จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,242
โดยทั่วไป สามัญสำนึกจะเทียบเท่ากับสัจธรรมเสมอ
สามัญสำนึกถือกำเนิดบนพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของบรรพบุรุษ เป็นการตกตะกอนทางข้อมูลที่ยากเปลี่ยนแปลง
“…!”
เฉกเช่นทุกชีวิต นักรบดราโกเนี่ยนระดับต่ำอย่าง ‘คาเบ’ ก็มีสามัญสำนึกเป็นของตัวเอง
สามัญสำนึกของมันคือ นักรบชั้นสูงเป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด เป็นตัวแทนอันน่าภาคภูมิใจของชาวดราโกเนี่ยน
พวกมันเคยผ่านมาแล้วทุกความยากลำบาก ตลอดชีวิตแทบไม่เคยพ่ายแพ้ และหากต้องเผชิญวิกฤติ ก็จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้แทบทุกครั้ง
ประหนึ่งว่า ดราโกเนี่ยนชั้นสูงคือสุดยอดนักรบที่ได้รับพรวิเศษทุกชนิดจากเทพ
“อ๊ากกกกก!”
แม้จะได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเอง แต่คาเบก็ยังไม่อยากเชื่อว่า คาสป้า นักรบดราโกเนี่ยนชั้นสูง จะถูกสังหารเยี่ยงหมูเยี่ยงหมาอย่างน่าสมเพช
ราวกับกำลังฝันไป…
“ฮะฮะ… ฮะฮ่าฮ่า! เข้าใจแล้ว ข้ากำลังฝัน!
เริ่มฝันตั้งแต่ตอนไหนกัน…
ตั้งแต่ตอนที่ฟราวาพ่ายแพ้ให้กับอัศวินมนุษย์บ้านนอก? ตั้งแต่ตอนที่ซาร์ดกลายเป็นแสงสีเทาอย่างคาดไม่ถึง?
หรือหลังจากที่เราถูกมนุษย์จับเป็นทาส?
‘แต่น่าเสียดาย เรื่องเหล่านั้นเป็นความจริง’
จุดเริ่มต้นของความฝันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน…
ไม่ผิดแน่ ตนคงเริ่มฝันตอนที่มนุษย์เพิ่มจำนวนจาก 3 กลายเป็น 16 อย่างเป็นปริศนา
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เรื่องราวรอบตัวคาเบก็ไม่สมจริงอีกเลย โดยเฉพาะฉากการเข่นฆ่ามอนสเตอร์ในแต่ละสันเขาอย่างโหดเหี้ยม
ไม่ผิดแน่ ความฝันเริ่มขึ้นจากจุดดังกล่าว
หากไม่ใช่ความฝัน ยอดนักรบดราโกเนี่ยนไม่มีทางเสียชีวิตภายใต้อำนาจเวทมนตร์…
“คึฮ่าฮ่าฮ่า!”
คาเบกุมท้องหัวเราะตัวสั่น
เป็นความพยายามที่จะปลุกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์ความฝัน
แต่ไม่ว่าจะหัวเราะหรือหยิกแก้มสักเพียงใด ฉากความฝันรอบตัวก็ไม่สลายไปเสียที
จากนั้นไม่นาน กลุ่มของกริดที่เมินเฉยคาเบมาตลอด กลับมารวมตัวข้างหน้ามันอีกครั้ง
“ฉันแขนหัก”
แวนเนอร์ เจ้าของบาดแผลฉกรรจ์สีแดงสดกึ่งกลางหน้าผากเถิกล้าน เหยียดแขนอ่อนปวกเปียกราวกับไร้กระดูกออกมาโบกแผ่วเบา ตามด้วยการซักถามบราฮัมพร้อมกับชี้ไปยังบาดแผลน้อยใหญ่บนร่างกายพวกพ้อง
“นายเสียสติไปแล้วรึไง! ทำไมถึงปล่อยพวกเราลงจากที่สูงขนาดนั้น! ไม่ใช่ทุกคนที่จะบินได้เหมือนนายกับกริดสักหน่อย! ฉันต้องย้ำเรื่องนี้ให้ฟังอีกสักกี่รอบถึงจะเข้าใจ!”
