จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 829


    
    “เป็นถึงคนที่รวยที่สุดในโลก  แต่กลับขี้เหนียวชะมัด”

    เยริม  เด็กสาวผู้มีเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจ  ยิ่งโตขึ้น  พลังดึงดูดเพศตรงข้ามก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ  
    เยริมกอดแขนยองวูแนบแน่นพลางจ้องมองด้วยแววตาออดอ้อน

    “มาอวยพรวันเกิดให้พี่ยองวูไม่ใช่รึไง?  แล้วทำไมถึงไม่มีของขวัญติดมือเลยสักชิ้น?”

    “ไม่เลย  เขามอบของขวัญแสนวิเศษให้พี่แล้ว”

    ยองวูลูบศีรษะเยริมอย่างทะนุถนอมเหมือนเช่นทุกครั้ง
    ไม่ว่าเธอจะมีเสน่ห์เย้ายวนเพียงใด  แต่ยองวูก็ไม่เคยมองเยริมมากไปกว่าน้องสาว
    
    ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น  เพราะเยริมคือเพื่อนสนิทของเซฮี

    “ของขวัญแสนวิเศษ?”

    เมื่อไรไอ้พี่ยองวูบ้านี่จะมองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งสักที?
    เยริมงอนแก้มป่องเมื่อเห็นว่าจิตใจของยองวูไม่ถูกสั่นคลอนแม้แต่น้อย
    
    ขณะกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการปลดผนึกเสน่ห์ของตัวเอง  ยองวูได้หันมายิ้มให้เยริมด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น

    “ใช่แล้ว  เป็นของขวัญที่มิอาจประเมินค่าได้”

    กริดมิได้กล่าวเกินจริง

[ เทพแห่งการตีเหล็กเกี่ยวพันกับภารกิจประจำคลาสผู้สืบทอดแพ็กม่า ]

    คำใบ้ของประธานลิมชอลโฮมีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่ากองเงินกองทอง

    หากค่าความสัมพันธ์กับเทพแห่งการตีเหล็กกลายเป็น -10  ไอเท็มที่กริดสร้างหลังจากนั้นจะถูกสาป
    ด้วยเหตุนี้  ชายหนุ่มจึงหวาดกลัวการใช้ทักษะ ‘เสมือนเทพ’  เขายิ่งกระวนกระวายใจเมื่อมิอาจหาทางแก้ปัญหาได้
    
    แต่เมื่อลิมชอลโฮช่วยบอกใบ้

    ‘จะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นเมื่อเราถูกเทพสาปรึไงนะ?’

    หัวใจยองวูเริ่มเต้นโครมครามอย่างคาดหวัง  เขาต้องการกลับเข้าซาทิสฟายทันทีเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริง

    ท่าทีของยองวูแสดงออกบนใบหน้าอย่างชัดเจน  สมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างสัมผัสได้

    “พี่ยังเหลือเวลาออนไลน์อีกชั่วโมงครึ่งใช่ไหม?  ไว้ค่อยจัดงานวันเกิดหลังจากนั้นก็ได้”

    “เซฮี…”

    ยองวูตื้นตันใจจนพูดไม่ออก

    จะมีน้องสาวคนใดในโลกบ้าง  ที่ห่วงใยพี่ชายของตัวเองมากขนาดนี้?
    เขาโอบกอดเซฮีอย่างอบอุ่น  จากนั้นก็รีบตรงไปยังแคปซูลเพื่อใช้เวลาที่เหลือของวันนี้ให้ครบ

    ***    

    ท่ามกลางรุ่งเช้าของผืนป่าเงียบสงบ  สายลมเอื่อยพัดผ่านจนเกิดบรรยากาศสดชื่น
        
    เมอร์เซเดสกำลังนั่งอยู่ตามลำพังบนหินก้อนใหญ่
    เธอหลับตาลงพลางย้อนนึกถึงการต่อสู้ระหว่างตนและจิ้งหรีดถ้ำที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน

    ‘สรุปคือ…’

    เธอเริ่มมั่นใจ  ตัวเธอจะรับมือกับจิ้งหรีดถ้ำได้ดีกว่านี้หากมีโล่ใบใหญ่สักอัน
    หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า  เมอร์เซเดสมองว่าการใช้ดาบและโล่จะเกิดประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ดาบคู่
    
    ‘วิชาดาบประจำตระกูลเรามิได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น’

