จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,426
แสงหลากสีสันของระเบิดลูกโซ่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือหลักฐานของการทำลายล้างและเข่นฆ่าที่อำมหิต
ดวงตาของเหล่าคณะกรรมการที่กำลังจ้องหน้าจอต่างถูกย้อนจนกลายเป็นสีแดง
แสงสีแดงที่แผ่ขยายกว้างขวางราวกับคลื่นทะเล กำลังกลืนกินแสงของการระเบิดอื่นๆ เข้าไปทีละเล็กละน้อย
ความอลังการของดาบพินาศทัพหนึ่งแสนและดาบสกัดทัพหนึ่งแสน เปรียบดังภัยธรรมชาติที่ยากจะเชื่อว่าเป็นฝีมือมนุษย์
ทั้งหมดคือภาพอันเกิดจากการใช้วิชาดาบทัพหนึ่งแสนด้วยดาบมังกรเพลิง
หลังจากเห็นเหล่าอสูรจำนวนมาก ร่างแหลกสลายและจมท่วมด้วยเลือดของพวกมันเอง ผู้อำนวยการยุนซังมินที่เฝ้ามองหน้าจอด้วยสายตาเหม่อลอย กล่าวอย่างเป็นกังวล
“วิชาดาบราชาไร้พ่าย… แข็งแกร่งเกินไป”
ณ ปัจจุบัน ผู้เล่นกว่าสองพันล้านกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
พลังโจมตีที่สามารถทำให้มอนสเตอร์ล้มในดาบเดียว
พลังป้องกันที่แข็งแกร่งดุจดังภูผา
ความเร็วที่สามารถสร้างภาพตกค้าง
การร่ายเวทมนตร์ขั้นสูงที่ซับซ้อน
ทั้งหมดมิใช่สิ่งที่ถูกผูกขาดโดยกริดอีกต่อไป
ผู้เล่นจำนวนมากที่เล่นเกมอย่างกระตือรือร้นได้ค้นพบคลาสลับ และผู้เล่นปรกติที่ก้าวเข้าสู่การตื่นครั้งที่สี่ก็ขยับเข้าใกล้กับคลาสลับมากจนแทบไม่มีความแตกต่าง
เริ่มมีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยที่ได้ครอบครองท่าไม้ตายอันหนักหน่วงซึ่งมีพลังทำลายสูงกว่า 2000% ส่งผลให้ระยะเวลาในการล่าบอสลดลงจากเมื่อก่อนมาก
สถิติจำนวนไม่น้อยที่กริดเคยสร้าง สถิติที่ผู้คนต่างคิดว่ามันจะคงอยู่ไปตลอดกาล ปัจจุบันค่อยๆ ถูกทำลายลงทีละอย่าง
แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่าผู้เล่นธรรมดาจะก้าวขึ้นมาทัดเทียมกริด หรือสามารถดวลชนะกริด แต่การเพิ่มขึ้นของคลาสลับและไอเท็มใหม่ๆ อย่างก้าวกระโดด ย่อมหมายถึงการที่ผู้เล่นทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยฝีมือสูงขึ้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ‘สมดุล’ ที่ SA กรุปถวิลหากำลังเกิดขึ้นทีละนิด
แต่ปัจจุบัน เมื่อกริดได้ครอบครองวิชาดาบทัพหนึ่งแสนต้นตำรับ ผู้อำนวยการยุนซังมินเริ่มแสดงความกังวลว่า ช่องว่างระหว่างกริดและผู้เล่นธรรมดาซึ่งเคยถูกย่นเข้ามาใกล้กัน จะกลับมาทิ้งห่างอย่างไม่เห็นฝุ่นอีกครั้ง
“คุณไม่รู้หรือว่าราชาไร้พ่ายเป็นตัวตนที่พิเศษขนาดไหน? ทำไมถึงจอมอสูรห่วยๆ ตัวนั้นดรอปทักษะของราชาไร้พ่าย?”
