จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,425



ปราสาทสั่นสะเทือนหนักหน่วงพร้อมกับเสียงคำราม


ร่างกายแต่ละคนซวนเซซ้ายทีขวาทีจนศีรษะเริ่มวิงเวียน


แต่กริดยังตอบสนองอย่างใจเย็น


“ออกห่างจากหน้าต่าง! เป็นการซุ่มยิงจากบาร์บาทอส!”


เป็นการแทรกแซงจากจอมอสูรลำดับแปด


กริดค่อนข้างโล่งใจ เพราะศัตรูในคราวนี้ยังนับว่าดีกว่าจอมอสูรตนอื่นๆ


กล่าวกันว่า จากบรรดาจอมอสูรหลักเดียวทั้งหมด บาร์บาทอสนั้นอ่อนแอที่สุด แถมกริดยังเคยสู้กับบาร์บาทอสมาแล้ว จึงทราบวิธีรับมือเบื้องต้น


“บราฮัม เวทเป้าลวงใช้ไม่ได้ผล มันไม่ใช่มือปืนที่ยิงด้วยประสาทสัมผัส แต่ยิงด้วยการมองเห็น”


“ล้าหลังชะมัด”


“พวกเราต้องตามหา ‘ดวงตา’ ที่คอยส่งภาพไปให้มัน… อึก!”


แรงปะทะอันหนักหน่วงพุ่งกระแทกกับปราสาทอีกครั้ง


กริดคลานเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะด้วยความตื่นตัว


มันตัดสินใจลงจากบัลลังก์นับตั้งแต่วินาทีที่การโจมตีเริ่มขึ้น


ไม่ใช่เรื่องฉลาดนักหากจะทำตัวเป็นเป้านิ่งท่ามกลางการซุ่มยิงของบาร์บาทอส นั่นไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย


เฉกเช่นมนุษย์ปรกติที่พยายามมองหากำบังในยามแผ่นไหว กริดเองก็รีบซ่อนตัวอย่างมิดชิด ไม่กล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามจนกว่าจะได้พบกับดวงตาของบาร์บาทอส


“…?”


กริดที่กำลังคลานไปบนพื้นข้างๆ ปิอาโร่ เริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล


มันมองไม่เห็นใครเลยนอกจากปิอาโร่


รอบๆ ตัวมีเพียงปลายเท้าและน่องของผู้ส่งสารคนอื่น


นั่นเพราะเกือบทุกคนกำลังยืนอยู่ ผู้ที่หมอบคลานประหนึ่งแมลงสาบมีเพียงมันและปิอาโร่แค่สองคน


ยูร่าชำเลืองไปทางกริดที่กำลังแตกตื่น จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหา


> ปราสาทหลังนี้ถูกปกคลุมด้วยศาสตร์เวทอันซับซ้อนที่จะไม่มีวันถูกทำลาย เว้นเสียแต่มังกรจะพ่นลมหายใจใส่ จากบรรดาจอมอสูรทั้งหมด กล่าวกันว่ามีเพียงบาเอลและอาโมแรคที่สามารถทำลายแนวป้องกันสำเร็จ


> มันอาจเคยเป็นแบบนั้น แต่ตอนนี้น่าจะเสื่อมลงแล้วไม่ใช่หรือ? ในเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของและองค์ประกอบบางอย่าง


> ไม่เลย… ฉันควรบอกนายตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องขอโทษด้วย


กริดทราบดี ปราสาทไร้เทียมทานหลังนี้ทนทานอย่างมาก


ไม่ใช่ว่ามันเคยลิ้มรสมาแล้วหรือ?


อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่มีทางทราบว่าปราสาทหลังนี้จะเสื่อมลงมากน้อยเพียงใดหลังจากเปลี่ยนเจ้าของ เพราะตนไม่มีพลังสำหรับประเมินค่าศาสตร์เวทที่บรรจุอยู่ในผลึก


เช่นเดียวกันกับปิอาโร่ กริดและปิอาโร่มีจุดยืนที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับยูร่าผู้สามารถอ่านรายละเอียดของปราสาทไร้เทียมทานได้โดยตรง รวมถึงเมอร์เซเดสที่มีเนตรมองทะลุ และผู้ส่งสารคนอื่นๆ ที่มีความรู้กว้างขวาง


“หืม…”


กริดค่อยๆ ลุกขึ้นประหนึ่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น


“มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่ดวงตาของบาร์บาทอสจะมองเข้ามาในปราสาท”


“หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ จะไม่มีสิ่งใดเข้ามาในปราสาทได้”


กริดอดชื่นชมไม่ได้


ปราสาทไร้เทียมทาน


ในตอนแรก หลังจากได้ยินชื่อปราสาท กริดคิดว่าดันทาเลี่ยนอาจป่วยเป็นโรคเด็กมอสอง


แต่ปัจจุบัน ชายหนุ่มค้นพบว่ามันคือปราสาทที่ไร้เทียมทานสมชื่อ


“แต่ก็ยังวางใจไม่ได้… บาร์บาทอสสามารถยิงใส่ทุกสิ่งที่มันมองเห็น ปราสาทหลังนี้มีหน้าต่างมากเกินไป”


การซุ่มยิงของบาร์บาทอสจะไม่ถูกขัดขวางโดยอุปสรรค การซ่อนตัวหลังกำบังจึงเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์


การยิงของบาร์บาทอสจะข้ามขั้นตอนการทำลายกำแพง โดยเป็นการโจมตีใส่เป้าหมายด้านหลังโดยตรง


ไม่ว่าจะเก่งกาจสักเพียงใด เหยื่อก็จะถูกยิงทันทีที่ตกอยู่ในการมองเห็นของบาร์บาทอส


“นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องหมอบลง”


กริดยักไหล่พูด


ชายหนุ่มสลัดความอับอายด้วยเหตุผลที่พอจะฟังขึ้น แก้ต่างให้พฤติกรรมที่น่าอดสูอย่างการหมอบคลาน


ปิอาโร่ที่ตื่นตระหนกจนถึงเมื่อครู่ ยามนี้กล่าวด้วยน้ำเสียงองอาจ


“ใช่แล้วขอรับ… แต่หน้าต่างของปราสาทหลังนี้ถูกเคลือบด้วยเวทมนตร์ ไม่สามารถมองเข้ามาจากภายนอก”


“…เคลือบไว้ด้วยเวทมนตร์?”


ดูเหมือนว่าดันทาเลี่ยนจะให้ความสำคัญกับการถูกสอดส่อง ขณะเดียวกันก็คงระแวงพลังของบาร์บาทอส


‘ดันทาเลี่ยนเป็นศัตรูกับบาร์บาทอส ส่งผลให้ต้องระแวงถึงเพียงนี้? ไม่สิ เจ้านั่นคงระแวงจอมอสูรทุกตน’


กริดยังไม่ลืมว่า ในหมู่จอมอสูรก็มีการแข่งขันระหว่างกันเอง


‘ดันทาเลี่ยนไม่อยากตายถึงขนาดที่ยอมเป็นผู้ส่งสารให้เรา… นั่นสินะ การมองหาบ้านที่ปลอดภัยถือเป็นเรื่องปรกติ’


ดันทาเลี่ยนจะตายจริงๆ ก็ต่อเมื่อเสียหัวไปหกหัว


และทุกครั้งที่ศีรษะถูกทำลาย ความรู้ของมันก็จะหายไปบางส่วน


บางที สิ่งที่ดันทาเลี่ยนหวาดกลัวที่สุดอาจเป็นการสูญเสียความรู้ที่สั่งสมมานานกว่าพันปี และเป็นเหตุผลที่มันหมกมุ่นอยู่กับการเอาชีวิตรอด


ดันทาเลี่ยนมิได้ปรารถนาลำดับที่สูงขึ้น เพียงแต่อยากใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยในนรกขุมที่ยี่สิบห้า


‘การได้ครอบครองปราสาทหลังนี้โดยสมบูรณ์… ถือเป็นผลกำไรมหาศาล’


บางที รางวัลใหญ่ที่สุดของการโค่นดันทาเลี่ยนคือปราสาทไร้เทียมทานหลังนี้


ขณะกริดครุ่นคิด มันได้ยินเสียงบราฮัมหันไปถามยูร่า


“เธอมีวิธีเป็นอิสระจากแรงกดดันภายในนรกบ้างไหม?”


