จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 864
“มีหนูสกปรกซ่อนตัวอยู่ พวกเราควรรีบหามันให้พบ เพื่อความปลอดภัยของหลวงพ่อและทุกคนในที่นี้”
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันที คำพูดของดูรันดัลทำให้แขกร่วมงานเกิดคำถามมากมาย
หนูสกปรก?
คนของราชวงศ์เล็กย่อมมิอาจสัมผัสถึงจิตสังหารเพียงชั่วครู่จากคาซิม ส่งผลให้พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ดูรันดัลกำลังพูดถึง
ใครหลายคนมองว่าองค์ชายแห่งจักรวรรดิตื่นตูมเกินจำเป็น พฤติกรรมแสดงออกอย่างสุดโต่งมักเป็นสิ่งที่เด็กเอาแต่ใจชอบปฏิบัติ
‘แย่ล่ะสิ’
ขณะเดียวกัน เหล่าอัศวินโอเวอร์เกียร์สัมผัสถึงบรรยากาศเลวร้าย
อัศวินสีชาดรับรู้จิตสังหารเพียงเสี้ยววินาทีจากคาซิมในเงามืด เช่นนั้นแล้ว พวกตนจะปกป้องคาซิมและลอร์ดอย่างไรได้อีก?
ฝ่ายอัศวินโอเวอร์เกียร์กำลังตึงเครียด
คาซิมเริ่มตัดพ้อ
‘องค์ชายลอร์ดตกที่นั่งลำบากเพราะอารมณ์ชั่ววูบของเรา’
ความทรงจำสมัยอดีตถูกฉายซ้ำในหัวคาซิมอีกครั้ง ด้วยดวงตาของเขาเริ่มแดงก่ำ
…
ณ หมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งในหุบเหวลึก
หมู่บ้านเผ่านีโร
ชาวนีโรอ่อนโยนและไม่ละโมบ พวกเขาไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันเอง เวลาในทุกวันจะผ่านไปอย่างสงบสุขพร้อมกับครอบครัว
แต่น่าเสียดายที่ความสุขชั่วนิรันดร์ไม่มีจริง ในวันหนึ่ง กองทัพจากจักรวรรดิมาเยือนหมู่บ้าน
องค์ชายดูรันดัลมาถึงหมู่บ้านนีโรพร้อมด้วยอัศวินสีชาดกว่าสิบคนและทหารอีกหลายร้อย
“ด้วยผิวหนังที่ดำมืดยิ่งกว่าค่ำคืนยามราตรี ด้วยท่อนแขนที่เหยียดยาวผิดมนุษย์…รูปลักษณ์ของพวกเจ้าอัปลักษณ์จนพวกเรามิอาจทนมอง จักรวรรดิไม่อนุญาตให้พวกเจ้ามีเขตแดนเป็นของตัวเอง ไม่อนุญาตให้มีศาสนา ไม่อนุญาตให้สวมใส่เสื้อผ้าและพักในบ้านเรือน พวกเจ้าคือสัตว์ป่าเฉกเช่นลิงค่าง หากต้องการมีชีวิต จงมีชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน แต่หากไม่ต้องการมีชีวิต จงถลกหนังของตัวเองออกมา พวกเจ้าไม่ต้องกล่าวสิ่งใด สัตว์ป่าไม่มีสิทธิ์สื่อสารด้วยภาษามนุษย์”
คาซิมไม่มีวันลืมถ้อยคำแสนโหดร้ายประโยคนี้
เด็กหนุ่มคาซิมไม่เคยสัมผัสโลกภายนอกมาก่อน คำพูดดูรันดัลจึงเป็นราวกับมีดคมที่กรีดเฉือนหัวใจ เขาเสียขวัญไปพักใหญ่
สัตว์ป่า? พวกตนถูกเรียกว่าสัตว์ป่า?
จากมนุษย์แสนธรรมดา พวกเขากลายเป็นสัตว์ป่าได้อย่างไร?