ยุนซังมินตำหนิทีมพัฒนาซึ่งเป็นผู้ออกแบบจอมอสูรดันทาเลี่ยน
อย่างไรก็ตาม ทีมพัฒนานั้นอยู่ภายใต้การดูแลของลิมชอลโฮโดยตรง ถือเป็นบุคลากรกลุ่มพิเศษ
เจคอป หัวหน้านักออกแบบของทีม ไม่แม้แต่จะกะพริบตาขณะถูกยุนซังมินถามจี้
“แดนทาเลี่ยนเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ตัวตนที่เข้าใกล้สัจธรรมของโลก… ดูเหมือนว่า ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของเราจะยังศึกษาโลกในเกมไม่มากพอ”
“ผมรู้ว่าดันทาเลี่ยนขวนขวายหาความรู้มาตลอดหลายพันปี แต่เรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับการดรอปวิชาดาบที่ดีที่สุดในโลก? หากอ้างอิงจากหลักการดังกล่าว ตัวตนที่ทรงพลังในซาทิสฟายก็ต้องเป็นนักปราชญ์กันหมดแล้ว!”
“ดันทาเลี่ยนสั่งสมความรู้ในขอบเขตของพลังต่อสู้ จะนำไปเทียบกับนักปราชญ์ได้อย่างไร? และแม้แต่ดันทาเลี่ยนเอง มันก็มิอาจจำลองวิชาดาบไร้พ่ายได้อย่างสมบูรณ์ ความรู้ของมันจำกัดเพียงโครงสร้างและทฤษฎีที่ใกล้เคียงความจริงอย่างมาก”
“แล้วกริดก็บังเอิญไปดรอปมาใช่ไหม? เฮ่อะ!”
“…”
เป็นที่ทราบกันดีว่า ยุนซังมินคือแฟนตัวยงของกริดมานาน แต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้มันมิอาจเพิกเฉย
ถึงตรงนี้ หัวหน้านักออกแบบเจคอปเองก็ไม่อยากพูดอะไรมาก มันตระหนักว่าสถานการณ์ค่อนข้างวิกฤติ
“โอกาสที่วิชาดาบทัพหนึ่งแสนจะดรอปจากแก่นความรู้ดันทาเลี่ยนมีเพียง 4.2%… กริดโชคดีเกินไป”
“เหตุใดถึงต้องมีระบบดังกล่าวตั้งแต่แรก? ให้ดันทาเลี่ยนดรอปทักษะของอดีตตำนานยกเว้นราชาไร้พ่ายก็เพียงพอแล้ว… ทำไมถึงต้องบรรจุทักษะของมาดราที่อาจทำให้เกมเสียสมดุลลงไป?”
“ดันทาเลี่ยนเชี่ยวชาญทักษะของอดีตตำนานทุกคน… กฎเหล็กของทีมพัฒนาก็คือ พวกเราจะคงความสมจริงและปูมหลังตัวละครเอาไว้โดยไม่ใส่อคติในเชิงผลกระทบ ซาทิสฟายดำเนินการด้วยกฎเหล็กข้อนี้มาตลอด หากเราไม่รักษาความสมจริงของตัวละครอย่างเคร่งครัด ปล่อยให้มีจุดหย่อนยานหรือข้อผิดพลาด ความ ‘อิน’ ที่ผู้เล่นมีต่อซาทิสฟายจะลดลง และพวกเขาจะเริ่มมองไม่ต่างจากเกมออนไลน์ทั่วไป”
“โดยไม่สนใจผลกระทบที่จะตามมาเลยสักนิด?”
“เราเชื่อว่าผู้เล่นจะมีวิธีแบกรับผลกระทบได้ตามแบบฉบับของตัวเอง… ด้วยอิสรภาพที่เรามอบให้พวกเขา”
“นั่นคือจุดยืนของทีมพัฒนา?”