    เมอร์เซเดสใช้ดาบคู่มาตลอดเพราะนั่นคือพื้นฐานของวิชาดาบเวนซ์
    เธอเคยคิดว่า  สิ่งที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กย่อมเหมาะสมกับสรีระตัวเองมากที่สุด
    แต่ความคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนไปหลังจากกลายเป็นตำนาน
    
    วิชาดาบเวนซ์เด่นในด้านฆ่าฟันและปลิดชีพได้รวดเร็ว  แต่หากเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง  ดาบคู่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำมาก
    นั่นคือจุดบอดใหญ่หลวงของวิชาดาบเวนซ์—วิชาดาบประจำตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาช้านาน 

    หลักฐานบ่งชี้ที่ดีที่สุดก็คือ  ในวาระสุดท้ายขณะต่อสู้กับอัสทารอส  เธอตัดสินใจพึ่งพาวิชาดาบไร้ก้นบึ้งของปิอาโร่มากกว่าวิชาดาบประจำตระกูล

    ‘ไม่มีเหตุผลให้เราต้องยึดติดกับดาบคู่อีกต่อไป’

    กษัตริย์กริดของเธอเล็งเห็นสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น  เขาจึงออกปากว่าจะสร้างโล่และชุดเกราะให้ใหม่หนึ่งเซ็ต
    
    “…”
    
    ขณะเมอร์เซเดสนั่งพิจารณารายละเอียดของชุดเกราะตัวใหม่อย่างถี่ถ้วน  ดวงตาของเธอได้ลืมขึ้นกระทันหัน
    ดวงตาชนิดพิเศษที่สามารถมองทะลวงทุกสิ่ง  บัดนี้เริ่มจับความเคลื่อนไหวแปลกประหลาดได้ในป่าลึก
    
    มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางภายในป่าลึก  เมอร์เซเดสมั่นใจ  จำนวนของคนกลุ่มนี้มีมากเกินกว่าหนึ่งพันชีวิต
    และคงไม่ใช่เอลฟ์ที่กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านแน่  เพราะในกลุ่มดังกล่าวมีกลิ่นอายของบุคคลที่เป็นมนุษย์ชัดเจน

    ยิ่งไปกว่านั้น… 

    ‘ภูติธาตุหายไปไหนหมด?’

    เป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างประหลาด  
    สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากจบการล่าจิ้งหรีดถ้ำได้เพียงไม่นาน

    ปัจจุบัน  กริดได้ออกไป ‘พักผ่อน’  ส่วนปิอาโร่เดินทางกลับเมืองแวมไพร์เมื่อเสร็จภารกิจตัดแต่งต้นไม้ใหญ่
    ลงเอยด้วย  เมอร์เซเดสต้องนั่งรอกริดตามลำพัง

    “...”

    ภารกิจปัจจุบันของเธอคือการรอให้กริดกลับจากพักผ่อน
    
    หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย  เมอร์เซเดสรีบปีนขึ้นบนต้นไม้สูงใหญ่
    แม้การพรางตัวจะไม่ยอดเยี่ยมเท่านักลอบสังหารระดับสูง  แต่ก็สามารถลบตัวตนได้ดีในระดับหนึ่ง

    จากนั้นไม่นาน… 

    “ยังพยายามอัญเชิญภูติธาตุอยู่อึกรึไง?  เลิกทำเรื่องไร้สาระได้แล้ว!  รีบเดินเร็วเข้า!”

    กลุ่มคณะเดินทางเอลฟ์ผสมมนุษย์เริ่มปรากฏสู่การมองเห็นของเมอร์เซเดส

    เอลฟ์หลายพันตนถูกมัดมือด้วยเชือกและร้อยจูงเข้าด้วยกัน  
    ส่วนมนุษย์หลายร้อยชีวิตกำลังคุมแถวพลางเย้ยหยันกลั่นแกล้งอย่างสนุกสนาน

    ‘อะไรกัน…?’

    เมอร์เซเดสสับสนกับภาพตรงหน้า

    เบเนียลูกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าเธอกลับไปพบ ‘เพื่อนมนุษย์ตัวน้อย’ ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมื่อวาน  
    แล้วเหตุใดถึงลงเอ้ยด้วยสถานการณ์เช่นนี้ได้?
    