เหล่าผู้ส่งสารของกริดต่างสูญเสียพลังไปราวสี่สิบเปอร์เซ็นต์หลังจากเข้าสู่นรกขุมที่ยี่สิบห้า


นี่คือตัวเลขที่เกิดจากการลดผลข้างเคียงด้วย ‘ชา’ และ ‘ยา’ จากอินคิวบัสแล้ว


“มันจะดีขึ้นหลังจากพวกเราได้รับ ‘ไข่ของทุยลา’ จากนรกขุมที่ยี่สิบสี่”


“ทุยลา? ไม่คุ้นชื่อเลย”


“เป็นชื่อของมอนสเตอร์ที่อาศัยในน้ำตกกำมะถันซึ่งหาได้ยาก กล่าวกันว่า หากกินไข่ของทุยลาแบบดิบๆ เข้าไป ปราณอสูรและปราณแห่งความตายที่พยายามรุกล้ำร่างกายจะถูกชำระล้างจนบริสุทธิ์อย่างมาก”


พวกมันมีแผนจะเดินทางไปยังนรกขุมที่ยี่สิบสี่อยู่แล้ว


เดิมที จุดประสงค์ของกริดคือการกวาดล้างนรกหลักยี่สิบทั้งหมด


ไม่ว่าปราสาทหลังนี้จะสะดวกสบายเพียงใด แต่ทุกคนก็ไม่คิดจะหมกตัวอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต


ปัญหาคือบาร์บาทอส


การลอบโจมตีอย่างต่อเนื่องของมัน ราวกับกำลังยั่วยุว่า กริดและผู้ส่งสารที่เอาแต่หดหัวอยู่ในปราสาทเป็นพวกขี้ขลาด


สิ่งนี้ชวนให้เหน็ดเหนื่อยทั้งทางร่างกายและจิตใจ


เสียงระเบิดอันน่าหนวกหูดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แถมปราสาทก็ยังสั่นคลอน ส่งผลให้ศีรษะวิงเวียน


‘น่ารำคาญฉิบ’


สำหรับกริด อีกฝ่ายเป็นพวกน่ารังเกียจตั้งแต่แรกพบ กับผู้ส่งสารคนอื่นๆ ก็เช่นกัน


สาเหตุที่บราฮัมถามถึงวิธีขจัดผลข้างเคียง ก็เพราะมันอยากจะออกไปฉีกบาร์บาทอสให้เป็นชิ้นๆ


‘แต่ถ้าผลข้างเคียงไม่ลดลง โอกาสชนะก็แทบไม่มี’


เพราะอย่างไรก็ดี บาร์บาทอสเป็นถึงจอมอสูรลำดับแปด ฝีมือของมันน่าจะสูงกว่าที่กริดคำนวณไว้


แม้แต่เนเฟลิน่าก็ยังไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม


“ข้าสัมผัสถึงเจ้านั่นไม่ได้”


เนเฟลิน่าโพล่งขึ้นหลังจากเงียบงันสักพัก


คล้ายกับเธอพยายามตรวจจับหาตำแหน่งของอีกฝ่าย แต่ก็ล้มเหลว


กริดมอบคำแนะนำ


“เธอไม่จำเป็นต้องตรวจจับคลื่นพลังงานที่แข็งแกร่ง บาร์บาทอสมักซุ่มยิงจากระยะที่ไกลมาก จึงไม่น่าจะมาใกล้ๆ ด้วยตัวเอง… หากต้องการตรวจจับ ให้พยายามมองหา ‘ดวงตา’ ของมันซึ่งน่าจะมีคลื่นพลังงานอ่อนแอ”


“หืม…”


เนเฟลิน่าทำหน้าเคลือบแคลงเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลง


ราวยี่สิบนาทีถัดมา เธอลืมตาขึ้นและพูด


“มีสัตว์อสูรขนาดเล็กจำนวนหนึ่งเดินเตร็ดเตร่รอบๆ ปราสาท… หนึ่งในนั้นค่อนข้างน่าสงสัย”


“เป็นมันแน่นอน”


บราฮัมแผ่พลังเวทออกมาทันที


หลังจากเนเฟลิน่าระบุพิกัด บราฮัมหายตัวไปด้วยเทเลพอร์ตและกลับมาภายในสองวินาที


“ฉันจัดการไปแล้ว”


“บราฮัม!”