ยุนซังมินหันไปมองประธานลิมชอลโฮ
ลิมชอลโฮยังคงนั่งเงียบ คล้ายกับไม่โต้แย้งคำถามของยุนซังมิน
ยุนซังมินถอนหายใจยาว
“ทีมปฏิบัติการคงมิอาจเพิกเฉยกับเรื่องนี้ได้… หัวหน้านักออกแบบเจคอปเอาแต่พูดเรื่องความสมจริงและปูมหลังของตัวละคร แต่ไม่คิดบ้างหรือว่าตัวตนอย่างมาดรามันผิดเพี้ยนเกินไป? ยิ่งเรื่องราวถูกเปิดเผยมากเท่าไร ชายคนนั้นก็ยิ่งใกล้เคียงกับเทพ”
วิชาดาบทัพหนึ่งแสนคือทักษะเกรดมิธ
หากมีใครสักคนสามารถส่องหน้าต่างสถานะกริด คนผู้นั้นจะเห็นว่า <วิชาดาบทัพหนึ่งแสน> มิได้ถูกเขียนกำกับไว้ด้วยเกรด SS หรือ??? แต่จะเป็นภาษาที่อ่านไม่ออกแทน
“ต้องขอบคุณคลาสมหากาพย์จอมดาบเวท กริดที่กลายเป็นเทพจึงได้รับทักษะเกรดมิธเพิ่มอีกหนึ่งชนิด แถมยังเป็นทักษะที่ไม่เกี่ยวข้องกับคลาสโดยสิ้นเชิง… หลังจากได้ครอบครองพลังตำนานคนอื่นๆ คลาสผู้สืบทอดแพ็กม่ามาได้ไกลจนน่าเหลือเชื่อ”
ไม่ใช่เรื่องแปลกหากผู้เล่นจะกลายเป็นเทพในสักวัน
ขนาดนักรบที่กอบกู้โลกจากจอมอสูรยังถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ เช่นนั้นแล้ว กับผู้เล่นที่เก่งกาจจนสามารถปกป้องมนุษยชาติได้หลายครั้งหลายครา จะไม่ให้ถูกสรรเสริญเยี่ยงเทพได้อย่างไร?
มอร์เฟียสเคยทำนายไว้ว่า สักวันจะมีผู้เล่นแบบกริดปรากฏตัว คลาสเกรดมิธจึงมีตัวตนมาตั้งแต่เริ่ม
เทวตำนานย่อมเหนือกว่าตำนาน และหากมีผู้เล่นคนใดได้ครอบครองสองเทวตำนาน บุคคลดังกล่าวจะกลายเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่
“ผู้อำนวยการยุน คุณกำลังกังวลในเรื่องใด? เป็นห่วงว่าผู้เล่นคนอื่นจะไล่ตามกริดไม่ทัน? ทำไมถึงเพิ่งมากังวลเอาป่านนี้?”
หลังจากนั่งฟังอย่างเงียบงันมาสักพัก คณะกรรมการคนอื่นๆ ต่างพากันส่ายหัว แต่ละคนต่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดยุนซังมิน
“จะฟังขึ้นมากกว่านี้ถ้าคุณพูดถึงช่องว่างระหว่างกริดและผู้เล่นในช่วงที่ผ่านมา”
หลังจากที่กริดได้ครอบครองคลาสมหากาพย์จอมดาบเวท หลายฝ่ายต่างคิดตรงกันว่า คู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อของคลาสเกรดเทวตำนานคือเหล่าตัวตนเหนือมนุษย์ มิใช่ผู้เล่นด้วยกัน
หลายฝ่ายจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดยุนซังมินถึงเพิ่งกังวลเกี่ยวกับช่องว่างระหว่างผู้เล่นหลังจากกริดกลายเป็นเทพ ทั้งที่ปัญหาเริ่มก่อตัวก่อนหน้านั้นนานมากแล้ว
“ผมรู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะยอมรับได้… แต่สิ่งที่กังวลก็คือ ในอนาคต กริดอาจเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่ดี”
ยุนซังมินเป็นแฟนตัวยงของกริดก็เพราะว่า ชายคนนี้ตัดสินใจอย่างสมเหตุสมผลมาตลอด
กริดอาจปากเสีย เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว และชอบโวยวาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า กริดใช้ศีลธรรมนำจิตใจมาตลอด
ในฐานะผู้เล่นที่ถือครองอำนาจสูงสุดของทวีปตะวันตก กริดไม่เคยใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือเพื่อกดขี่ผู้คน
เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ตลอดหลายพันปีในโลกแห่งความจริงแล้ว กริดวางตัวดีกว่าบรรดากษัตริย์หลายร้อยหลายพันคนเหล่านั้นมาก เรียกได้ว่าแทบจะเป็นนักบุญผู้สูงส่ง
อย่างไรก็ตาม วิชาดาบราชาไร้พ่ายนั้นทรงพลังเกินไป
คงเป็นเรื่องยากที่กริดยังจะรักษาอุดมการณ์เดิมไว้ได้ เมื่อการแกว่งดาบเพียงครั้งเดียวสามารถคร่าชีวิตผู้คนนับพันหรือนับหมื่นในพริบตา
ผู้อำนวยการยุนซังมินเชื่อว่า โอกาสที่กริดจะเสียคนและดำดิ่งสู่ความมืดมิด มีเกือบ 100% เต็มเลยทีเดียว
“ผมมีหนึ่งคำถาม”
ประธานลิมชอลโฮที่เงียบมาตลอดการประชุม เปิดปากพูดเป็นครั้งแรก
“ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการมีสิทธิ์ริบความสามารถใหม่ที่ผู้เล่นเพิ่งได้รับหรือไม่?”
