จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 973
การสร้างเครื่องประดับจำเป็นต้องมีทักษะช่างอัญมณี
โดยปรกติแล้ว กริดมิอาจสร้างเครื่องประดับได้เลยหากปราศจากทักษะดังกล่าว
แต่ชายหนุ่มผุดไอเดียใหม่สุดบรรเจิด
‘ค่าความเข้าใจไอเท็ม!’
ระบบสุดโกงที่มีเฉพาะคลาสผู้สืบทอดแพ็กม่า
สามารถเพิ่มความเข้าใจได้โดยพิจารณา ใช้งาน ซ่อมแซม แยกส่วน หรือประกอบกลับไอเท็มเป้าหมาย เมื่อค่าความเข้าใจกลายเป็น 100% ผู้สืบทอดแพ็กม่าจะได้รับสูตรผลิตไอเท็มดังกล่าวทันที
ใช่แล้ว หากมีระบบค่าความเข้าใจไอเท็ม กริดก็มีหนทางที่จะสร้างเครื่องประดับได้เอง
แม้อาจต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปรกติสำหรับเพิ่มค่าความเข้าใจไอเท็มประเภทเครื่องประดับ แต่ชายหนุ่มโด่งดังในด้านความไม่ย่อท้อ เขาไม่หวั่นเกรงว่าต้องทุ่มเวลานับสิบวันหรือแรมเดือนเพื่อให้มีความเข้าใจเครื่องประดับ 100% เต็ม
‘แต่ไม่ใช่ว่าจะสร้างไอเท็มได้ทันทีหลังจากครอบครองสูตรผลิต’
แม้จะครอบครองสูตรผลิตแล้ว
แต่ปัญหาคือเทคนิค
ถึงกริดจะครอบครองสูตรผลิตแว่นตาอีเธอร์สำเร็จ แต่เขายังขาดแคลนเทคนิคสำหรับสร้างมัน
กระนั้น ชายคนนี้ครอบครองทักษะลับไว้มากมาย และหนึ่งในพวกมันได้ถูกนำมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาตรงหน้า
สิ่งนั้นก็คือ
‘ดัดแปลงไอเท็ม!’
กริดสามารถดัดแปลงไอเท็มที่มีค่าความเข้าใจ 100% ให้กลายเป็นรูปทรงใหม่
เขามีแผนจะปรับแต่งแว่นตาอีเธอร์ให้กลายเป็นหมวกเหล็กหรือไม่ก็ชุดเกราะ เจตนาเพื่อให้ ‘ได้รับสิทธิ์’ ในการสร้างแว่นตาอีเธอร์
เพราะหากระบบมองว่าแว่นตาอีเธอร์มิใช่เครื่องประดับ แต่เป็นไอเท็มจำพวกเครื่องป้องกัน ผู้สืบทอดแพ็กม่าจะได้รับสิทธิ์ให้สร้างมันทันที
‘หลังจากนั้นค่อยร่วมมือกับอลิซาเบธ’
เหมือนกับที่เคยสร้างมงกุฎโอเวอร์เกียร์
ปล่อยให้หน้าที่เจียระไนอัญมณีเป็นของอลิซาเบธ ด้านกริดจะลงมือสร้างในส่วนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพชรอีเธอร์ จำพวกกรอบแว่น ขาแว่น รวมถึงส่วนตกแต่งปลีกย่อย
กริดจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแว่นตาอีเธอร์ที่สมบูรณ์แบบ
แม้ทักษะดัดแปลงไอเท็มจะจำกัดจำนวนครั้งใช้งาน แต่หนนี้นับว่าคุ้มค่าอย่างไร้ข้อกังขา
‘การลงทุนกับราชาเนตรมารไม่มีคำว่าขาดทุน’
แถมการสร้างแว่นตาอีเธอร์ให้เป็นรูปแบบเครื่องป้องกันก็นับเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจ
มันมีคุณสมบัติในด้านแก้ทางเวทมนตร์อย่างชะงักงัน หากผลิตได้เป็นจำนวนมาก เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์จะยิ่งแข็งแกร่งประหนึ่งติดปีกโบยบิน
‘มาลุยกันสักตั้ง’
กริดหลอมรวมตัวเองให้เป็นหนึ่งเดียวกับงานตรงหน้า เขาจดจ่อหมกมุ่นอยู่กับแว่นตาวันแล้ววันเล่า จนแพนเมียร์ ช่างตีเหล็กแรงค์หนึ่งและหัวหน้าช่างตีเหล็กหลวงประจำอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ เกิดความกังวล
‘ไม่คิดจะออกไปเก็บเลเวลหรือทำภารกิจบ้างรึไง?’
