็นกริด เธอฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขสุดขีด เป็นรอยยิ้มแสนงดงามซึ่งไม่เข้ากับความอำมหิตที่เพิ่งสังหารอัศวินเก๊าส์ไปเมื่อครู่
“ไง… คงเหนื่อยแย่เลยสินะ”
นี่น่ะหรือทักษะ ‘มิติขุมนรก’ ?
ยูร่าแทงดาบใส่ประตูมิติลึกลับที่เปิดออกจากความว่างเปล่าเบื้องหน้า ปลายดาบโผล่ยังห้วงมิติอีกฝั่งซึ่งอยู่ห่างออกไป
คมดาบของเธอแทงทะลวงใส่จุดอับสายตาของอัศวินเกราะฟ้าอย่างโหดเหี้ยม
กริดนึกชื่นชมในใจ
ต่อให้เป็นเขา แต่ก็คงมิอาจรับมือการโจมตีสุดพิสดารจากมุมอับได้แน่
‘เธอแข็งแกร่งมาก…’
ถ้าเกิดว่า…
ถ้าเกิดว่าเขาแต่งงานกับยูร่า ตนจะไม่ถูกซ้อมอยู่ฝ่ายเดียวเวลาทะเลาะกันหรอกหรือ?
ใครบอกว่าฝีมือต่อสู้และความอำมหิตในเกมจะนำไปใช้ในชีวิตจริงไม่ได้?
เขาขอเถียงขาดใจ
***
จักรวรรดิแบ่งหมู่บ้านเนตรมาออกเป็น 16 เขต
ประตูทิศตะวันออกและตก หอสมุดกลาง ถนนแปดเส้นที่มุ่งหน้าจากทางเข้าไปยังหอสมุด ปราสาทราชาเนตรมาร และถนนสี่เส้นที่มุ่งหน้าจากหอสมุดไปยังปราสาทราชา
หน่วยจู่โจมที่โกลด์ฮิตส่งเข้ามาจะมีขอบเขตปรากฏตัวเพียง 16 จุดดังกล่าว
อัศวินแสงครามก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
พวกมันถูกแบ่งกลุ่มและส่งตัวไปยังหอสมุดกลางและประตูหน้า โดยเฉพาะประตูหน้าที่หนาแน่นเป็นพิเศษ
“…มาอีกหน่วยแล้วสินะ”
คู่หูแวนเนอร์และพีคซอร์ด
พวกมันกำลังนั่งประจำตำแหน่งด้วยสีหน้าอิดโรย แต่เมื่อสัมผัสถึงตัวตนศัตรู ทั้งสองรีบลุกยืนและแหงนหน้ามองท้องฟ้า
หนนี้เป็นอัศวิน 30 นาย
เกราะเต็มยศสีฟ้าคราม ผ้าคลุมสีเหลืองสด
ดาบสีเงินยาวและแหลม โกร่งดาบถูกสลักด้วยลวดลายหรูหราสีทอง
เป็นหน่วยจู่โจมที่ต่างไปจากทุกที
แค่ชำเลืองผ่านยังมองออกว่าแข็งแกร่งกว่าปรกติ หากเดาไม่ผิด คนเหล่านี้คงเป็นอัศวินหลวงของสักราชวงศ์
“แข็งแกร่งเอาเรื่องเลยไม่ใช่หรือ?”
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา พวกมันอาจเคยรับมือกับศัตรูจำนวนมาก แต่มีเพียงหยิบมือที่เรียกได้เต็มปากว่าแข็งแกร่ง
พีคซอร์ดและแวนเนอร์เริ่มเย็นสันหลังวาบเมื่อสัมผัสถึงลางร้าย
“เอาน่า… การระแวงศัตรูคือสิ่งที่ถูกต้อง ความประมาทต่างหากที่นำพาไปสู่ความตาย”
แวนเนอร์ที่ยกโล่ขึ้นกำบังหน้าอก สายตาของมันจ้องมองไปยังด้านหลังของกลุ่มอัศวิน
ตรงข้ามกับอัศวินที่เหลือ อัศวินคนหลังสุดนั้นมีใบหน้าอ่อนเยาว์ มันมิได้สวมเกราะหัว ราวกับภูมิใจในเส้นผมที่ยาวสลวยเสียเต็มประดา
ชื่อเหนือศีรษะเขียนไว้ว่า ‘อพอลโล่’
อักษรส่องประกายสีเงินระยิบระยับ
หมายถึง NPC ‘กึ่งพิเศษ’
“เลเวลคงไม่ต่ำกว่าสี่ร้อย”
สูงกว่าพีคซอร์ดมากถึงยี่สิบระดับ
แถม NPC กึ่งพิเศษยังมีแต้มสถานะสูงกว่าผู้เล่นค่อนข้างมาก โอกาสที่แวนเนอร์และพีคซอร์ดจะได้รับชัยชนะมีเพียงริบหรี่
ไม่เพียงเท่านั้น มันมิได้ปรากฏกายตามลำพัง แต่มากับอัศวินอีกกว่าสามสิบที่มีเลเวลไม่ต่ำกว่า 330
“พวกนายรีบเข้าไปหลบในปราสาทเร็วเข้า! ข้างในมีชาวเนตรมารอยู่ คอยสนับสนุนพวกเขาในการต่อสู้!”