“มันน่าสมเพชนะ ที่เห็นใครสักคนตะแบงความกระจอกของตัวเองอย่างเสียงดังฟังชัด”
“กระจอกบ้ากระจอกบออะไรกัน! มันไม่มีใครบินได้นอกจากจอมเวทอยู่แล้วโว้ย!”
“แต่กริดก็ไม่ใช่จอมเวท”
“หมอนั่นมันโอเวอร์เกียร์!”
“เจ้าก็โอเวอร์เกียร์บ้างสิ”
“มันง่ายซะที่ไหนเล่า!”
“ุถ้าอย่างนั้นก็เรียนเวทมนตร์จากข้า”
“…!?”
มุมปากของสิบวีรชนฯ พลันกระตุกพร้อมกัน
หัวล้านแวนเนอร์ ทุกคนทราบดีว่า ชายคนนี้โด่งดังในด้านความมารยาททราม
โดยไม่สนว่าจะมีตำแหน่ง ยศ สถานะ อายุ เพศ และเผ่าพันธุ์ใด แวนเนอร์จะปฏิบัติด้วยอย่างเท่าเทียมเสมอ ไม่เกรงกลัวที่จะสบถใส่หน้าหากอีกฝ่ายสร้างความระคายเคือง
ว่ากันตามตรง บราฮัมค่อนข้างชื่นชอบอุปนิสัยของแวนเนอร์ เพราะชายคนนี้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองโดยไม่แบ่งแยก
ขณะที่สมาชิกโอเวอร์เกียร์ส่วนใหญ่เคารพและเกรงใจบราฮัมจนรักษาระยะห่าง แวนเนอร์กลับกล้าเข้าหาโดยไม่เผยความเกรงกลัว ราวกับลูกสุนัขร่าเริงที่เปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น ด้วยลักษณะเช่นนี้ บราฮัมจึงมองว่าอีกฝ่ายเป็นคนซื่อตรงที่ไม่คิดคด ปราศจากเล่ห์กล
“ฉ…ฉันเรียนเวทมนตร์ได้ด้วยหรือ”
“เวทเสริมแกร่งของข้าอาจซับซ้อน แต่ทุกคนสามารถเรียนได้โดยไม่มีข้อผูกมัด ขอเพียงไม่ใช่พวกสมองทึบเป็นพอ… แน่นอน มีข้อแม้ว่าข้าต้องเป็นคนสอนด้วยตัวเอง”
บราฮัม อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ตัวตนที่ก้าวข้ามตำนานและกำลังแสวงหาเทวตำนาน
มันมั่นใจว่าตัวเองสามารถถ่ายทอดเวทมนตร์ชนิดพิเศษให้กับทุกคนได้โดยไม่เกี่ยงคลาส ขอเพียงอีกฝ่ายมีค่าสติปัญญามากพอ
ข้อมูลดังกล่าวทำให้ทุกคนตกตะลึง
แวนเนอร์และสิบวีรชนต่างพากันขนลุกเมื่อจินตนาการว่า สมาชิกแนวหน้าของโอเวอร์เกียร์ล้วนสำแดงเวทมนตร์สุดอลังการท่ามกลางฉากสงครามใหญ่
ภาพดังกล่าวจะน่าดูชมสักเพียงใด…
แต่น่าเสียดาย ความจริงมิได้ราบรื่นเช่นนั้น
บราฮัมไม่เคยทราบว่ามาตรฐานค่าสติปัญญาของตนสูงเกินสามัญสำนึกของคนปรกติไปมาก
มันเข้าใจเพียงว่า หากกริดเรียนได้ ทุกคนบนโลกก็ต้องเรียนได้ แต่ในความเป็นจริง ถึงกริดจะไม่ค่อยฉลาด แต่ค่าสติปัญญาของเขามิได้น้อย
“…สูตรเวทมนตร์ง่าย ๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ”
“…?”