หลังจากจบการแข่งนานาชาติครั้งที่สี่ ผู้เล่นส่วนใหญ่ได้รับบัฟสำหรับเก็บเลเวล
เหล่าแรงเกอร์ระดับกลางถึงปลายแถวเริ่มไต่ขึ้นมาถึงช่วงเลเวลสามร้อยกว่า พวกมันได้รับการตื่นค่าสถานะ ได้รับทักษะใหม่และผลประโยชน์อีกมากมาย
The Gap is Closing.
(ช่องว่างกำลังลดลง)
นี่คือคำกล่าวติดปากของลิมชอลโฮ
ยิ่งเลเวลของผู้เล่นเพิ่มขึ้น ความต่างระหว่างคลาสก็ยิ่งลดน้อยลง และสิ่งนั้นเริ่มกลายเป็นความจริงขึ้นมาทุกขณะ
ผู้เล่นคลาสทั่วไปที่เห็นเหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์แสดงฝีมืออย่างโดดเด่นบนเวทีงานแข่งนานาชาติล้วนเกิดประกายความหวัง
ส่วนผู้ที่ครอบครองคลาสลับกลับยิ่งขยันมากขึ้นเพราะต้องการเป็นกริดคนต่อไป
ไฟการต่อสู้ยังคงลุกโชน อารมณ์จากงานแข่งยังไม่จางหาย แรงเกอร์ระดับกลางหลายคนรีบถีบตัวเองเก็บเลเวลอย่างบ้าบิ่นเพื่อไล่ตามแรงเกอร์แถวหน้า
งานแข่งนานาชาติครั้งที่ห้า ทุกคนล้วนต้องการรับบทเป็นดาวเด่น
แต่ในสถานการณ์ที่หลายฝ่ายไล่กวดเข้ามาใกล้ กริดกลับหมกตัวในโรงเหล็กนานหลายวัน แถมเหล่าสิบวีรชนฯ ทุกคนยังถูกส่งไปทำภารกิจประจำหมู่บ้านเนตรมาร ไม่แปลกที่แพนเมียร์จะเป็นกังวลกับสถานการณ์อาณาจักร
มันได้เห็นถึงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่แต่ละคนต้องแบกรับ
‘ยิ่งมีตำแหน่งสูง สิ่งที่ต้องเสียสละก็ยิ่งมาก แต่หากผ่านวิกฤติตรงหน้าไปได้ ทุกคนจะภาคภูมิใจและสนุกไปกับมัน’
สายสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนเหล่านี้จะยิ่งแน่นแฟ้น อาณาจักรโอเวอร์เกียร์จะแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แพนเมียร์มั่นใจว่าตนก็มีหน้าที่ในส่วนของตัวเอง เขาเดินกลับไปยังเขตอุตสาหกรรมตีเหล็กพร้อมกับกล่าวปลุกใจช่างเหล็กโอเวอร์เกียร์ทุกคนด้วยบรรยากาศฮึกเหิม
เคร้ง! เคร้ง!