ในฐานะชาวนีโรที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเสมอมา นั่นคือวันแรกในชีวิตที่คาซิมเปี่ยมด้วยโทสะและต้องการฆ่าใครสักคน
ประโยคที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ได้กระตุ้นให้ชาวนีโรผู้รักสงบเริ่มระเบิดความเดือดดาล
แน่นอน ไม่ใช่เพียงคาซิมเท่านั้น ยังรวมถึงชาวบ้านนีโรอีกหลายพัน ทุกคนต่างเกลียดชังจักรวรรดิที่ไม่ยอมรับให้ตนเป็นมนุษย์
ชาวนีโรทุกคนต่อสู้เพื่อปกป้องชีวิต
สู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นคน
แต่น่าเสียดาย ชาวบ้านที่รักสงบมีหรือจะต่อกรกับกองทัพกระหายเลือดไหว?
ต่อหน้าอัศวินจักรวรรดิ ชาวนีโรเป็นได้เพียงทารก
แม้พวกเขาจะมีพละกำลังและรูปร่างที่กำยำจากการล่าสัตว์ แต่ประสบการณ์ในสงครามและเทคโนโลยีการรบย่อมเทียบชั้นไม่ติด
เผ่านีโรถูกฆ่าล้างบางจนเกลี้ยง เหลือไว้เพียงเด็กน้อยคาซิม
“…”
คาซิมถูกสลักด้วยคำสาปที่ชื่อ ‘ผู้เหลือรอดคนสุดท้าย’ ไปชั่วชีวิต
คาซิมอุทิศลมหายใจที่เหลือเพื่อการแก้แค้น เขาเฝ้าฝันจะเห็นจักรวรรดิล่มสลายด้วยตาคู่นี้
จนกระทั่ง เด็กหนุ่มผู้มีสีผิวประหลาดและท่อนแขนเหยียดยาวผิวมนุษย์ได้กลายเป็นราชันย์เงา
แต่เมื่อเผชิญหน้าดูรันดัลในระยะประชิดอีกครั้ง คาซิมกลับมิอาจแยกแยะว่าตนคือเด็กชายเผ่านีโรที่ถูกกวาดล้าง หรือองครักษ์ประจำตัวรัชทายาทแห่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์กันแน่
จิตสังหารเพียงเสี้ยววินาทีได้สร้างผลกระทบที่มิอาจย้อนกลับไปแก้ไขได้
ราวกับดูรันดัลสัมผัสถึงคาซิมได้เลือนลาง
“หนูสกปรกตัวนี้ไม่ธรรมดา มันมีเจ้าของ”
ดูรันดัลแสยะยิ้ม
“หากแสดงตัวออกมาตอนนี้ เจ้านายของแกจะปลอดภัย”
‘ถึงจะไม่รู้ว่าแกเป็นใคร แต่กล้าแผ่จิตสังหารใส่ฉันเชียวหรือ? จงออกมาซะ ถ้าแสดงตัวตอนนี้ องค์ชายตัวน้อยของแกจะไม่ถึงฆาต’
นี่คือสิ่งที่ดูรันดัลต้องการสื่อ
มันยังคงกังวลถึงความสัมพันธ์ระหว่างจักรวรรดิและอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
สนธิสัญญาที่ฝ่าบาทมหาจักรพรรดิลงนามด้วยตัวเอง หากดูรันดัลฝ่าฝืน เกรงว่าถึงจะเป็นมันก็คงมีชะตากรรมไม่สู้ดีนัก
ดูรัลดัลขอเพียงได้เชือดหนูสกปรกทิ้งก็เพียงพอ
ความคิดชั่วร้ายของมันถูกอัศวินโอเวอร์เกียร์อ่านออก
“…”
ชักสเล่ย์ชำเลืองมองเงามืดใต้ฝ่าเท้าลอร์ด
เป็นสายตาที่บ่งบอกว่า ‘นายต้องรับผิดชอบ’
ชักสเล่ย์เองก็เศร้าใจไม่น้อย เขาย่อมทราบถึงความสำคัญที่คาซิมมีต่ออาณาจักรโอเวอร์เกียร์
แต่บุคคลพรสวรรค์มีตัวตนเพื่อสนับสนุนอาณาจักร มิใช้มีเพื่อให้อาณาจักรตกอยู่ในอันตราย