เสื้อสีขาวของบราฮัม ยามนี้กำลังเปื้อนเลือดสีแดง


มันโดนบาร์บาทอสซุ่มยิงขณะเทเลพอร์ตออกไปฆ่าสมุนของอีกฝ่าย


การลอบโจมตีของบราฮัมเกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที แต่ช่วงเวลาดังกล่าว บาร์บาทอสกลับสามารถตรวจจับบราฮัมและยิงใส่อย่างแม่นยำ


“เจ้าประมาทที่ไม่ได้กางบาเรียคุ้มกาย”


เนเฟลิน่าขมวดคิ้ว


การร่ายเวทผสานสามชนิดพร้อมกัน ด้วยการเทเลพอร์ตไปยังเป้าหมายพร้อมกับยิงเวทโจมตี และคงสภาพบาเรียคุ้มกายไว้ตลอดเวลา สำหรับบราฮัมแล้วเป็นเรื่องง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ


เธอจึงขบขันที่บราฮัมประมาทและไม่กางบาเรียคุ้มกายขณะออกไป ปล่อยให้ตัวเองถูกตอบโต้


เนเฟลิน่าประเมินฝีมือบราฮัมไว้สูงถึงเพียงนั้น


บราฮัมพ่นลมหายใจ


“ทำไมจะไม่กาง”


ไม่จำเป็นต้องอธิบายว่ามันถูกทะลวงผ่าน กริดและผู้ส่งสารต่างเข้าใจความนัยพร้อมกัน


สีหน้าของทุกคนเริ่มดำมืดเมื่อตระหนักว่าบาร์บาทอสแข็งแกร่งมากเพียงใด


บราฮัมออกปากกระตุ้นทุกฝ่าย


“พวกเราต้องรีบหนีในจังหวะที่นักซุ่มยิงไม่สามารถโจมตี”


ตำแหน่งของพวกตนถูกค้นพบเนื่องจากซาลิเอลบรรเลงท่วงทำนองสวรรค์ หากแช่อยู่ในปราสาทต่อไป อีกไม่นานคงถูกกองทัพนรกรุมล้อมจนไม่ได้ไปไหน


กริดและพรรคพวกตัดสินใจเดินทางไปยังนรกขุมที่ยี่สิบสี่โดยเร็วเพื่อรวบรวมไข่ของทุยลา


***


<ดาบพินาศทัพหนึ่งแสน>

เป็นการฟันหนึ่งครั้ง

ศัตรูทั้งหมดในการมองเห็นจะได้รับความเสียหาย 6,000% ของพลังโจมตีกายภาพ

หากมีเป้าหมายเสียชีวิต ความเสียหายที่เป้าหมายถัดไปได้รับจะเพิ่มขึ้น 100%

ไม่มีขีดกำจัดการสะสม

ทรัพยากร: มานา 20,000 หน่วย, ปราณดาบ300 หน่วย

ระยะหน่วง: 10 นาที


<ดาบสกัดทัพหนึ่งแสน>

เป็นการฟันหนึ่งครั้ง

ศัตรูทั้งหมดในการมองเห็นจะได้รับความเสียหาย 200% ของพลังโจมตีกายภาพพร้อมกับสร้างอาการผิดปรกติ ‘ถูกผนึก’ นานแปดวินาที