แวนเนอร์พลันกระอักกระอ่วนเมื่อถูกบราฮัมตำหนิหลังจากสอนสูตรเวทมนตร์ฉบับรวบรัดภายในหนึ่งนาที มันไม่เก็บซ่อนสายตาที่คล้ายกับกำลังถามว่า บราฮัมยังสติดีอยู่หรือไม่
บราฮัมถอนหายใจผิดหวัง เดินไปยืนข้างกริด
ชายหนุ่มกำลังตรวจสอบหนังสัตว์ที่ดรอปจากเจ้าเขาซึ่งสิ้นลมไปได้สักพักแล้ว
สีหน้ากริดไม่ค่อยร่าเริงนัก
“นี่ก็ถูกสาปเหมือนกัน”
ในซาทิสฟายจะมีไอเท็มถูกสาปอยู่ไม่น้อย
กรณีของอุปกรณ์สวมใส่ เมื่อสวมไปแล้วครั้งหนึ่งก็จะถอดออกไม่ได้ คำสาปจะส่งผลให้ผู้สวมติดโรคภัยบางชนิด ส่วนในกรณีของวัสดุการผลิต สิ่งนั้นจะไม่สามารถนำไปสร้างเป็นไอเท็มใดได้เลย แย่ยิ่งกว่าขยะจากมอนสเตอร์เสียอีก
และไอเท็มดรอปจากเจ้าเขาก็ถูกสาปทุกชิ้น
หากดรอปเป็นอุปกรณ์สวมใส่ระดับสูง ก็ยังพอจะนำไปขายให้คนที่ต้องการจริง ๆ ได้ แต่ถ้าดรอปมาเป็นวัสดุผลิตไอเท็ม นั่นจะไม่ต่างอะไรกับการได้ขยะ
“ฉันจะเก็บไว้ก่อนก็แล้วกัน”
กริดนำหนังสัตว์ที่ถูกสาปของเจ้าเขา เก็บไว้ในช่องสัมภาระส่วนตัว
ขณะเดียวกัน ไม่มีใครคิดโต้แย้งเรื่องที่กริดปิดปากเงียบเกี่ยวกับไอเท็มดรอปจากนักรบดราโกเนี่ยนนามคาสป้า
นี่คือวัฒนธรรมอันยาวนานของกิลด์โอเวอร์เกียร์ กริดจะเก็บรวบรวมทุกสิ่งไว้กับตัว จากนั้นค่อยแบ่งอย่างเหมาะสมหลังจากเสร็จงาน
“ค่าประสบการณ์เพิ่มเท่าไรกันบ้าง?”
สำหรับสิบวีรชนฯ เมื่อมีจุดประสงค์เป็นการเก็บเลเวล ความคืบหน้าด้านค่าประสบการณ์จึงสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
เหล่าสิบวีรชนต่างหันไปตอบจิสึกะ
“ฉัน 1.8%”
“ฉัน 1.74”
แวนเนอร์และฮิวรอยที่ยังอยู่ในช่วง 380 ตอนปลาย ทั้งสองได้รับค่าประสบการณ์เกือบ 2 เปอร์เซ็นต์
“ฉัน 0.78”
“ฉันด้วย”
ป็อน เรกัส และเฟคเกอร์ที่มีเลเวลช่วงต้น 390 ได้รับค่าประสบการณ์เฉลี่ย 0.8%
“ฉัน 0.5”
“เหมือนกัน”
“เท่ากัน”
แค็ทซ์ ยูเฟอมิน่า และยูร่าที่มีเลเวลช่วงกลาง 390 ต่างได้รับค่าประสบการณ์ 0.5% พอดิบพอดี