คาซิมเข้าใจเจตนาของชักสเล่ย์ผ่านสายตาที่ส่งมา
‘เข้าใจแล้ว’
นัยน์ตาคาซิมสั่นระริกเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลง ดวงตาแดงก่ำกลับสู่สีขาวโพลน
คาซิมสูดลมหายใจเข้าลึกพลางสงบสติ
…หากอาณาจักรโอเวอร์เกียร์พัฒนาขึ้นและลูกศิษย์อัจฉริยะของตนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงครานั้น พวกจักรวรรดิเดรัจฉานต้องถูกทำลายจนสิ้นซากแน่
‘ถึงจะแก้แค้นด้วยตัวเองไม่ได้ แต่การฝากฝังให้ผู้อื่นช่วยแก้แค้นในภายหลังก็ไม่แย่เสียทีเดียว ชีวิตเรามิได้สำคัญขนาดนั้น’
คาซิมเชื่อสุดหัวใจ หากเป็นกริดและลอร์ด พ่อลูกคู่นี้คงทำลายจักรวรรดิได้แน่
ตนต้องยอมตายเพื่อชดเชยความโง่เขลาที่ก่อขึ้น
‘ใช่แล้ว เราทำพลาด เราต้องรับกรรม’
ขณะคาซิมตัดสินใจหนักแน่นและคิดออกจากเงา
เสียงหนึ่งแว่วขึ้น
“หยุดก่อน”
เป็นเสียงของลอร์ดงั้นหรือ?
ไม่ใช่
ก่อนลอร์ดจะลงมือทำสิ่งใด ใครบางคนเดินออกมาด้านหน้าสุด
เป็นราชินีไอรีน
“โฮ่…?”
หญิงสาวที่นั่งสงบเสงี่ยมในมุมหนึ่งของงานเลี้ยง หญิงสาวที่ไม่น่าจะเกี่ยวพันกับการเมืองระหว่างอาณาจักร ยามนี้กลับก้าวออกมาด้านหน้าขณะเหตุการณ์วิกฤตถึงขีดสุดงั้นหรือ?
องค์ชายดูรันดัลลดท่าทีไม่เป็นมิตรลง
มันสนอกสนใจว่าสตรีที่ตนหมายปองจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ด้วยสติปัญญาแบบใด
‘เหตุการณ์กำลังยุ่งเหยิง…’
ดูรันดัลชื่นชอบสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ตัวมันถือไพ่เหนือกว่า จึงเฝ้ามองอย่างสนอกสนใจ
ฝ่ายตรงข้ามแบ่งแยกเป็นสอง ผู้หนึ่งคิดรับผิดชอบโดยการจบชีวิตตัวเอง ส่วนอีกคนต้องกล่าวในสิ่งที่ทำให้อาณาจักรอยู่รอด
เธอจะเอาตัวรอดอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้?
ไอรีนจ้องมองเข้าไปในดวงตาดูรันดัลพลางกล่าว
“คนผู้นั้นมิใช่หนูสกปรกหรือสุนัขของใคร เขาคือองครักษ์ส่วนตัวขององค์ชายลอร์ด และยังเป็นบุคคลพรสวรรค์ที่สำคัญของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์”
“หือ?”
ผิดจากที่ดูรันดัลคาดไว้มาก
‘ช่างโง่เขลา’
มันหรี่ตาลงพลางขมวดคิ้ว
“คุณกำลังยอมรับว่า องครักษ์ส่วนตัวขององค์ชายลอร์ดแผ่จิตสังหารมุ่งร้ายต่อผมใช่ไหม? การกระทำเช่นนี้เทียบเท่ากับ อาณาจักรโอเวอร์เกียร์คิดปองร้ายต่อองค์ชายลำดับสองอย่างผม และนั่นหมายถึง สนธิสัญญาระหว่างจักรวรรดิและโอเวอร์เกียร์จบลงเท่านี้”
“ผิดแล้ว ลองนึกดูให้ดี เหตุใดอัศวินขององค์ชายถึงชักดาบออกมาต่อหน้าเด็กหกชวบ? มิใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยขององค์ชายหรอกหรือ?”