พีคซอร์ดหันไปออกคำสั่งแก่ทหาร
แต่ทุกคนปฏิเสธ
“พวกเราจะไม่ทิ้งท่านมาร์ควิสเด็ดขาด!”
“ให้การถ่วงเวลาเป็นหน้าที่พวกเราเถอะ… ท่านมาร์ควิสกับท่านเอิร์ลรีบฉวยโอกาสหนีไป!”
เป็นความภักดีอย่างหาที่สุดมิได้
พวกมันร่วมรบในศึกที่มีชีวิตเป็นเดิมพันตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทหารทุกคนล้วนเคารพนับถือพีคซอร์ดและแวนเนอร์ด้วยหัวใจ
พวกมันยินยอมสละชีวิตเพื่อให้พวกเขาหนีรอดโดยไม่ลังเล
แต่แทนที่จะซาบซึ้ง พีคซอร์ดขมวดคิ้ว
“รีบหนีไปสักทีสิฟะ! ฉันจะปลดปล่อยสัตว์ประหลาด! ไม่งั้นพวกนายได้ซวยกันหมด!”
“…?”
หนีไป? สัตว์ประหลาด?
หมายถึงอะไร?
ขณะกลุ่มทหารกำลังเอียงคอสงสัย…
กึกกึก! กึกกึกกึกกึก!
ฝักดาบของพีคซอร์ดกำลังสั่นกระเพื่อมรุนแรงราวกับจวนเจียนระเบิดเต็มที
เสียงจากฝักดาบดังแว่วขึ้น
> เฮ้! ไอ้หัวค*ยตรงนั้นน่ะ! ทำไมถึงไม่รีบอัญเชิญฉันออกไปสักที? ไอ้ตูดหมึก! ฉันช่วยแกได้นะ!
“…”
พีคซอร์ดใช้งานยารุกต์นานหนึ่งปีกับอีกสองเดือน ส่งผลให้มันสื่อสารกับภายนอกได้โดยไม่ต้องปรากฏตัว
แต่วิธีการพูดค่อนข้างถ่อยสถุนจนน่าตกใจ คล้ายคลึงกับกุ๊ยข้างถนนไม่มีผิด
นี่คือตัวตนที่แท้จริงของนักดาบอันดับหนึ่งแห่งขุมนรกงั้นหรือ?
บางคนอาจผิดหวังที่ได้ยิน แต่ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่นิสัยแท้จริงของยารุกต์ มันเพียงปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
นี่เป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากพีคซอร์ดและแวนเนอร์ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
สองคู่หูสุดบัดซบมักถากถางอัศวินอ่อนแอของอาณาจักรอื่นด้วยถ้อยคำหยาบคายเสมอ
หลังจากซึมซับความถ่อยตลอดหนึ่งเดือนเต็ม วิธีการพูดของยารุกต์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
‘…โชคดีที่ฮิวรอยไม่อยู่แถวนี้’
พวกมันไม่อยากจินตนาการหากยารุกต์ซึมซับการด่าของฮิวรอยเข้าไป…
อาจถึงขั้นด่าพ่อล่อแม่ก็เป็นได้
พีคซอร์ดส่ายศีรษะพลางชักยารุกต์ออกจากฝัก
ดาบยาวสีแดงสดราวกับโลหิตมนุษย์
> พีคซอร์ดเอ๋ย… อย่างที่ทราบ ดาบในมือแกคือตัวกลางสำคัญระหว่างร่างเนื้อและดวงวิญญาณของฉัน ถ้าดาบถูกทำลาย ดวงวิญญาณของฉันก็จะหายไปด้วย ดังนั้น… ไอ้หัวค*ย! แกจะหนีหางจุกก้นก็ไม่มีใครว่า! แต่ห้ามผลีผลามจนดาบแตกเด็ดขาดไอ้เย็*แม่!
น้ำเสียงของยารุกต์ทั้งหยาบคายและดุดัน แต่พีคซอร์ดก็สัมผัสถึงได้ความห่วงใย
แสยะ
พีคซอร์ดพยักหน้า
“ฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้นายถูกทำลาย”
ในทางกลับกัน อัศวินแสงครามต่างตกตะลึงกับดาบที่เห็น
โดยเฉพาะอพลอลโล่ มันกำลังแสดงสีหน้าสนอกสนใจ
“เป็นดาบที่งดงามมาก เปรียบประหนึ่งงานศิลป์ชั้นเลิศ ซึ่งไม่เหมาะกับคนเถื่อนอย่างแกเลยสักนิด”
“อุฟ!”