“…ไม่มี แต่ผมคิดว่า พวกเราควรทำอะไรสักอย่างกับวิชาดาบราชาไร้พ่าย รวมถึงการกำหนดนโยบายใหม่เกี่ยวกับทักษะประเภทเดียวกันในอนาคต ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับซาทิสฟาย”
“ทาง SA กรุปไม่เคยรับฟังข้อเรียกร้องจากกลุ่มองค์กรหรือบุคคลใด และจวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าทีมปฏิบัติการจะเสนอแนวคิดใดเข้ามา ทางเราก็ไม่เคยนำไปแทรกแซงในระบบของเกม… ซาทิสฟายดำเนินการตัวเองผ่านมอร์เฟียสและผู้เล่นมาตลอด ดังนั้น จะเกิดอะไรขึ้นหากเราเริ่มลงมือแทรกแซงและเปลี่ยนนโยบายเป็นครั้งแรก? ผู้อำนวยการยุน คุณรับผิดชอบผลที่จะตามมาได้หรือ?”
“ร…เรื่องนั้น… ขอโทษครับ ผมคิดตื้นเกินไป…”
ผู้อำนวยการยุนซังมินมีท่าทีอ่อนลง
ใบหน้าของมันเริ่มแดงก่ำเมื่อตระหนักว่าตนพูดจาเลยเถิดเนื่องจากปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเหตุผล
ประธานลิมชอลโฮและคณะกรรมการต่างส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปมองที่จอฉายภาพอีกครั้ง
การระเบิดหลากสีสันและท่วมท้นหน้าจอยังคงดำเนินต่อไปราวกับเป็นเรื่องปรกติ
นี่คือผลจากการเดินหน้าฆ่าฟันอย่างโหดเหี้ยมของกริดและเหล่าผู้ส่งสาร
นรกในหลักยี่สิบทั้งหมดยกเว้น ‘ปากสุนัข’ ถูกยึดครองภายในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์
“อย่างที่คิด…”
ลิมชอลโฮเผยรอยยิ้มเจือความสุข
แม้มันจะเฝ้ามองกริดมานาน และเป็นคนที่เชื่อใจกริดมากกว่าใคร แต่ปัจจุบัน ลิมชอลโฮอดก็เป็นกังวลในเรื่องเดียวกับยุนซังมินไม่ได้ กริดมีสิทธิ์ที่จะหลงมัวเมาไปกับพลังอำนาจมหาศาล จนตัดสินใจเดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม อายุขัยของซาทิสฟายจะสั้นลงทันทีหากทีมพัฒนายื่นมือแทรกแซงระบบ ลิมชอลโฮจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเฝ้ามองอย่างเงียบงันและภาวนาให้กริดไม่เปลี่ยนไป
แม้ว่าในอนาคต กริดอาจกลายเป็นทรราชที่ชั่วร้ายและกดขี่ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด และซาทิสฟายก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย เพราะมอร์เฟียสคงมีมาตรการรับมือกับเหตุฉุกเฉินอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการหาคนใหม่มาแทนตำแหน่งของกริด
***
ขณะ SA กรุปกำลังวุ่นวายเพียงเพราะผู้เล่นคนหนึ่งได้ครอบครองทักษะใหม่
‘เจ๋งเป้ง’
กริดชื่นชมทักษะใหม่ของตนโดยไม่คิดอะไรมาก
พลังโจมตีที่หนักหน่วงจนเข้าขั้นขี้โกง?