“ฉัน 0.2”
เป็นคำตอบจากคริส
ถือเป็นการกอบโกยที่น่าทึ่งมาก
ภายในระยะเวลาเพียง 4 ชั่วโมง สิบวีรชนได้รับค่าประสบการณ์มากชนิดที่พวกมันไม่เคยทำได้มาก่อน
หลังจากประเมินว่ามอนสเตอร์บนสันเขาสองลูกแรกมีเลเวลเพียง 200 กว่า ปาร์ตี้โอเวอร์เกียร์จึงเริ่มเก็บเลเวลอย่างจริงจังเมื่อถึงสันเขาที่สาม แต่ถ้าหักระยะเวลาในการล่าบอสเจ้าเขาออกไป ช่วงเวลาการเก็บเลเวลจริงจะไม่ถึงสี่ชั่วโมง
หรือก็คือ เทือกเขาเคอัสเป็นจุดเก็บเลเวลที่ดีกว่าวิหารกัลกุนอส
โดยอีกหนึ่งเบื้องหลังความสำเร็จเกิดจากความใจกว้างของบราฮัม
สำหรับบราฮัมที่มีเลเวลสูงกว่า 500 มอนสเตอร์บนสันเขาที่ 3 แทบไม่มอบค่าประสบการณ์ หน้าที่หลักของบราฮัมจึงเป็นการคอยตรึงกลุ่มมอนสเตอร์ให้พวกพ้องคนอื่นจัดการได้ง่ายขึ้น
หนึ่งในความลับที่ทำให้สิบวีรชนเก็บเลเวลได้เร็วกว่าปรกติถึงสองเท่าจากปรกติ ไม่ใช่ใครนอกจากมหาจอมเวทในตำนาน
“แล้วยองวูล่ะ”
ยูร่าหันมาถามอย่างใส่ใจ
แม้ว่ากริดจะมีเลเวล 408 แต่เขาก็ร่วมเก็บเลเวลพร้อมกับทุกคน ไม่แยกเดี่ยวตามนิสัยปรกติ และส่วนใหญ่จะทำหน้าที่ซ่อมแซมอุปกรณ์ให้เพื่อนร่วมทีม เธอจึงกังวลว่า ยองวูอาจไม่ได้เก็บเลเวลมากเท่าที่ควร เพราะมัวแต่คอยอำนวยความสะดวกให้พวกพ้อง
เมื่อถูกซักถาม กริดที่กำลังยืนอ่านรายละเอียดของสมญานามใหม่อย่าง <ผู้ช่วงชิงเทวตำนาน> หันมาตอบในสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง
“2.3%”
“…?”
“…?”
ความเงียบงันปกคลุมบรรยากาศทันที
ได้เห็นสิบวีรชนปิดปากสนิท ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าสับสนเจือความเคลือบแคลง กริดเริ่มฉีกยิ้มและอธิบายเหตุผลแก่ทุกคน
“สิ่งนี้เป็นผลจากเอฟเฟค ‘บรรลุ’ … ฉันสามารถเพิ่มค่าประสบการณ์ได้โดยการซ่อมแซมไอเท็มหรือต่อสู้กับบอส”
“บรรลุ? หมายถึงทักษะบรรลุจากดาบอัสนี?”
