จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,240
แกรนมาสเตอร์
หากจำไม่ผิด มันเคยแนะนำตัวด้วยชื่อนี้
ย้อนกลับไปเมื่อ 250 ปีก่อน 170 ปีก่อน 80 ปีก่อน และ 40 ปีก่อน
นั่นคือช่วงเวลาที่จักรวรรดิทำสงครามใหญ่กับเผ่าดราโกเนี่ยน และเมื่อใดก็ตามที่ทัพหน้าของจักรวรรดิเกิดเพลี่ยงพล้ำ นักรบดราโกเนี่ยนจะได้พบกับชายลึกลับคนหนึ่งเสมอ
พวกมันถึงขั้นนำไปบันทึกในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ โดยมอบฉายาให้อีกฝ่ายว่า :
ผู้พิทักษ์แห่งจักรวรรดิ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายลึกลับที่คอยช่วยเหลือกองทัพจักรวรรดิและเข่นฆ่านักรบระดับสูงของดราโกเนี่ยนไปมากมาย จะต้องเป็นคนของฝ่ายจักรวรรดิซาฮารันอย่างแน่นอน
ชายคนดังกล่าวใช้ใบหน้าและชื่อเดิมมาตลอดหลายร้อยปี มีระดับตัวตนสูงกว่ามนุษย์ทุกคนอย่างชัดเจน มีฝีมือทัดเทียมดราโกเนี่ยนลอร์ดในทุกยุคทุกสมัย และไม่เคยมีลอร์ดคนใดสังหารชายคนดังกล่าวสำเร็จ
การได้เห็นผลลัพธ์ของสงครามมีเพียงผลเสมอหรือพ่ายแพ้หนแล้วหนเล่า เป็นสิ่งที่ทำให้เผ่าดราโกเนี่ยนเกิดความอับอายและเจ็บแค้นจักรวรรดิเสมอมา
นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ดราโกเนี่ยนลอร์ดทุกรุ่นถึงตั้งเป้าที่จะโค่นล้มแกรนมาสเตอร์
หากผู้ใดเอาชนะแกรนมาสเตอร์สำเร็จ ผู้นั้นจะได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นดราโกเนี่ยนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ สิ่งนี้คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของดราโกเนี่ยนลอร์ดยุคใหม่ทุกตน
เฉกเช่นเฮเลน่าที่ซาร์ดรับใช้
เธอตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมายังเทือกเขาเคอัสก็เพื่อพัฒนาตัวเองให้กลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของโลก จากนั้นก็กลับไปทวงตำแหน่งดราโกเนี่ยนลอร์ดคืนและโค่นล้มแกรนมาสเตอร์ให้สำเร็จ
ใช่แล้ว ในสายตาดราโกเนี่ยน ตัวตนแกรนมาสเตอร์มีความพิเศษถึงเพียงนั้น
แต่สัตว์ประหลาดดังกล่าวกลับมีสองคน?
แถมยังเป็นเมืองชายแดนของอาณาจักรเล็ก
“เจ้าเป็น… แค่ก! แค่ก! ใคร… กันแน่”
เกล็ดมังกรมีคุณสมบัติดูดซับได้ทั้งความเสียหายกายภาพและเวทมนตร์
ลำพังการโจมตีเพียงหนึ่งหรือสองท่าของมนุษย์ ไม่ควรทำลายเกล็ดที่พวกมันภาคภูมิใจได้
แต่ชายผมดำตรงหน้า กลับเปลี่ยนซาร์ดให้เป็นผ้าขี้ริ้วด้วยการโจมตีเพียงสองหน
ซาร์ดทั้งสับสนและสั่นกลัว ปราณดาบสีน้ำเงินของอีกฝ่ายมีพลังทำลายรุนแรงจนอวัยวะด้านหลังเกล็ดบอบช้ำ เวทมนตร์ที่ตามมาพร้อมกันอาจไม่รุนแรงมาก แต่กลับมองข้ามค่าต้านทานของเกล็ด จนทำให้เกล็ดแตกร้าวและถูกทำลาย
เรากำลังหวาดกลัวเพราะระดับของตัวตนแตกต่างกันเกินไป?