เสียงค้อนทุบที่ใสกังวานได้กลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของกรุงไรน์ฮาร์ท นครหลวงแห่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ไปโดยปริยาย
***
เรพิโอคือเมืองเล็กที่มีเพียงทุ่งข้าวและภูเขารายล้อมสุดลูกหูลูกตา ฉากเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปรกติของอาณาจักรเก๊าส์ ส่งผลให้ไม่มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนมากนัก
“ไม่เคยคิดว่าหมู่บ้านเนตรมารจะซ่อนอยู่ใต้ดินของเมืองห่างไกลเช่นนี้ นับว่าอำพรางได้ดี จักรวรรดิคงหาพบไม่ง่ายนัก”
“คุคุคุ… เจ้าคนไร้หัวเอ๋ย ถึงจะเปล่าประโยชน์ แต่ข้าจะพยายามชี้ทางสว่างให้ฟัง ชื่อของมันมิใช่ ‘หมู่บ้านเนตรมาร’ หากแต่เป็น ‘ดินแดนซึ่งความมืดมิดและความยุ่งเหยิงผสมผสานอย่างลงตัว’ พวกข้ามิได้ ‘หลบซ่อน’ แต่ทำการ ‘ผนึกตัวเอง’ เพื่อมิให้โลกภายนอกถูกทำลายต่างหาก”
“หืม? หมายถึงฉันหรือ? ฉันก็มีหัวเหมือนคนปรกติ ทำไมถึงเรียกว่าไร้หัว? ไม่เข้าใจที่นายพูดเลยสักนิด”
“…”
ทุกคนหันไปมองแวนเนอร์ด้วยสีหน้าสมเพช วีรชนฯ ทั้งเก้าส่ายศีรษะพร้อมกัน แวนเนอร์คือคนที่คิดเป็นจริงเป็นจังกับทุกคำพูดสุดไร้สาระของเผ่าเนตรมาร
ยูเฟอมิน่าเปลี่ยนเรื่องคุย
“ที่นี่สวยเหมือนกันนะ”
ดินแดนซึ่งความมืดและยุ่งเหยิงผสมผสานอย่างลงตัว
หมู่บ้านเนตรมารใต้ดิน… บรรยากาศและภูมิประเทศแตกต่างจากที่สิบวีรชนฯ จินตนาการโดยสิ้นเชิง
พวกมันเคยคิดว่า คงเป็นดินแดนที่แห้งกรังทุรกันดาร พื้นดินสกปรกเปรอะเปื้อนด้วยหลุมบ่อโคลน ไม่ต่างจากหมู่บ้านคนป่าไร้อารยะที่ปราศจากเทคโนโลยี
แต่ความจริงกลับตรงข้าม ที่นี่คือหมู่บ้านเล็กแสนอบอุ่นซึ่งมีบ้านทรงกลมมากมายตั้งเรียงรายไม่ห่าง
“คงสวยกว่านี้ถ้ามีแสงอาทิตย์อบอุ่นส่องกระทบหลังคาบ้าน”
“คุคุคุ… ดวงจันทร์ย่อมงดงามกว่าดวงตะวันอยู่แล้ว ในยามที่ข้าชำระล้างกายาอันสูงส่งใต้แสงจันทร์เย็นยะเยียบ เลือดในกายจะไหลเวียนอย่างสงบนิ่ง สัตว์ประหลาดที่กำลังอาละวาดอยู่ใน ‘ตัวข้า’ จะสงบลงได้”
“ที่นี่เป็นเมืองใต้ดินไม่ใช่หรือ? จะไปมีแสงจันทร์ได้อย่างไร?”
“…”
เรกัสเอ่ยปากถามอย่างใสซื่อ
เผ่าเนตรมารที่กำลังพล่ามน้ำท่วมทุ่งพลันเดินไหล่ห่อด้วยสีหน้าผิดหวัง
แต่ในทางกลับกัน ดวงตาของสิบวีรชนฯ ที่เหลือกำลังส่องประกาย
‘เผ่าเนตรมารแพ้ทางพวกซื่อบื้อสินะ’
จิสึกะกล่าวขึ้นเพื่อรักษาบรรยากาศ
“รีบไปทำความรู้จักกับราชาเนตรมารกันเถอะ เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว จักรวรรดิบัดซบอาจส่งคนบุกโจมตีได้ทุกเมื่อ”
เฟคเกอร์และหน่วยเงาโอเวอร์เกียร์รีบกระจายตัวไปยังแต่ละจุดของหมู่บ้าน