    เธอขบกรามครุ่นคิดด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
    จากนั้นก็เริ่มได้เค้าลางของสิ่งที่เกิดขึ้น
    ดวงตาของชาวเอลฟ์กำลังหม่นหมองไร้ชีวิตชีชวา  บาดแผลฉกรรจ์บนร่างกายที่ผอมบางทำให้เมอร์เซเดสเกิดโทสะรุนแรง

    แต่เธอก็ยับยั้งสติไว้ได้
    
    ‘เราไม่มีสิทธิโมโหพวกมัน…’

    เธอสงบสติอารมณ์พลางหวนนึกถึงอดีตของตัวเอง

    ก่อนหน้านี้เมอร์เซเดสเคยเป็นใครกัน?
    เธอคืออัศวินลำดับหนึ่งที่นำกองทัพปราบกบฏและชนกลุ่มน้อยมากมาย
    จริงอยู่ที่มิได้ทำไปเพราะความต้องการส่วนตัว  เป็นบัญชาจากองค์จักรพรรดิ  แต่ถึงอย่างนั้น  เมอร์เซเดสก็ปฏิเสธบาปของตัวเองไม่ได้

    แม้เธอจะไม่ได้เย้ยหยันหรือจองจำคนเหล่านั้นเป็นทาส  ทว่า  การคร่าชีวิตชนกลุ่มน้อยก็นับเป็นความเลวร้ายที่ไม่แพ้กัน
    
    ‘…เราก็เคยเป็นแบบพวกมัน’

    เธอไม่มีสิทธิตำหนิกลุ่มมนุษย์ชั่วช้าตรงหน้าอย่างเต็มปาก

    เมื่อเมอร์เซเดสตระหนักได้  เธอรีบหลับตาลงเพื่อไม่ต้องการเห็นภาพแสนเหตุการณ์แสนเจ็บปวดตรงหน้า
    และเหนือสิ่งอื่นใด  ภารกิจของเธอคือการรอให้กริดกลับมา

    อัศวินประจำตัวราชาโอเวอร์เกียร์ไม่มีสิทธิ์ลงมือกระทำโดยพละการ      
    เมอร์เซเดสทำได้เพียงนั่งกำหมัดแน่นอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบงัน

    ทว่า  มีใครบางคนสัมผัสถึงตัวตนของเธอได้

    “หืม”

    มันคือ ‘ไนท์’

    ไนท์เป็นผู้เล่นที่เพิ่งชนะทัวร์นาเมนท์ PVP ขนาดย่อมภายในประเทศรัสเซีย
    มันสามารถเอาชนะอเล็กซานเดอร์ที่ว่ากันว่าเป็นแรงเกอร์อันดับหนึ่งคนปัจจุบันของชาวรัสเซียอย่างขาดลอย

    แต่ถึงจะเก่งกาจ  ชื่อเสียงของไนท์ก็จำกัดวงแคบภายในประเทศเท่านั้น  โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันพยายามปกปิดตัวตนมิให้โลกรับรู้

    ทักษะที่แข็งแกร่ง  ยิ่งศัตรูรู้รายละเอียดน้อยเพียงใดก็ยิ่งดี  แต่หากเป็นคนที่รู้จัก  ย่อมไม่มีผู้ใดกังขาในฝีมือของไนท์

    นี่คือสาเหตุหลักที่เคียร์ยอมควักเงินมูลค่ามหาศาลเพื่อจ้างไนท์มาร่วมทีม        
    เมื่อเห็นไนท์หยุดม้า  เคียร์รีบควบม้าเข้ามาถาม

    “เกิดอะไรขึ้น?”

    ไนท์ครุ่นคิดเล็กน้อยพลางส่ายศีรษะ

    “เปล่า…ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

    แน่นอนว่านี่คือคำโกหก
    ทักษะติดตัวที่ยอดเยี่ยมของมัน ‘การหยั่งรู้จากเทพแห่งความตาย’  ได้ระบุว่าตัวตนปริศนาบนต้นไม้เป็น ‘ภัยคุกคามระดับสูงสุด’
    
    โชคดีที่สตรีปริศนาไม่มีความคิดมุ่งร้าย
    คงดีกว่าหากต่างฝ่ายต่างแยกย้ายจากกันไป