เป้าหมายที่ถูกผนึกจะไม่สามารถใช้ทักษะหรือเวทมนตร์

หากการโจมตีถัดไปเป็นวิชาดาบทัพสองแสน ความเสียหายที่ได้รับจะเพิ่มขึ้น

ทรัพยากร: มานา 20,000 หน่วย, ปราณดาบ300 หน่วย

ระยะหน่วง: 30 นาที


ประสิทธิภาพของ ‘วิชาดาบทัพหนึ่งแสน’ ต้นตำรับนั้นเกินกว่าจินตนาการกริดไปมาก


ชายหนุ่มเคยเชื่อว่า วิชาดาบทัพหนึ่งแสนที่บีบันช่วยปรับปรุง คงมีประสิทธิภาพใกล้เคียงของเดิมมากแล้ว


แต่ความจริงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


แม้แต่อริยดาบก็มิอาจดึงพลังที่แท้จริงของวิชาดาบทัพหนึ่งแสนออกมาได้ถึงขีดจำกัด


ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะนี่คือทักษะที่สร้างโดยราชาไร้พ่าย มาดรา ‘อัจฉริยะที่หาไม่ได้อีกแล้ว’


‘ตัวคูณพลังโจมตีเพิ่มขึ้นสองเท่า แถมเอฟเฟคก็ยังถูกยกระดับขึ้นมาก’


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ดาบพินาศทัพหนึ่งแสน’ มีพัฒนาการอย่างก้าวกระโดด


แต่เดิม เป้าหมายการโจมตีจะเป็นกลุ่มพื้นที่โดยไม่สนใจมิตรหรือศัตรู


แต่ปัจจุบัน ดาบพินาศทัพหนึ่งแสนจะโจมตีใส่ ‘ศัตรูทั้งหมดในการมองเห็น’


อย่างที่ทราบกันดี การโจมตีที่มีขอบเขตเป็น ‘ระยะมองเห็น’ ถือเป็นทักษะที่หาได้ยากในซาทิสฟาย


“…ยังกับการลมหายใจมังกร!”


เนเฟลิน่าเป็นคนที่ออกปากชื่นชมมากที่สุด


เมื่อปลดปล่อย ‘ดาบพินาศทัพหนึ่งแสน’ ด้วยดาบมังกรเพลิง เปลวไฟขนาดมหึมาจะแผดเผาศัตรูเป็นวงกว้างจนราบคาบ


แน่นอน ความรุนแรงยังห่างชั้นกับลมหายใจมังกรของจริงมาก แต่ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายจางๆ


บราฮัมวิจารณ์ด้วยสีหน้าขึงขังซึ่งหาได้ยาก


“หากมาดรายังมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้… เผ่าพันธุ์ที่ครองโลกสามภพจะเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เทพ”


สอดคล้องกับคำชื่นชมอันน่าตกตะลึงของฮายาเตะที่ระบุว่า ถ้ามาดรายังมีชีวิตอยู่ มังกรทั้งหมดคงถูกผนึก


กริดรู้สึกตื่นเต้น


มันภาคภูมิใจที่ตนสามารถสำแดงวิชาดาบของอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์สูงที่สุดในโลก แม้จะแค่บางส่วนก็ตาม


‘ข้อเสียก็คือ เป็นการโจมตีที่สิ้นเปลืองทรัพยากรเกินไป…’


ในความเป็นจริง ถือเป็นเรื่องไร้ยางอาย กับการมัวตัดพ้อเกี่ยวกับทรัพยากร


จริงอยู่ อัตราการสิ้นเปลืองอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า แต่ก็แลกมากับประสิทธิภาพมหาศาล


เป็นอีกครั้งที่ดาบมังกรเพลิงพ่นไฟกระจายเป็นวงกว้าง ทุยลาหลายสิบตัวที่ซ่อนอยู่หลังน้ำตกกำมะถันพลันสลายกลายเป็นเพียงละอองเถ้าถ่าน


สัตว์อสูรที่ถูกยกย่องให้เป็นชนชั้นสูงสองนรกขุมที่ยี่สิบสี่ กลับต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพช โดยที่ไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือหรือความถึกทนทางร่างกายที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด


ไม่ใช่แค่กริดที่พัฒนาฝีมือ ปิอาโร่เองก็ทรงพลังขึ้นมาก


เฉกเช่นกริดที่ได้รับ ‘หนึ่งใน’ วิชาดาบของราชาไร้พ่าย <วิชาดาบทัพหนึ่งแสน> ปิอาโร่เองก็ได้รับ ‘หนึ่งใน’ ทักษะของอริยดาบ <วิชาดาบไร้เทียมทาน>


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นยอดเยี่ยมมาก เพราะเดิมที เทคนิคการทำฟาร์มอิสระมีรากฐานมาจาก ‘วิชาดาบอิสระ’ โดยที่วิชาดาบอิสระก็ตกทอดมาจาก ‘วิชาดาบไร้เทียมทาน’ อีกทีหนึ่ง


นอกจากนั้น เมื่อได้ครอบครองวิชาดาบไร้เทียมทาน ‘พลังจิตไร้เทียนทาน’ ที่บีบันอนุญาตให้กริดถ่ายทอดให้ปิอาโร่ ก็ยังถูกยกระดับขึ้นจากเดิมหลายเท่า


ปัจจุบัน คงไม่เหมาะนักที่จะพูดว่า ‘ปิอาโร่อ่อนแอกว่าผู้ส่งสารคนอื่น’


ยูร่าเองก็ไม่น้อยหน้า เธอได้รับเทคนิคเชิงร่างกายจากลันเทียร์


หนึ่งร้อยวงแหวน


ตามชื่อของมัน หนึ่งร้อยวงแหวนจะช่วยให้สามารถใช้ ‘ทุกส่วน’ ของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเปรียบการเคลื่อนไหวร่างกายแต่ละท่วงท่าเป็น ‘วงแหวน’ ที่นำมาร้อยเข้าด้วยกันเรื่อยๆ จนเกิดเป็นโซ่ยาวที่ไม่ขาดตอน


สิ่งนี้เข้ากันกับธรรมชาติของนักล่าอสูรอย่างมาก โดยเฉพาะพฤติกรรมการสับเปลี่ยนอาวุธอย่างต่อเนื่อง


ยูร่าในปัจจุบันจึงสามารถ ‘ต่อสู้ได้ทุกระยะ’ โดยไม่มีจุดอ่อน


เดิมที การต่อสู้ทุกระยะของเธอเคยเป็นดาบสองคม แต่ปัจจุบันกลายเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยให้รับมือกับคู่ต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ


ปัญหาอยู่ที่เมอร์เซเดส


เธอเผยว่าตัวได้รับทักษะของนักขุดแร่ในตำนาน กิส


แล้วทำไมถึงได้ดูมีความสุขนัก?


กริดพลันกระสับกระส่ายเมื่อไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้นกับอีกฝ่าย


‘หรือเธอจะได้รับทักษะขุดแร่? จริงอยู่ เราดีใจที่มีคนช่วยขุดแร่… แต่คงไม่ใช่หรอกกระมัง?’


ถึงชายหนุ่มจะพยายามมองโลกในแง่ดี แต่ก็อดเป็นกังวลไม่ได้


ทันใดนั้นเอง หินยักษ์ตกลงมาจากด้านบนเป็นจำนวนมาก


แต่ละก้อนใหญ่เท่าบ้าน พวกมันพุ่งปะทะกับบาเรียทรงร่มที่บราฮัมกางป้องกัน


“หลบเร็ว!”


เนเฟลิน่าส่งเสียงตะโกนพร้อมกับพ่นคลื่นกระแทกขึ้นไปทำลายหินบางส่วน


กริดและพรรคพวกต่างกระจายตัวเพื่อลดความเสียหาย


แต่มีหนึ่งคนที่ไม่ขยับไปไหน


เมอร์เซเดส


มือข้างหนึ่งของเธอกำลังถือจอบแหลมสองหัว เป็นจอบที่กริดยกให้


ใจจริง ชายหนุ่มไม่อยากให้สักเท่าไร เนื่องจากสัมผัสได้ถึงลางร้าย


ทว่า ในเมื่อเมอร์เซเดสเปิดได้ทักษะของนักขุดแร่ในตำนานและร้องขอสิ่งนี้เป็นของขวัญ หากไม่ให้ก็คงจะใจดำเกินไปหน่อย


ขณะจอบกระแทกพื้น ก้อนหินจากเบื้องบนเริ่มทยอยตกใส่ศีรษะเมอร์เซเดส


“เมอร์เซ… เดส?”