หน้าที่ของพวกมันคือการค้นหาภูมิประเทศสำหรับตั้งรับ รวมถึงเส้นทางที่จักรวรรดิอาจใช้บุกโจมตีโดยไม่คาดฝัน
หลังจากเดินชมเมืองไม่นาน เดสตินีการ์เดี้ยนได้นำทางเหล่าสิบวีรชนมาถึงประตูหลักหน้าปราสาท
นับเป็นปราสาทที่มีขนาดเล็กมาก
ด้วยความที่ชาวเนตรมารมีรูปร่างเล็ก สูงเพียงไม่เกิน 1 เมตร 20 เซนติเมตร สิ่งก่อสร้างทั้งหมดจึงถูกย่อส่วนลง ไม่เว้นกระทั่งปราสาทของราชาเนตรมาร
ความสูงของประตูหลักมีเพียง 1 เมตรกับอีก 50 เซนติเมตรเท่านั้น
ประหนึ่งเป็นบ้านคนแคระก็มิปาน
สิบวีรชนเกือบทุกคนต้องก้มศีรษะลงเพื่อเดินผ่านเข้าไป
…ยกเว้นยูเฟอมิน่าที่ไม่ต้องก้ม
“กำลังรออยู่พอดี”
เผ่าพันธุ์เนตรมารคือสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง
กระนั้น พวกมันกลับยืนตั้งแถวรอต้อนรับการมาเยือนของสิบวีรชนฯ อย่างพร้อมหน้า
ตลอดสองข้างฝั่งทางเดิน เผ่าเนตรมารเกือบทุกคนยืนเรียงรายพลางเสยผมหรือไม่ก็ใช้ฝ่ามือปิดหน้า ยกเว้นเพียงหน่วยการ์เดี้ยนเดสทินีสามตนที่รับหน้าที่นำทาง
เนตรมารเจ้าเมืองกล่าวขึ้น
“พวกข้าเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี เจ้าทุกคนมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้ององค์ราชา แถมพวกเจ้ายังเป็นบริวารของก็อดกริด มนุษย์เพียงคนเดียวที่พวกข้ายอมรับนับถือ”
“แต่พวกข้าคงปล่อยให้เข้าพบองค์ราชาทันทีไม่ได้ ต้องให้แน่ใจก่อนว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติมากเพียงพอ”
“ข้ามิได้ห่วงความปลอดภัยขององค์ราชา ฝ่ายที่ต้องกังวลคือพวกเจ้า องค์ราชาของเรามีพลังอำนาจอยู่เหนือสรรพสิ่ง ดวงตาของพระองค์จะลบล้างทุกสสารที่มองเห็น องค์ราชาสามารถแผดเผามนุษย์ให้ทุรนทุรายประหนึ่งตกนรกทั้งเป็น เพื่อประโยชน์ของพวกเจ้าเอง จงรับการทดสอบเสียก่อน… และต้องขอโทษด้วย พวกข้าไม่อนุญาตให้ตอบปฏิเสธ”
เมื่อสิ้นเสียง เนตรมารสามตนทำการถอดผ้าปิดตาออกพร้อมกัน
‘ดวงตา’ ที่ถูกคลายผนึกพลันหมุนวนเป็นวงกลมพร้อมกับปลดปล่อยคำสาปใส่เหล่าสิบวีรชนฯ
[ท่านสบตากับเผ่าเนตรมาร]
[เนตรมารอันทรงพลังได้ทะลวงลึกเข้าไปในจิตใจและดวงวิญญาณของท่าน]
[ท่านตกอยู่ในอาการ ‘เชื่อฟัง’]
[ถัดจากนี้เป็นเวลาสามวินาที ท่านมิอาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้]
สามวินาที
ในแง่ของระยะเวลา มันอาจเป็นคำสาปที่ค่อนข้างสั้น แต่เอฟเฟคของมันเหนือจินตนาการของทุกคนไปไกล
“อะไรกัน…!”
แวนเนอร์ใช้มือทั้งสองข้างตบศีรษะโล้นที่ปราศจากเส้นผมดังเพี้ยะ พีคซอร์ดเห่าหอนเยี่ยงสุนัข จิสึกะใช้มือขยำหน้าอกตัวเอง
สิบวีรชนฯ ทุกคนมีพฤติกรรมแตกต่างไปจากปรกติกันถ้วนหน้า
จะเกิดอะไรขึ้นหากเผ่าเนตรมารสั่งให้พวกเขา ‘ฆ่ากันเอง’ ?