หงึกหงึก
ซาร์ดได้แต่ถามตัวเอง
ขณะเดียวกัน ชาวฟรอนเทียร์ด้านล่างเวทีประลอง กำลังแหงนหน้ามองซาร์ดโดยไม่มีใครรู้สึกหวาดกลัว
บรรยากาศเช่นนี้ไม่เกี่ยวกับการปรากฏกายของกริด เพราะชาวเมืองเอาชนะความกลัวตั้งแต่ก่อนที่กริดจะลงมือ
สิ่งนี้คือปาฏิหาริย์อันเกิดจากชัยชนะของวีรบุรุษหนุ่ม ลาเด็น อัศวินผู้ต่อสู้โดยใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน
ประหนึ่งกำลังส่งสัญญาณว่า ฟรอนเทียร์มิใช่ไก่อ่อนให้ใครก็ได้มาคุกคาม
“ฉัน…”
ขณะกริดเตรียมเอ่ยบางสิ่ง
ทันใดนั้น
“อะ…!”
บรรยากาศของชาวเมืองด้านล่างเวทีพลันแปรเปลี่ยนเป็นความเคารพศรัทธา
กว่าพวกมันจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ตอนที่ได้ยินเสียงกริดปลุกให้ตื่นจากภวังค์
“ฝ่าบาท…!”
“ฝ่าบาทกริดมาช่วยแล้ว!!”
“เฮ—!! ฝ่าบาทจงเจริญ!!”
เสียงตะโกนของชาวเมืองดังกึกก้องจนเอาชนะสภาพอากาศอันเลวร้าย การประสานเสียงโห่ร้องทำให้ลมพายุสงบลง ไอความร้อนจากการรวมตัวตะเบ็งเสียง เปลี่ยนให้สภาพอากาศอุ่นขึ้นจนหิมะที่ตกโปรยปรายเริ่มละลาย
ในวินาทีนี้ บรรยากาศรอบฟรอนเทียร์เริ่มร้อนระอุไม่ต่างจากเมืองทะเลทรายเรย์ดัน
‘ราชา…?’
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนจากชาวเมือง ซาร์ดทราบสถานะแท้จริงของกริดทันที
รูม่านตาเริ่มหดลีบ
มันแทบไม่อยากเชื่อหู
ในอดีต กษัตริย์เผ่ามนุษย์ที่ควรค่าแก่การจดจำมีเพียงราชาไร้พ่ายแห่งลูบาน่า และมหาจักรพรรดิแห่งซาฮารันเท่านั้น
ราชาของอาณาจักรเล็กอื่น ๆ จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้แพ้น่าสมเพช เนื่องจากตระกูลเหล่านี้ยอมก้มหัวอย่างไร้ศักดิ์ศรีต่อจักรวรรดิ เพียงเพื่อให้พวกตนมีชีวิตรอด อยู่เสพสุขในฐานะราชวงศ์ผู้ปกครองอาณาจักรสืบต่อไป
แล้วทำไมถึงมีสัตว์ประหลาดปรากฏขึ้นจากสายเลือดอ่อนแอเหล่านั้นได้?
ไม่มีทาง…
ชายคนนี้มิได้เป็นราชาจากการสืบทอด!