    เมื่อคิดเช่นนี้  ไนท์รีบออกปากเร่งเคียร์

    “พวกเราต้องรีบไปวิหารที่ใกล้ที่สุดก่อนพลังของแก่นยาธานจะหมดลงใช่ไหม?  ถ้าอย่างนั้นก็เร่งมือเข้าเถอะ”

    “อา  ถูกของนาย”

    เคียร์ยอมฟังคำแนะนำจากไนท์  มันรีบเร่งขบวนเดินทางทันที
    แส้ในมือผู้เล่นกระหน่ำฟาดใส่เอลฟ์เพื่อให้เชลยเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น

    ผู้เล่นบางส่วนที่รู้สึกสนุกได้ฟาดแส้เล่นจนเกินจำเป็น  เสียงหวีดร้องดังระงมไปทั่วผืนป่าอย่างต่อเนื่อง
    เบเนียลูขบกรามด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
    
    เหตุใดเธอจึงหลงคารมมนุษย์เข้าได้?
    ความโง่เขลาส่วนตัวได้ทำให้พวกพ้องเอลฟ์ทั้งหมดต้องเดือดร้อน  เบเนียลูต้องการกัดลิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอด

    แต่เธอก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
    ด้วยฐานะหนึ่งในสิบสองผู้พิทักษ์  เบเนียลูสาบานกับตัวเองว่าจะช่วยเหลือทุกคนที่ถูกจับเป็นเชลยจากความโง่เขลาของตน
    มีแต่ต้องอดทนให้ผ่านพ้นความอับอายและความเจ็บปวดในวันนี้

    เคียร์มองเจตนาของเธออก

    “เป็นสีหน้าที่ดี  ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพใดก็ขอให้แสดงสีหน้าเช่นนี้เข้าไว้  ฉันจะรอดูวันที่จิตใจของเธอแหลกสลายโดยสมบูรณ์  คุคุคุ!”

    “ไอ้มนุษย์โสโครก!”

    เบเนียลูแผดเสียงอย่างเดือดดาล
    เธอสติแตกและพยายามรวบรวมมานาเพื่ออัญเชิญภูติธาตุ
    แต่น่าเสียดาย  การกระทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองมากขึ้น

    “อ๊ากกก!”

    แก่นยาธานได้ซึมลึกเข้าไปในร่างเอลฟ์ทุกตน  การไหลเวียนของมานาและโลหิตกำลังปั่นป่วน
    ดวงตาเบเนียลูเหลือกขึ้นจนเหลือเพียงสีขาว  ร่างกายกำลังดิ้นทุรนทุราย
    เคียร์แสะยิ้มชั่วร้ายเมื่อได้เห็นเธออาเจียรทุกสิ่งที่อยู่ในกระเพาะออกมา

    “กลิ่นของเงินช่างหอมหวนเหมือนเคย  ยิ่งต้นทุนของสินค้ามีราคาแพง  คุณภาพสินค้าก็ยิ่งยอดเยี่ยมตามไปด้วย”

    เพื่อแผนการในวันนี้  เคียร์ลงทุนซื้อแก่นยาธานจากข้ารับใช้ยาธานโดยมีมูลค่าสูงถึง 40 ล้านเหรียญทอง  หรือเทียบเป็นเงินวอนจะเท่ากับ 48,000 ล้านวอน

    เหตุใดเคียถึงต้องทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้กับเกมด้วย?
    คนทั่วไปคงยากจะเข้าใจ

    แต่มันมองว่านี่คือการลงทุน  และเป็นการลงทุนที่สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
    จำนวนเงินจะน้อยลงถนัดตาหากแลกกับการจับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งเป็นทาสได้เกือบทั้งหมด

    ‘ถ้าเราขายทาสพวกนี้สำเร็จ  ถึงตอนนั้นจะได้เงินกลับคืนมากกว่า 40 ล้านเหรียญทองหลายเท่า’
    
    ทว่า  กำไรที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การค้าเอลฟ์เป็นทาส  หากแต่เป็นผลผลิตจากต้นไม้โลก
    ถ้ามันผูกขาดผลผลิตจากต้นไม้โลกไว้เพียงผู้เดียว  ทั้งกิ่งก้าน  ใบ  เปลือกไม้  และผล  รายได้ของเคียร์จะมหาศาลเทียบเท่าอาณาจักรหนึ่งเลยทีเดียว
    
    ‘พ่อได้ดูอยู่รึเปล่า?  ลูกชายของพ่อกำลังจะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่  ไม่เหมือนกับพ่อที่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพช’

    มันจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าพ่อ  
    นี่คือหนึ่งในคำสาบานที่เคียร์ลั่นวาจากับตัวเองขณะร่วมงานศพผู้เป็นบิดา

    “เฮ่อ…”

    เคียร์ถอนหายใจยาว
    แต่ขณะกำลังเร่งความเร็วขบวน  เคียร์เหลือบไปเห็นบางสิ่งโดยบังเอิญ
    สิ่งนั้นคือเสาแสงสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์การล็อกอินจากผู้เล่น

    “…?”