‘เป็นพลังที่บ้าบอสิ้นดี…’
เผ่าเนตรมารแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตประเภทอื่นโดยสิ้นเชิง สิบวีรชนฯ ล้วนนึกชื่นชมและหวาดกลัวภายในใจ
จินตนาการไม่ออกเลยว่ากองทัพจักรวรรดิจะผ่านประตูที่มีคนเหล่านี้คุมกันด้วยวิธีใด
เจ้าเมืองเนตรมารกล่าว
“ต้องขอโทษด้วย แต่พวกเจ้าไม่ผ่านการทดสอบ ไว้หาโอกาสเข้าพบองค์ราชาในภายหลังก็แล้วกัน”
“พวกข้าไม่มีเจตนาร้าย และมิได้ดูแคลนในฝีมือ ตรงกันข้าม พวกข้าทุกคนขอขอบคุณจากใจจริง ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พัก ทุกสิ่งถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ก็ขอรบกวนด้วย”
“ได้โปรดช่วยปกป้ององค์ราชาอย่างสุดความสามารถ”
ท่าทีของเผ่าเนตรมารนอบน้อมและเป็นมิตรกว่าที่ทุกคนคิดไว้
แถมการข่าวก็ยังไม่เลว ราวกับทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ว่ากองทัพจักรวรรดิกำลังคิดปองร้ายต่อเผ่าเนตรมารและองค์ราชา
“เผ่าเนตรมารคงมีสายสืบอยู่ไม่น้อย…”
ขณะสิบวีรชนกล่าวชื่นชม
ลอเอลส่ายศีรษะ
“เผ่าเนตรมารมีประชาชนเพียงหลักพัน ภายในหมู่บ้านที่เล็กและแคบเช่นนี้ พวกมันไม่มีทางส่งสายลับออกไปสืบข้อมูลได้แน่ สถานการณ์ภายนอกคงรับรู้ได้จาก ‘กระจกวิเศษ’ เท่านั้น คุคุคุ…! ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่วิเศษมาก!”
“…”
“สหายสิบวีรชนเอ๋ย… ถึงจะเคยพูดไปแล้วหลายหน แต่ขอย้ำอีกครั้ง จักรวรรดิซาฮารันจะบุกรุกสถานที่แห่งนี้อย่างแน่นอน จนกว่าวันนั้นจะมาถึง ภารกิจของพวกเราคือการปกป้องความปลอดภัยของราชาเนตรมาร อย่าเพิ่งเบื่อหน่ายไปเสียก่อน จงกระหายต่อสู้เข้าไว้ พวกเราจะสูญเสียราชาเนตรมารไปไม่ได้เด็ดขาด”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน สิบวีรชนฯ และหน่วยโอเวอร์เกียร์เงาได้กระจายตัวไปรอบหมู่บ้านเพื่อสำรวจสนามรบ
พวกมันสับเปลี่ยนเวรยามตลอดเวลาสำหรับอารักขาองค์ราชา หน่วยสอดแนมคอยสืบหาความเคลื่อนไหว ทั้งหมดก็เพื่อวางแผนรับมือกองทัพจักรวรรดิอันเกรียงไกร
…
หลังจากนั้นสามวัน
“เหนื่อยรึเปล่า?”
“ถึงเวลาพวกเราร่วมภารกิจแล้ว!”
โค้ก เซ็ดนอส ลาเอลล่า พร้อมกับทหารหัวกะทิอีกหกร้อยนาย เดินทางมาสมทบกับกองกำลังปกป้องหมู่บ้านเนตรมาร
หน่วยทหารกล้าที่สวมเซตกริดรุ่นผลิตจำนวนมากเกรดยูนีค ทุกคนยืนกระจายตัวทั่วหมู่บ้านเพื่อเตรียมรับศึก
‘หากมีกองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ การหยุดอัศวินสีชาดคงไม่ใช่เรื่องยาก’
สิบวีรชนฯ ทุกคน รวมถึงยูร่าและเฟคเกอร์ที่พบตัวได้ยาก แถมยังมีหน่วยรบหัวกะทิจากวังหลวงอีกหกร้อย
เหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ต่างไม่หวั่นเกรงภัยอันตรายที่กำลังคุกคาม ต่อให้จอมอสูรปรากฏตัว ทุกคนก็มั่นใจว่าสถานการณ์จะผ่านไปด้วยดี
‘ในศึกนี้ พวกเราต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพากริด’
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,366
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
ยกเว้นยูเฟอมิน่า "ที่ ไ ม่ ต้ อ ง ก้ ม”
ReplyDeleteสงคราม
ReplyDelete👍👍👍
ยูร่าก็เป็นตำนานไม่ใช่หรอน่าจะกัดติดสถานะได้หนิเหมือนกริด แต่กริดทั้งกัดได้กับสะท้อนกับจากสมญานามกษัตริย์คนแรก
ReplyDeleteให้นึกว่ากันได้คับ แต่โดยรวมก็กันไม่ได้ เหมือนรวดรัดไปเลย ไวดี แล้วเด๋วค่อยมาอธิบายทีหลัง
Delete