การคาดเดาของซาร์ดยิ่งทำให้มันเกิดความหวาดหวั่นมากกว่าเก่า
กว่ามนุษย์ตรงหน้าจะได้ครองบัลลังก์ราชา ต้องมีการหลั่งเลือดมากเพียงใด สังหารผู้คนไปมากแค่ไหน แม้แต่ซาร์ดที่เคยเข่นฆ่ามนุษย์เป็นว่าเล่น ก็ยังไม่กล้าจินตนาการถึงตัวเลขดังกล่าว
ในสายตาซาร์ด บุคคลตรงหน้าไม่ต่างอะไรกับสัตว์ประหลาด ออร่าจากศพนับพันนับหมื่นที่กริดเคยดับลมหายใจ ได้ส่งเสริมให้ตัวตนที่จริงของกริด—ในสายตาซาร์ด—ชัดเจนยิ่งขึ้น
หงึกหงึก…
ร่างกายซาร์ดเริ่มสั่นระริก
แต่หารู้ไม่ว่า นี่คืออิทธิพลจากเอฟเฟคของ <พันธสัญญา> ระหว่างกริดและเฮ่า ที่จะทำให้กริดเป็นมิตรกับเผาดราโกเนี่ยนง่ายขึ้น
เมื่อถูกข่มขวัญอย่างรุนแรงขณะกำลังเผชิญหน้ากริด ซาร์ดจึงเข้าใจผิด คิดว่าสัญชาตญาณของตนกำลังร้องเตือน ส่งผลต่อเนื่องให้สติของซาร์ดตื่นตัวมากเป็นพิเศษ และไม่เกิดความประมาทระหว่างต่อสู้
เอฟเฟคเช่นนี้คล้ายกับเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับเฮลทาวอน ผลลัพธ์เหมือนกันคือ ทำให้เผ่าดราโกเนี่ยนมีสติชัดเจนระหว่างกำลังต่อสู้
เพียงแต่รายหนึ่งไม่ประมาทเพราะเยือกเย็น ส่วนอีกรายไม่ประมาทเพราะหวาดกลัว
‘เอฟเฟคของพันธสัญญาคงเปลี่ยนไปตามสถานการณ์และสภาพแวดล้อม… คราวหน้าต้องหาวิธีใช้งานให้เกิดประโยชน์’
ขณะครุ่นคิด สายตากริดชำเลืองไปยังกลุ่มชาวเมืองด้านล่าง
“ฉัน… เชื่อมั่นใจตัวพวกเขา”
กริดหันไปทางลาเด็น
“ฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่ต้องพึ่งพาการปกป้องจากอัศวินหาญกล้าเฉกเช่นกษัตริย์อื่น”
กริดพูดกดตัวเองให้ต่ำลง
ประหนึ่งเป็นเพียงกษัตริย์อ่อนแอ ผู้มิอาจเอาชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบันได้ หากไม่มีอัศวินและชาวเมืองคอยสนับสนุน
มันต้องการให้ลาเด็นและชาวเมืองฟรอนเทียร์ภาคภูมิในใจในชัยชนะเมื่อครู่ อาศัยสิ่งนั้นเป็นเครื่องหมายของความพากเพียรและไม่ย่อท้อ หวังกระตุ้นให้ทุกคนรีบพัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่งพอจะยืนบนลำแข้งได้ โดยไม่ต้องเอาแต่พึ่งพาตนในอนาคต
กริดมิได้สนใจชื่อเสียงของตัวเอง
มันทราบดี ไม่ว่าจะกดตัวเองให้ต่ำลงเช่นไร แต่ในสายตาประชาชนชาวโอเวอร์เกียร์ กษัตริย์กริดก็ยังเป็นกษัตริย์กริดผู้ยิ่งใหญ่อยู่เสมอ
ชายหนุ่มมั่นใจในตัวเองถึงเพียงนั้น
สิ่งที่กริดปรารถนาในตอนนี้มิใช่การเพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง แต่เป็นการยกระดับมาตรฐานของผู้ที่ผู้ติดตามตน ศรัทธาในตน และผู้ที่ยึดถือตนเป็นแบบอย่าง
“ไม่ว่าผู้รุกรานแสนโอหังอย่างพวกแกจะบุกเข้ามาสักกี่ครั้ง แต่ชาวเมืองทุกคนก็จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้องดินแดนของฉันอย่างสุดฝีมือ!”
ถ้อยคำเหล่านี้มิได้พูดกับซาร์ด
แต่กำลังสื่อไปถึงชาวฟรอนเทียร์ทุกคน
ชาวเมืองเริ่มเกิดความซาบซึ้ง
พวกเขาสลักถ้อยคำของราชาลงในจิต พลางตระหนักว่าตัวเองต้องรีบก้าวหน้าและแข็งแกร่งขึ้นให้จงได้
[ชาวเมืองฟรอนเทียร์เกิดความประทับใจในคำประกาศของกษัตริย์ พวกเขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาตัวเองอย่างแรงกล้า]
[อัตราการเติบโตของชาวฟรอนเทียร์เพิ่มขึ้น 200% ตลอดหนึ่งเดือนถัดไป ค่าประสบการณ์ของผู้เล่นชาวฟรอนเทียร์เพิ่มขึ้น 1.5 เท่า]
“…!!”
ชาวเมืองไปช่วยปกป้องกริดตอนไหน?