ไม่เลย ชายหนุ่มมิได้รู้สึกแบบนั้นเลยสักนิด
การฆ่ามอนสเตอร์ให้ตายในดาบเดียวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับกริด และไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงปีหรือสองปีหลัง
เรื่องราวคงแตกต่างออกไปถ้าความเสียหายของดาบพินาศทัพหนึ่งแสนแปรผันตามจำนวนเป้าหมาย มิใช่พลังทางกายภาพ
แต่เมื่อออกมาเป็นแบบนี้ ดาบพินาศทัพหนึ่งแสนจึงแทบไม่มีผลกับดาบจันทราดับ กริดจึงมิได้รู้สึกว่าตนแข็งแกร่งขึ้นมากนัก
จริงอยู่ อาจโจมตีได้รุนแรงขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวเลขที่เกิดขึ้นกับจอมอสูร
ทว่า กริดในปัจจุบันมาไกลเกินกว่าจะลุ่มหลงมัวเมาไปกับพลังเพียงเท่านี้
[ท่านเข้าสู่นรกขุมที่ยี่สิบ]
“อา...”
กริดรู้สึกกดดันเล็กๆ เมื่อเดินทางมาถึงจุดหมาย
เบื้องหน้าคือแม่น้ำสายใหญ่ที่ชวนให้นึกถึงแม่น้ำนรก
บนท้องฟ้าอันมืดมิดมีสายฟ้าสว่างวาบเป็นระยะ เสียงกรีดร้องของวิญญาณผสมกับเสียงลมหวนอย่างต่อเนื่อง
นรกขุมที่ยี่สิบมีทิวทัศน์ตรงตามนรกในจินตนาการของใครหลายคน
นอกจากนั้น บริเวณกึ่งกลางยังเป็นถ้ำที่เด่นตระหง่านท่ามกลางแม่น้ำสายย่อยที่คดเคี้ยวห้าสาย
ปราสาทหลังนี้มีขนาดใหญ่กว่าปรกติพอสมควร แถมยังดูเหมือนกับปากสุนัขที่กำลังอ้ากว้าง
“นั่นคือปราสาทใช่ไหม?”
เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจใครหลายคน เนื่องจากปากถ้ำดังกล่าวเข้าถึงได้ยาก ดูคล้ายกับป้อมปราการมากกว่า
ยูร่าผงกศีรษะ
“คงใช่… เคยได้ยินแกลนท์เล่าว่า นรกขุมที่ยี่สิบถูกเรียกว่าปากสุนัข ตอนนี้เข้าใจเหตุผลแล้ว”
แกลนท์ อสูรผิวแดง
แม้จะไม่ได้เป็นจอมอสูร แต่ก็เป็นผู้มอบคำปรึกษาที่ยอดเยี่ยม
กริดหวนนึกถึงอสูรผิวแดงที่เคยสวมผ้ากันเปื้อนทำความสะอาดปราสาทไร้เทียมทาน ก่อนจะหันไปถามผู้ส่งสาร
“ผลข้างเคียงเป็นยังไงบ้าง? แย่ลงไหม?”