    มีผู้เล่นหลงเข้ามาในป่าเอลฟ์ได้ยังไง?
    สมาชิกกลุ่มของเคียร์ต่างพากันขมวดคิ้ว  แต่ก็มิได้แสดงสีหน้ากังวลมากนัก

    หากคิดในอีกมุมหนึ่ง  ชาวเอลฟ์เป็นฝ่ายลบล้างเวทมนตร์ลวงตาออกเอง  ไม่แปลกที่จะมีผู้เล่นเดินหลงเข้ามา
    
    ใช่แล้ว  ผืนป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่สาธารณะซึ่งแม้แต่สุนัขยังผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ
    การย่างกรายเข้าเขตป่าต้นไม้โลกมิใช่สิ่งพิเศษอีกต่อไป

    และเหนืออื่นใดทั้งหมด  อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียว  ไม่มีเหตุให้ต้องวิตกจนเกินพอดี
    
    “รีบไปกันเถอะ”

    กลุ่มของเคียร์รีบเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจผู้เล่นปริศนาที่เพิ่งล็อกอิน
    แต่เมื่อเห็นชื่อตัวละครเหนือศีรษะผู้เล่นคนดังกล่าวอย่างชัดเจน  เห็นทีจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เสียแล้ว

[ กริด ]

    “…?!”

    บุคคลที่เพิ่งล็อกอินเข้ามา  ตัวตนของเขาคือผู้เล่นที่มีชื่อเสียง

    ขณะเดียวกัน  ทางฝั่งของกริด
    สิ่งที่เขากำลังเห็นมิใช่ภาพหลอน  หากแต่เป็นความจริงทั้งหมด

    “เกิดอะไรขึ้น?”

    เมื่อล็อกอินเข้าสู่ซาทิสฟาย  กริดได้เห็นผู้คนจำนวนหลักพันอยู่เบื้องหน้า

    เขาหรี่ตาลงพลางครุ่นคิด  
    และได้ข้อสรุปว่า  เอลฟ์นับพันตนกำลังถูกผู้เล่นปริศนากลุ่มหนึ่งจับเป็นเชลย

    เคียร์รีบลงจากม้าและยื่นมือขอทักทายกริด

    “คุณกริดใช่ไหม?  เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกัน  ผมคือเคียร์  ผู้เล่นคลาสพ่อค้าอันดับหนึ่งของโลก”

    เฉกเช่นทุกครั้ง  เคียร์แสร้งปั้นรอยยิ้มจอมปลอมเพื่อตบตา  
    แต่น่าเสียดายที่กริดไม่ตอบรับคำขอจับมือ

    ชายหนุ่มยังจำสิ่งที่มุโต้  ผู้เล่นพ่อค้าอันดับสาม  เคยกล่าวไว้ได้ 

    “เบเนียลู  เธอได้ยินฉันรึเปล่า?”

    “กริด…?”

    เคียร์พยายามยืนบังมิให้กริดมองไปในกลุ่มเอลฟ์  กริดเริ่มแสดงท่าทีสงสัยอย่างเห็นได้ชัด

    “พวกแกคิดจะทำอะไรกับเอลฟ์?”

    กริดเมินเฉยคำทักทายของเคียร์โดยสิ้นเชิง  การกระทำเช่นนี้นับว่าหยามเกียรติกันอย่างหนัก
    คิ้วของมันพลันกระตุก  แต่ใบหน้ายังคงแสร้งยิ้มจอมปลอมไว้

    “เป็นถึงกษัตริย์ของอาณาจักร  แต่นิสัยแย่จังเลยนะ  อย่างน้อยก็รู้จักมารยาทพื้นฐานไม่ใช่รึไง?”