“…หืม? ก็ใช่”
“องครักษ์ขององค์ชายลอร์ดก็เช่นกัน เขาคืออัศวินที่คอยดูแลองค์ชายตั้งแต่ยังเล็ก จึงแผ่รังสีคุกคามหลังจากอัศวินขององค์ชายดูรันดัลเข้ามาใกล้เกินไป”
“นั่นไม่ใช่รังสีคุกคามธรรมดา แต่เป็นจิตสังหาร ไม่ใช่สิ่งที่องครักษ์ถูกฝึกฝนมาแน่”
“การแผ่จิตสังหารเลวร้ายยิ่งกว่าการชักดาบต่อหน้าเด็กหกขวบอีกหรือ?”
“หือ…?”
ดูรันดัลทำพลาดมหันต์ ราวกับมันถูกตีเข้าที่ท้ายทอยอย่างจัง
ตัวมันที่ดันยอมรับว่าการชักดาบของอัศวินสีชาดคือสิ่งชอบธรรม ถือเป็นการยอมรับทางอ้อมด้วยว่า การแผ่จิตสังหารก็เป็นสิ่งชอบธรรมไม่ต่างกัน
มันติดกับดักคำพูดของไอรีนจนพลาดโอกาสจำกัดหนูสกปรก
ดูรันดัลพลันกระอักกระอ่วน
มันกำลังโมโหก็จริง แต่ก็สามารถระงับโทสะในพริบตา
สีหน้าของมันบิดเบี้ยวเพียงชั่วครู่ก่อนระเบิด เสียงหัวเราะ จากนั้นก็ยื่นแขนออกไปหาไอรีนด้วยท่าทีนอบน้อม
“เฉียบแหลมมาก ผมขอจุมพิตหลังฝ่ามือเพื่อแทนคำขอโทษได้หรือไม่?”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
จะมีใครในทวีปบ้างที่กล้าปฏิเสธคำขอจากองค์ชายแห่งจักรวรรดิ?
ไม่มีเหตุผลให้ไอรีนปฏิเสธ เหตุการณ์กำลังดำเนินไปด้วยดีโดยไม่มีใครต้องหลั่งเลือด
ไอรีนยื่นหลังมือให้ และดุรันดัลก็จุมพิตอย่างอ่อนโยน
“…”
ดวงตาที่เคยใสสื่อของลอร์ดพลันหรี่ลงจนเรียวคมเหมือนบิดา
ลอร์ดมองเห็นถึงจิตใจต่ำช้าของดูรันดัลในยามที่มันจุตพิตฝ่ามือมารดา
‘อะไรกัน?’
อัศวินองครักษ์ดูรันดัลต่างพากันทึ่ง
พวกมันทุกคนได้รับแรงกดดันมหาศาลจากเด็กวัยเพียงหกขวบ ไม่มีใครอยากเชื่อว่านี่คือความจริง
จิตใจดาเมี่ยนเริ่มว้าวุ่นเมื่อสถานการณ์ดำเนินไปอย่างผิดแผก
‘ราชินีไอรีนทำได้ดีมากก็จริง แต่ว่า…’
เหตุการณ์จะไม่แย่ลงเอาหรือ? ในเมื่อต่อมโทสะของลอร์ดใกล้ระเบิดเต็มที
ขณะดาเมี่ยนคิดจะเข้าไประงับเหตุการณ์…
วาบ!
เกิดแสงสว่างจ้าภายในโถงใหญ่จัดงาน
เป็นแสงที่อัดแน่นด้วยความน่าขยะแขยง ผู้คนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหลับตาลง ตรงกันข้ามกับแสงอันอบอุ่นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทพธิดารีเบคก้าโดยสิ้นเชิง
ดาเมี่ยนไม่มีวันลืมแสงสะอิดสะเอียนเช่นนี้
ขณะตัวเขาตาบอดไปชั่วครู่ ดาเมี่ยนรีบส่งเสียงตะโกนออกคำสั่ง
“มนตร์ดำ! หน่วยพาลาดินคุ้มกันองค์ชายและราชวงศ์!! อึก…!”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ ใต้เท้าดาเมี่ยนพลันส่องแสงสีแดงสดเป็นทรงดาวห้าเฉก มันคือคำสาปสุดทรงพลังที่ถูกร่ายดักไว้บนพื้น
[ เศษเสี้ยวจิตวิญญาณเทพยาธานได้ตัดขาดท่านจากโลกภายนอก ]
[ ท่านมิอาจยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกขณะถูกขังภายในม่านทมิฬ ]
[ ม่านทมิฬถูกทำลายได้จากด้านนอกเท่านั้น ]
‘จิตวิญญาณเทพยาธาน?’