“กระหม่อมสัมผัสได้ว่า พละกำลังและเรี่ยวแรงหายไปกว่าครึ่ง ร่างกายเคลื่อนไหวได้เฉื่อยชา ความคิดไม่ปะติดปะต่อ”
ปิอาโร่ตอบตามความจริง
ผู้ส่งสารคนอื่นๆ มิได้คัดค้าน นัยว่าพวกตนก็ได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน
‘ผลข้างเคียงรุนแรงกว่า 50%…’
ทั้งที่อาศัยตัวช่วยในการบรรเทาผลข้างเคียงทุกอย่างแล้ว…
เป็นอีกครั้งที่ชายหนุ่มตระหนักว่า สมญานาม ‘ถูกยอมรับจากจอมอสูรลำดับเก้า’ ที่ได้รับจากเฮลกาโอนั้นยอดเยี่ยมมากเพียงใด
‘หลังจากการเดินทางครั้งนี้จบลง เราจะบอกให้ผู้ส่งสารไปล่าเฮลกาโอ’
สมญานาม ‘ถูกยอมรับจากจอมอสูรลำดับเก้า’ ที่ช่วยเปิดระบบค่าชื่อเสียงในนรก กริดสงสัยว่าจะได้รับก็ต่อเมื่อ ต้องสังหารจอมอสูรไปจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ไปจัดการกับเฮลกาโอบนเกาะคอร์กสองครั้ง
‘เมอร์เซเดสจะได้รับในการล่าครั้งถัดไป… แต่กับผู้ส่งสารคนอื่นคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก… จนกว่าจะถึงตอนนั้น เราคงไม่มีทางเลือกนอกจากหมกตัวอยู่ในโรงตีเหล็กไปก่อน’
ไอเท็มดรอปจากจอมอสูรนั้นยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัญมณีชนิดต่างๆ
ดูเหมือนว่าเครื่องประดับส่วนใหญ่ของกริดสามารถถูกแทนที่ได้ด้วยชุดใหม่ ยกเว้น ‘แหวนแห่งความไร้เหตุผล’
‘อลิซาเบธยังมีฝีมือไม่สูงพอ ต่อให้บราฮัมและโรงแปรธาตุเรย์ดันคอยช่วยเหลือแล้วก็ตาม’
ชายหนุ่มมิได้ดูแคลนพรสวรรค์ของอลิซาเบธ เพียงแต่ฝีมือของมหาจอมเวทพอลด์นั้นยอดเยี่ยมเกินไป
กระทั่งบราฮัมยังยอมแพ้ในด้านการสร้างของวิเศษ
กริดเริ่มเดินนำหน้าทุกคน
ผู้ส่งสารอาจได้รับผลข้างเคียงรุนแรงหลังจากเข้าสู่นรกขุมที่ยี่สิบ แต่นั่นมิได้สร้างบรรยากาศตึงเครียดแต่อย่างใด
พวกมันประเมินว่า ในเมื่อจอมอสูรลำดับยี่สิบเอ็ดแข็งแกร่งพอๆ กับดันทาเลี่ยน จอมอสูรลำดับยี่สิบก็คงไม่ต่างกันมากนัก
กริดและพรรคพวกไม่อยากแช่ในจุดเดิมนานเกินไป ไม่อย่างนั้นอาจถูกบาร์บาทอสพบตัว
‘เงียบสงบจนผิดปรกติ’
ตลอดทางที่เดินมาถึงแม่น้ำรอบป้อมปราการ ไม่มีสัตว์อสูรปรากฏตัวแม้แต่ตนเดียว
ถึงเสียงโหยหวนของวิญญาณและเสียงสายลมหวีดโดยรอบ จะทำให้กริดไม่กล้าบรรยายว่าเงียบสงบได้เต็มปากนักก็ตาม
“ยูร่า”
กริดยื่นมือไปหาหญิงสาว
เธอเข้าใจความนัยดังกล่าว จึงเผยอาการหน้าแดงเล็กน้อยขณะจับมือกริดตอบ
กริดอุ้มยูร่าไว้ในอ้อมอกอย่างแนบแน่น
แม้หญิงสาวจะสวมชุดเกราะของนักล่าอสูร แต่ด้วยร่างกายที่ผอมเพรียวและกะทัดรัด ชายหนุ่มจึงไม่ประสบปัญหาใด
“ไปกันเถอะ”
กริดส่งสัญญาณพร้อมกับสยายปีกมังกรของตน
บราฮัม เนเฟลิน่า และซิกเฟรคเตอร์ต่างใช้เวทมนตร์ช่วยให้ลอยตัว