ขณะเตรียมแหกปาก กริดมีอันต้องชะงักและเงียบไป เนื่องจากพบว่าหลอดพลังชีวิตของอีกฝ่ายยังเต็มเปี่ยม


เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!


เมื่อได้ยินเสียงใสกังวานของจอบกระทบกับแร่ กริดพลันนึกถึงวันเก่าๆ


ความทรงจำเกี่ยวกับอัศวินความตายของนักขุดแร่ในตำนาน กิส บนหมู่เกาะเบเฮ็น


ชายคนนั้นจะเป็นอมตะในยามขุดแร่


ไม่ผิดจากที่คิด ทักษะที่เมอร์เซเดสเรียนรู้คือเทคนิคการขุดแร่


ชายหนุ่มปรับอารมณ์ไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้


ท่ามกลางความวุ่นวาย


“ข้าเคยกังวลเล็กๆ เนื่องจากพวกเจ้ามีจำนวนมากเกินไป แต่ในเมื่อจำนวนลดลงแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น”


จอมอสูรลำดับยี่สิบสี่ นาเบเรียส ปรากฏตัวพร้อมกับหัวเราะกลุ่มมนุษย์ที่ถูกหินถล่มทับจนตายโดยไม่มีโอกาสตอบโต้


“จงสั่นเทาต่อหน้าความแข็งแกร่งของข้า… ในอีกไม่ช้า ข้าจะเชือดทุกคนทิ้งอย่างเท่าเทียม”


นาเบเรียสมีอำนาจในขอบเขตแร่ธาตุและพืชพรรณ


เมื่อเริ่มใช้เวทมนตร์ ทั้งภูเขาและธรรมชาติรอบๆ พลันกระหน่ำโจมตีใส่กริดและพรรคพวก


นาเบเรียสถนัดในการถล่มกองทัพนับล้านให้หายไปในพริบตา แต่น่าเสียดาย ปิอาโร่สามารถควบคุมดินและต้นไม้ในบริเวณใกล้เคียงได้อย่างสมบูรณ์ ส่งผลให้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ส่วนกริดก็ใช้จอบสองหัวกระแทกแร่ธาตุชนิดต่างๆ จนสูญเสียรูปทรงและพลังทำลาย


เรียกได้ว่า นาเบเรียสกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่มันแพ้ทางมากที่สุด


“ช่างตีเหล็ก? ชาวนา? ได้ยังไง!”


แต่นาเบเรียสมองข้ามไปหนึ่งเรื่อง ที่นี่ยังมีนักขุดแร่อีกหนึ่งคน


เมื่อสบโอกาสที่เห็นจากเนตรมองทะลุ เมอร์เซเดสโผล่ออกจากกองดินทับถมเพื่อโจมตี


นาเบเรียสถูกเล่นงานจุดอ่อนจนได้รับความเสียหายหนักหน่วง


ถือเป็นศึกที่จอมอสูรลำดับยี่สิบสี่หมดทางชนะโดยสิ้นเชิง


ฝีมือของมันแข็งแกร่งสมกับลำดับ แต่น่าเสียดายที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผิดประเภท ส่งผลให้ต้องตกอยู่ในชะตากรรมเลวร้าย


จอมอสูรลำดับยี่สิบสามและยี่สิบสองถูกกำราบอย่างง่ายดาย


พวกมันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกริดและปาร์ตี้ ฝีมือค่อนข้างห่างชั้นจากดันทาเลี่ยนที่ถือเป็น ‘อสูรพิเศษ’


โดยในทางกลับกัน กริดและผู้ส่งสารแข็งแกร่งขึ้นจากการโค่นดันทาเลี่ยน รวมถึงผลข้างเคียงที่ลดลงจากการกินไข่ดิบทุยลา


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,924
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00