ดาเมี่ยนรีบเงยหน้าขึ้นเมื่อผลจากอาการตาบอดหมดลง
ขณะโถงใหญ่วาติกันกำลังโกลาหลสุดขีด อสูรตนหนึ่งกระโดดลงจากเพดาน
รอบกายหล่อนรายล้อมด้วยปราณความมืดเข้มข้น นามเหนือศีรษะสลักไว้ชัดเจนว่า ‘ซิลเวนัส’ เธอคือหนึ่งในข้ารับใช้ยาธาน
“ซิลเวนัสทำได้! ฉันผนึกสันตะปาปาสำเร็จแล้ว!”
เสียงตะโกนของเธอคือสัญญาณเริ่มต้นหายนะทั้งปวง
บรรยากาศแปลกประหลาดพลันพรั่งพรูจากด้านนอกโถงใหญ่ เกิดระเบิดกัมปนาทที่ปากทางเข้าส่งให้บานประตูหลักปลิวกระเด็นเข้ามาด้านใน
ภายในห้องฟุ้งกระจายด้วยเศษฝุ่นควัน NPC ราชวงศ์ที่เพิ่งเงยหน้าขึ้นหลังจากหลุดพ้นอาการตาบอด พวกเขาออกอาการลนลานสุดขีด
“พวกเราจะลงทัณฑ์เหล่าสุนัขของนังเทพธิดาชั่วช้า!”
“คำสาปเทพยาธานถูกส่งถึงพวกแกทุกคน!!”
กลุ่มจอมเวทมืดจำนวนมากกรูเข้าโถงใหญ่พลางตะโกนส่งเสียง
อัศวินจากทุกอาณาจักรต่างรีบชักดาบปกป้องผู้เป็นนาย เหล่าอาวุโสรีเบคก้าและพาลาดินระดับสูงเตรียมทำศึกเต็มกำลัง ขณะที่อัศวินโอเวอร์เกียร์คอยล้อมปกป้องลอร์ดและไอรีนที่มุมห้องโถง
จากนั้นไม่นาน ห้าบุคคลปริศนาได้ย่างกรายตามหลังกลุ่มจอมเวทมืดเข้ามาในห้อง
สามในห้าเป็น NPC ส่วนอีกสองคือผู้เล่น
ห้าสุดยอดตัวตนแห่งวิหารปรากฏกาย
ข้ารับใช้ยาธานลำดับสาม อลิเบิร์น
ข้ารับใช้ยาธานลำดับหก คาดิโอร่า
ข้ารับใช้ยาธานลำดับเจ็ด ฮิลล์
ผู้เล่นจอมเวทมืดอันดับหนึ่งของโลก ข้ารับใช้ยาธานลำดับแปด โรส
และคนสุดท้าย…
“แอ็กนัส…!!”
ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล
ผู้เล่นทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยง รวมถึงโค้ก ต่างหน้าถอดสี
พวกเขาอาจไม่รู้จักข้ารับใช้ยาธาน แต่หากเป็นแอ็กนัส ไม่มีแรงเกอร์คนใดไม่รู้จัก
‘นอกจากซิลเวนัสแล้ว…ยังมีอีกตั้งสี่คนเชียว?’
ดาเมี่ยนที่ถูกขังในม่านทมิฬเป็นกังวลกับข้ารับใช้ยาธานนอกเหนือจากแอ็กนัส
บุตรีแห่งรีเบคก้ารีบชักศาสตราพลางปรี่เข้าช่วยดาเมี่ยน
“…!!”
ดาเมี่ยนตะโกนบางสิ่งจากด้านใน แต่กลับไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เขาพูด
อิสซาเบลตัดสินใจพังม่านทมิฬเป็นลำดับแรก
เปรี้ยงง—
“อึก…!”