ทุกคนต่างทราบดี ดาบอัสนีแห่งการบรรลุสัจธรรมฯ ของกริดนั้นมีทักษะ ‘บรรลุสัจธรรม’ ติดมาด้วย
หากจำไม่ผิด เอฟเฟคติดตัวของทักษะดังกล่าวคือ เพิ่มค่าประสบการณ์ตัวละคร 10% และอัตราแม่นยำกับหลบหลีกอีก 20%
กริดพยักหน้ารับ
“นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่ฉันเลเวลไว แต่ระบบบรรลุที่กำลังพูดถึงนั้นเป็นคนละส่วน”
กริดเริ่มร่ายยาวเกี่ยวกับระบบต่าง ๆ ที่ทุกคนจะได้รับหลังจากการตื่นของคลาสครั้งที่ 4
แน่นอน สิบวีรชนต่างตกตะลึงเมื่อทราบว่า ค่าประสบการณ์ตัวละครสามารถเพิ่มได้โดยการทำกิจกรรมของสายผลิต การล่าบอส หรือการต่อสู้เป็นระยะเวลานาน
“สรุปก็คือ ช่วงเลเวล 400ตอนต้นจะเติบโตได้เร็วกว่า 300 ตอนปลาย… โดยเฉพาะช่วงเลเวล 397 ถึง 399 ที่ยากเย็นแสนเข็ญประหนึ่งนรกบนดิน ขอให้ทุกคนเตรียมใจล่วงหน้า”
ตามปรกติแล้ว ผู้เล่นจะได้ดื่มด่ำความสุขจากระบบบรรลุตั้งแต่เลเวล 400 แต่สำหรับกริด มันต้องรอจนถึง 408
ในมุมมองของกริด เรื่องนี้ไม่ค่อยยุติธรรมกับตนสักเท่าไร
แต่มันก็มิได้เล่าออกไปให้ใครฟัง
ชายหนุ่มไม่ต้องการกลายเป็นตัวตลกในสายตายูร่าและจิสึกะ
ในปัจจุบัน กริดค่อนข้างใส่ใจกับภาพลักษณ์ที่ทั้งสองสาวมองมายังตน
แน่นอน ไม่ว่าจะในเกมหรือชีวิตจริง หากต้องอยู่ต่อหน้าสองสุดยอดสาวงามของโลก เป็นใครก็ต้องใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดูดี นอกเสียจากจะตายด้านหรือไม่ก็มิได้ชอบผู้หญิง
และนั่นทำให้สิบวีรชนจึงเข้าใจผิดไปไกล
‘เป็นเพราะระบบบรรลุ กริดจึงพัฒนาอย่างก้าวกระโดดบนทวีปตะวันออก!’
‘เราเคยคิดว่าเลเวล 400 จะเป็นจุดเริ่มต้นของนรกบนดิน แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ มันคือสวนสวรรค์แสนสุข!’
‘หมายความว่า ช่วงเลเวล 300 มีไว้เพื่อการคัดกรองผู้เล่นสินะ เป็นการแบ่งแยกระหว่างแรงเกอร์กับผู้เล่นธรรมดาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น’
แต่ในความเป็นจริง หากกริดแวะเยี่ยมหอแห่งปัญญาก่อนเดินทางไปยังทวีปตะวันออก ป่านนี้มันคงมีเลเวล 420 นานแล้ว
โชคยังดี กริดเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ทราบความจริงอันน่าเศร้าดังกล่าว
‘ไม่สิ… พวกจีเอ็มก็คงรู้’
ชายหนุ่มพลันหน้าแดงด้วยความโกรธเคืองเมื่อจินตนาการภาพจีเอ็มซาทิสฟายกำลังหัวเราะคิกคักในความโง่เขลาของตน
อารมณ์ขุ่นเคืองทำให้มันต้องการระบาย
“ไปสันเขาถัดไปกันเถอะ”
“อื้อ!”
“ลุยกันเลย!”