ทางด้านเมอร์เซเดสเริ่มกางปีกสีเงิน ส่วนซาลิเอลกางปีกสีขาวของเทวทูต
มีเพียงปิอาโร่ที่ทุลักทุเลกว่าใคร เพราะต้องขึ้นมาด้านบนด้วยการปลูกตัวถั่วให้ลอยสูง
ขณะคณะเดินทางเริ่มทำงานข้ามแม่น้ำนรก
กรร…
เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังกังวาน
ความร้อนพวยพุ่งมาจากจุดกึ่งกลางของถ้ำที่ถูกเรียกว่าปากสุนัข
กริดและพรรคพวกต่างกระจายตัวออกไปตามสัญชาตญาณ
เปลวไฟพุ่งตรงออกจากปากถ้ำ
ออร่าของเพลิงชวนให้นึกถึงลมหายใจมังกร และสีของเปลวไฟดูคล้ายกับดาบพินาศทัพหนึ่งแสนในยามใช้ดาบมังกรเพลิง
เปลวไฟพวยพุ่งด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง แม้จะยังมองทันด้วยตาเปล่า แต่ก็ยากที่ผู้ส่งสารซึ่งถูกลดทอนค่าสถานะจะหลบพ้น
กริดอาศัยพลังเหนือมนุษย์ในการปลดปล่อยดาบสลายทัพสองแสนเพื่อสลายเปลวไฟ
ปราณดาบพุ่งปะทะกับเป้าหมายพร้อมกับเกิดระเบิดฟุ้งกระจาย
หลังจากฝุ่นควันบรรเทาลง สุนัขขนาดมหึมาเดินออกจากปากถ้ำ
เซอร์เบอรัสสามหัว
แต่เป็นเซอร์เบอรัสที่ใหญ่กว่าปรกติราวร้อยเท่า ใหญ่กว่าเซอร์เบอรัสทุกตัวที่กริดเคยเห็นมาทั้งหมด
สิ่งที่สะดุดตายิ่งกว่าคือบุคคลที่กำลังขี่หลังหมายักษ์ตัวดังกล่าว
อัศวินในชุดเกราะสีดำเจ้าของดวงตาสีแดง
มันกำลังมองตรงมายังกริดและพรรคพวก
“ยกเว้นเพียงหนึ่งคน… ที่เหลือเป็นแค่ขยะ”
เป็นเพราะผลข้างเคียง?
อีกฝ่ายประเมินฝีมือของผู้ส่งสารไว้ต่ำมาก
“โฮ่… เป็นการเห่าหอนที่เหลวไหลที่สุดที่ข้าเคยได้ยิน”
บราฮัมพ่นลมหายใจเหยียดหยัน จากนั้นก็เริ่มร่ายเวท
ทว่า ด้วยผลข้างเคียงจากสภาพแวดล้อมของนรก กระแสมานาจึงไหลเวียนช้ากว่าปรกติถึงสองเท่า
เปลวไฟที่เซอร์เบอรัสยิงออกจากปากจึงพุ่งเข้าหาร่างบราฮัมได้ก่อนที่เวทมนตร์จะถูกร่ายเสร็จ แถมคราวนี้ยังเป็นการยิงพร้อมกับจากทั้งสามหัว รุนแรงกว่าเปลวไฟในตอนแรกอย่างชัดเจน
‘บ้าบอสิ้นดี’
ดูเหมือนว่า ลำพังการปกป้องผู้ส่งสารทุกคนให้รอดก็ยากเต็มกลืนแล้ว
ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาให้เหตุการณ์จบลงอย่างราบรื่นที่สุด
กริดเริ่มกอดยูร่าในอ้อมอกแน่นจากผลของความเครียด
ขณะชายหนุ่มเตรียมสะท้อนเปลวไฟของเซอร์เบอรัสด้วย ‘วังวน’
“ยังเร็วเกินไปสำหรับเจ้า”
ชายวัยกลางคนโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าในสภาพหันหลังให้เปลวไฟของเซอร์เบอรัส
ขณะชายคนดังกล่าวเริ่มสะบัดมือ กริดมองเห็นชื่อเหนือศีรษะเขียนไว้ว่า <มาร์บาส>
ก่อนที่ภาพจะตัดไป
[ผู้ทรงอำนาจแห่งนรก ทำการขับไล่ท่านออกจากนรก]
“…”
กริดและพรรคพวกถูกส่งกลับมายังโลกมนุษย์
Comments
Post a Comment