    “หึ…”

    กริดไม่ใช่ไอ้งั่งที่ไม่รู้ถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์ตรงหน้า
    เขาทราบดีว่าเอลฟ์เหล่านี้มีชะตากรรมที่โหดร้ายเพียงใดรออยู่

    ใบหน้าของกริดเริ่มดำมืด

    เคียร์กล่าวขึ้น

    “นี่ไม่ใช่ธุระของนาย  พวกเราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า  แบบนี้จะดีกับทั้งสองฝ่าย”
    
    เคียร์เองก็เป็นแรงเกอร์ที่ถูกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก    มันย่อมมองกริดเป็นศัตรู  ส่งผลให้กล่าวถ้อยคำยั่วยุออกไปโดยไม่รู้ตัว

    กริดเอ่ยปากถาม
    
    “ดีกับทั้งสองฝ่าย?  มันดีกับพวกแกฝ่ายเดียวไม่ใช่รึไง?”

    ขณะพูดจาเหยียดหยันเคียร์  กริดฉวยโอกาสสำรวจกลุ่มเอลฟ์ตรงหน้าด้วยค่าวิสัยทัศน์ที่มหาศาล

    “…”

    เขาได้เห็นบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งบนร่างกายเบเนียลู  ชายหนุ่มพยายามระงับโทสะ  เขารีบส่งเสียงตะโกนถาม

    “เธอต้องการให้ฉันช่วยรึเปล่า?”

    “…ช่วยฉันแล้วนายจะได้อะไร?”

    คำถามของเธอได้แฝงความนัยไว้มากมาย  บ่งบอกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
    กริดหรี่ตาลง  เขาจ้องมองเบเนียลูด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นซึ่งเคยมอบให้ในวันแรกที่ได้พบกัน

    “ไฮเอลฟ์ที่ชื่อสติกส์คอยช่วยเหลือฉันหลายเรื่อง  การช่วยชีวิตเธอจะถือเป็นการตอบแทนบุญคุณเขาทางอ้อม”

    “แกคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้ทำตามใจชอบได้รึไง?”

    เคียร์แสยะยิ้มถามด้วยสีหน้าเหยียดหยัน  มันเริ่มแผ่จิตสังหารอย่างชัดเจน

    และนั่นคือสัญญาณ

    “ไอ้บัดซบนี่!  คิดว่าตัวเองเจ๋งมากนักรึไงหลังจากชนะครอเกลได้?”

    “ทำไมถึงต้องแส่ไม่เข้าเรื่องด้วย?”

    พวกพ้องของเคียร์เริ่มแผดเสียงตะโกนพร้อมกับชักอาวุธ

    ส่วนกริดยังคงรอคำตอบจากเบเนียลู

    “…”

    ดวงตาของเธอเริ่มสั่นระริก
    ท่ามกลางความรู้สึกแสนสิ้นหวังก่อนหน้านี้  เธอได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ขอเชื่อใจมนุษย์อีกเป็นหนที่สอง
    แต่ปัจจุบัน  เบเนียลูกลับเกิดความลังเล  บางที  ส่วนลึกของจิตใจอาจกำลังร่ำร้องให้กริดช่วยเหลือ

    สาเหตุหลักเป็นเพราะกริดเอ่ยชื่อสติกส์ออกมา  แถมกริดยังเป็นมนุษย์ที่มิได้ทำร้ายพวกเธอในขณะที่มีโอกาส    

    ลงเอยด้วย… 
    
    “…ช่วยด้วย”

    เบเนียลูขอร้องเสียงสั่น

    “ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”

    น้ำเสียงแสนสิ้นหวังของเธอได้สลักลงในใจกริด

    “ตกลง…ฉันจะยอมเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมสักวัน”

    “…?!” 

    เปรี้ยงง—!

    พวกมันถูกกำปั้นชกใส่งั้นหรือ?
    ลูกน้องเคียร์กลุ่มหนึ่งพลันใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่อถูก ‘เที่ยงธรรมไม่เสื่อมคลาย’ โจมตีใส่ด้วยหมัดเปลือยเปล่า

▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 5 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,248
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. พระเอก​สึดๆ
    ฮึกเหิม​ได้ใจ
    มันส์.... 👍
    ขอบคุณ​มาก​ครับ​😊🙏

    ReplyDelete
  2. น่าจะมีภารกิรลับ ปลดปล่อยเอลฟ์นะ กริดจะได้อ้างความชอบธรรมในการ PK ได้

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00