เธอใช้หอกไลฟาเอลแทงใส่ แต่กลับไร้ผลตอบสนอง ห่างไกลจากการถูกทำลายมาก แม้แต่ร่องรอยขีดข่วนก็ไม่ปรากฏ
ทั้งพละกำลังและพลังศักดิ์สิทธิ์ล้วนไม่ประสบผล
“ปล่อยม่านทมิฬไปก่อน! รีบปกป้องแขกคนสำคัญ!”
“ปกป้ององค์ชายลอร์ด!”
อาวุโสรีบเดินเข้าหาสามบุตรีแห่งรีเบคก้าพลางออกคำสั่ง ถ้อยคำพวกเขาทำให้ดาเมี่ยนที่ถูกขังในกรงเบาใจ
ในยามสำคัญ ตาเฒ่าพวกนี้พึ่งพาได้มากกว่าที่คิด ดาเมี่ยนรู้สึกขอบคุณจากก้นบึ้ง
แต่สถานการณ์โดยรอบยังไม่ใช่สิ่งที่วางใจได้
“กรี๊ดดดด!”
“อ๊ากกกก!”
เสียงกรีดร้องของแขกร่วมงานยังคงกังวาลโหยหวนทั่วโถงหลัก
อัศวินและพาลาดินที่ประจำการอยู่ด้านนอกกลับถูกกีดกัดไม่ใช่เข้ามาช่วย เป็นฝีมือของอันเดดจำนวนมหาศาลจากแอ็กนัส
อิสซาเบลย่อมมองเห็นเหตุการณ์ภาพรวม เธอรีบปรี่เข้าไปหาลอร์ดเพื่อตรวจสอบความปลอดภัย
หลังจากมั่นใจระดับหนึ่ง สายตาของอิสซาเบลชำเลืองมองไปยังแอ็กนัสที่ประตูทางเข้า
“คิคิก! คิคิคิก!”
เสียงโหยหวนจากตระกูลราชวงศ์ผสมปนเปเข้ากับเสียงหัวเราะสยดสยองของแอ็กนัส
โถงจัดงานกำลังตกอยู่ในความโกลาหลสุดขีด
“ลูกจะไม่เป็นอะไร ลูกจะปลอดภัยแน่”
เป็นเสียงปลอบประโลมจากสตรีที่เคยถูกวิหารยาธานจับเป็นเครื่องเซ่นสังเวยในฐานะสาวพรมจรรย์ถึงสองครั้งสองคราว
ไอรีน
ในวินาทีที่จอมเวทมืดวิหารยาธานปรากฏตัว ความทรงจำอันโหดร้ายในอดีตได้พรั่งพรูเข้ามาในหัวไม่รู้จบสิ้น แต่เธอข่มใจสะกดมันไว้โดยไม่แสดงออกทางสีหน้า
เพื่อมิให้บุตรชายของตนเป็นกังวล ไอรีนโอบกอดลอร์ดอย่างแนบแน่นพร้อมกับฝืนยิ้ม
“…ท่านแม่”
ลอร์ดสัมผัสได้ถึงความสั่นกลัวและความรักจากอ้อมอกไอรีน
สายตาของเด็กน้อยชำเลืองมองรอบโถงใหญ่ที่ถูกเปลี่ยนให้เป็นสนามรบ
เขาอยากต่อสู้เพื่อปกป้องทุกคน
“องค์ชายยังไม่พร้อม ท่านยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน”
“ใช่แล้ว องค์ชายห้ามเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด”
คาซิม ชักลเสย์ รวมถึงอัศวินหนุ่มแห่งโอเวอร์เกียร์
พวกเขาชักอาวุธพร้อมรบจนตัวตาย
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 5 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,263
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
ฮึกเหิมๆ😤
ReplyDeleteสนุกมากขอบคุณครับ👍
ลุ้นมาก 🙏😊ขอบคุณที่อัพลงให้อ่านครับแอด
ReplyDeleteกำลังสนุกเลยเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อกันนะ
ReplyDeleteขอให้โค้กทำผลงานเข้าตาด้วยเถอะ
ReplyDelete