<ผู้ช่วงชิงเทวตำนาน>
* หลังจากเอาชนะเจ้าเขาที่เป็นส่วนหนึ่งของเทวตำนาน ชื่อของท่านจะถูกสลักลงในทุกตำนานที่เจ้าเขาปรากฏตัว (คำอธิบายเกี่ยวกับเจ้าเขาจะถูกต่อท้ายว่า : ในภายหลังได้ถูกสังหารโดยกริด)
* ขณะต่อสู้กับสัตว์เทวตำนาน พลังโจมตีและพลังเวทมนตร์จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
* เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์เทวตำนาน มีโอกาสปานกลางที่จะข่มขวัญอีกฝ่ายสำเร็จ
ผู้ช่วงชิงเทวตำนาน
อัศวินของกริด ตัวกริดเอง และสิบวีรชนผู้ร่วมก่อตั้งอาณาจักร ทุกคนต่างได้รับสมญานามเดียวกันเมื่อปราบเจ้าเขาลงได้
เป็นสมญานามเดียวกับที่บราฮัมได้รับหลังจากสังหารไฮดร้า เพียงแต่ว่า เนื้อหาและเอฟเฟคจะแตกต่างกันในบางประเด็น
จุดแตกต่างใหญ่หลวงก็คือ สมญานามของบราฮัมมีศักยภาพสูงกว่าหลายเท่า
* มีสิทธิ์เลื่อนระดับคลาสเป็น <เทวตำนาน>
* เปิดใช้งานค่าสถานะพิเศษ <บารมีเทพ>
นั่นเพราะเจ้าจะเข้าปรากฏตัวเพียง ‘หนึ่ง’ เทวตำนาน แต่ไฮดร้านั้นจะปรากฏตัวใน ‘หลาย’ เทวตำนานของโลก
ส่งผลให้ แม้เจ้าเขาจะเป็นสัตว์เทวตำนานเฉกเช่นไฮดร้า แต่อิทธิพลก็ยังแตกต่างกันมาก
สำหรับกริด เรื่องนี้ค่อนข้างน่าเสียดาย
ปิอาโร่ เมอร์เซเดส อัสโมเฟล จู๊ด และเหล่าสิบวีรชน หากคนเหล่านี้สามารถพัฒนาไปเป็นคลาสเทวตำนาน มันจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่
อย่างไรก็ตาม นอกจากกริดกับบราฮัม ไม่มีใครทราบรายละเอียดดังกล่าว ทุกคนจึงเกิดความตื่นเต้นเมื่อได้รับสมญานามที่จะช่วยให้ล่าสัตว์เทวตำนานง่ายขึ้นในอนาคต
ภาพตรงหน้าทำให้กริดไม่กล้าพูดความจริงออกไปเสียงดัง
‘ก็ไม่แย่นักหรอก’
<ผู้ช่วงชิงเทวตำนาน> คงเป็นเพียงไม่ที่สมญานามในซาทิสฟาย ที่ช่วยให้ผู้เล่นธรรมดาสามารถต่อกรกับสัตว์เทวตำนานง่ายขึ้น เพียงเท่านี้ก็ประเมินค่าไม่ได้แล้ว
หากอาศัยสมญานามดังกล่าวเพื่อโค่นสัตว์เทวตำนานระดับไฮดร้าหรือเทพได้ในอนาคต พวกเขาก็จะเป็นเหมือนบราฮัมเช่นกัน
เมื่อปลอบใจตัวเองเสร็จ กริดไปมองคาเบที่กำลังยืนเหม่อ
“นำทางไป”
“ข…เข้าใจแล้ว”
หลังจากทำใจยอมรับว่าเหตุการณ์ทั้งหมดคือความจริง คาเบเริ่มตึงเครียด
มันกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ รีบเดินนำทางอย่างว่านอนสอนง่าย
คราวนี้ คาเบไม่มัวเสียเวลานำทางเข้าไปในเขตเจ้าเขาอีกแล้ว เพราะถึงจะถูกพบตัว กลุ่มสัตว์ประหลาดตรงหน้าก็คงจัดการได้ราบคาบอยู่ดี
แผนเดิมของมันคือ ดื่มด่ำไปกับความสุขขณะมนุษย์แสนอ่อนแอถูกเจ้าเขาจัดการจนราบคาบ แต่ในความเป็นจริง ฝ่ายที่โดนจัดการกลับเป็นเจ้าเขาเสียเอง
เมื่อตระหนักว่า แม้แต่นักรบชั้นสูงของเผ่าก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะโค่นศัตรู ความหวังสุดท้ายของคาเบจึงเหลือเพียงหนึ่งเดียว
เฮเลน่า
องค์หญิงดราโกเนี่ยนผู้ควรจะได้เป็นลอร์ด
Comments
Post a Comment