ยารุกต์เนี่ยนะงานศิลป์?
ตาบอดรึไง?
“มีอะไรน่าขัน?”
พีคซอร์ดชำเลืองมองอพอลโล่ด้วยสีหน้าเหยียดหยัน อพอลโล่ตอบโต้ด้วยการแผ่จิตสังหารรุนแรงใส่พีคซอร์ดด้วยใบบิดเบี้ยว
แน่นอน พีคซอร์ดไม่แยแส
ในสายตามัน ตัวตนอพอลโล่ไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัวเลยสักนิด พีคซอร์ดประสบความสำเร็จมากมายในการแข่งนานาชาติที่ผ่านมา
มันเคยเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน
“มีอะไรน่าขันงั้นหรือ? นี่ต้องฉันให้อธิบายสิ่งที่ตัวเองหัวเราะด้วยรึไง? เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกที่ไม่รู้จักดาบปีศาจเล่มนี้ดี… แค่ฉันนั่งมองเฉยๆ ก็เกินพอแล้ว”
“แกคงรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางชนะ ถึงได้นั่งรอรับความตายอย่างสงบ”
“แกต่างหากที่ต้องตาย… อัญเชิญยารุกต์!”
ชิ้ง—
ดาบยารุกต์พลันเปล่งแสงสีแดงโลหิตระยิบระยับ
เมื่อสัมผัสถึงบรรยากาศคุกคามที่เปลี่ยนไป อพอลโล่และอัศวินแสงครามต่างรีบชักดาบ
ในทางกลับกัน แวนเนอร์ได้ถอยไปไกลพร้อมกับทหารโอเวอร์เกียร์ มันยืนจ้องมองการต่อสู้พร้อมกับกอดอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดาบยารุกต์ลอยขึ้นฟ้าและแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย เศษแก้วผลึกสีแดงเริ่มจับตัวเป็นกลุ่มก้อนอีกครั้ง มวลพลังงานสีเลือดได้บีบอัดตัวเองจนกลายเป็นทรงไข่มุกแดงขนาดเล็ก
ท้ายที่สุด ก้อนไข่มุกเริ่มละลายและก่อตัวเป็นรูปทรงคล้ายมนุษย์
นักดาบอันดับหนึ่งแห่งขุมนรก
คู่ปรับตลอดกาลของจอมอสูรเซปาร์
เพียงพริบตาเดียว อสูรดาบยารุกต์ได้ปรากฏตัวสู่โลกภายนอกอย่างสมบูรณ์
“ไอ้ตูดหมึก! กว่าจะอัญเชิญออกมาได้”
ชายชรารูปร่างผอมเพรียว
รอบกายมีเปลวเพลิงอสูรสีแดงฉานลุกโชน
หากพิจารณาจากเขายาวกึ่งกลางศีรษะ ตัวตนของมันคงเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากหนึ่งในเผ่าอสูร
“…!?”
นัยน์ตาอพอลโล่พลันเบิกโพลง
เหล่าอัศวินแสงครามต่างยืนแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นหิน
ฉัวะ—
ดาบแดงในมือถูกตวัดวาดเป็นทรงจันทร์เสี้ยวด้วยความเร็วที่มนุษย์มองไม่ทัน
“…?”
อัศวินโชคร้ายที่ไหวตัวช้า ร่ายของมันถูกเส้นดาบสีแดงแยกออกเป็นสองส่วน
ฉูดดดดด—
น้ำพุโลหิตพวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างสยดสยอง
“เหยื่อโอชะเพียบเลย”
ยารุกต์ใช้ลิ้นเลียคราบเลือดที่กระเซ็นติดคมดาบ สายตาของมันจ้องมองไปยังอพอลโล่ด้านหลังสุดอย่างไม่กะพริบ
“ดาบพิสุทธิ์”
การใช้ชีวิตร่วมกับพีคซอร์ดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ยารุกต์ได้ ‘ปลดผนึกขีดจำกัด’ ไปแล้วห้าครั้ง
มันแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่ผนึกถูกปลด
พลังต่อสู้เริ่มเข้าใกล้สมัยยังมีชีวิตเข้าไปทุกขณะ แต่ปัญหาเดียวก็คือ ร่างวิญญาณที่ถูกอัญเชิญจะมีอายุขัยไม่มาก
ทว่า สำหรับการเก็บกวาดมดปลวก
เพียงเท่านี้ก็นับว่าเกินพอ
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,371
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
ได้ออกโรงสักที ยารุกต์ แต่คำด่านี้ ต้องปรับปรุง ให้้ได้เท่าฮิวรอย ถึงจะสมน้ำสมเนื้อ 😂😂🙏
ReplyDelete👍👍👍😁😊
ReplyDeleteไม่มีสดชื่นแล้ว หรอ
ReplyDeleteจริงๆด้วยค่าความโชคดีมีผลสุดๆ😆😁
ReplyDelete