‘ไม่จริงเลยสักนิด!’
ผู้เล่นต่างยืนฟังคำประกาศของกริดด้วยสีหน้ามึนงงและสับสนในตอนต้น แต่เมื่อเห็นข้อความระบบและท่าทีตอบสนองของชาวเมือง ทุกคนเข้าเริ่มใจเจตนาแท้จริงของกริด
‘ทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ…’
ระบบต่าง ๆ ในซาทิสฟายล้วนมีความยืดหยุ่นสูง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือระบบภารกิจ
แตกต่างจากเกมอื่น ผู้เล่นในซาทิสฟายมีอำนาจทางอ้อมในการสร้างภารกิจ และแจกจ่ายให้ผู้เล่นด้วยกันเอง
แต่กริดล้ำลึกกว่านั้นไปอีกขั้น
อาศัยตำแหน่งของกษัตริย์และคำพูดไม่กี่คำ กริดสามารถยกระดับเมืองเมืองหนึ่งอย่างก้าวกระโดด พลิกวิกฤติการรุกรานจากดราโกเนี่ยนให้กลายเป็นโอกาสทองของฝ่ายตัวเอง
‘แรงค์หนึ่งของโลกมิได้มาเพราะโชคช่วย…’
ผู้เล่นสังกัดเมืองฟรอนเทียร์รู้สึกราวกับตนได้รับบทเรียนชีวิตครั้งใหญ่
“คึ…คึคึคึก! ช่างเป็นสุนทรพจน์ที่น่าประทับใจซะจริง!”
ซาร์ดบรรจงพยุงตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า
เมื่อเอาชนะแรงข่มขวัญที่เกิดจากเอฟเฟคของพันธสัญญามาได้ มันเริ่มตระหนักว่า ความหวาดกลัวเมื่อครู่เป็นเพียงภาพลวงตาจอมปลอม
“ไม่ว่าแกจะทำให้พวกมันฮึกเหิมสักแค่ไหน แต่มดปลวกก็ยังเป็นมดปลวกวันยังค่ำ!”
ซาร์ดเผยสีหน้าเหยียดหยันขณะเฝ้ามองราชาของมนุษย์ปลุกใจชาวเมืองแสนอ่อนแอ
กริดที่ดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดในตอนต้น ปัจจุบันไม่หลงเหลือบรรยากาศนั้นอีกแล้ว
‘สุดท้ายก็เป็นแค่พวกน่าเบื่อที่เอาแต่พร่ำเพ้อคุณธรรมไร้สาระ มิใช่นักสู้กระหายเลือดอย่างที่เราเคยเข้าใจ… น่าขายหน้ายิ่งนัก! ดันคิดว่าคนเช่นนี้มีระดับทัดเทียมแกรนมาสเตอร์ ผู้สังหารนักรบดราโกเนี่ยนชั้นสูงโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า!’
จริงอยู่ อีกฝ่ายอาจแข็งแกร่ง แต่หากเป็นด้านการต่อสู้ เราไม่มีวันพ่ายแพ้มนุษย์นอกจักรวรรดิแน่นอน!
จากบรรดานักรบดราโกเนี่ยน 30 ตนที่ติดติดสอยห้อยตามเฮเลน่ามายังเทือกเขาเคอัส ฝีมือของซาร์ดอยู่ในระดับท็อปสิบ แถมยังเป็นครึ่งบนของท็อปสิบ
กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ มันย่อมต้องผ่านศึกสงครามมาไม่น้อย
ซาร์ดเชื่อว่า ประสบการณ์และฝีมือของตนได้ก้าวข้ามอัศวินสีชาดหลักเดียวไปแล้ว ดังนั้น กับแค่มนุษย์โอหังนอกจักรวรรดิเพียงหนึ่ง จะไปมีฤทธิ์เดชสักเพียงใดกัน!
“ข้าแค่เผลอ ก็เลยถูกลอบโจมตี… แต่จากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว! ข้าจะสอนให้เจ้าเห็นถึงความต่างชั้นของประสบการณ์!”
พรึบ!
ซาร์ดกางปีกกระพือพร้อมกับบินไปบนฟ้า มันจงใจเคลื่อนตัวไปทางดวงอาทิตย์เพื่อให้กริดที่แหงนมองตามถูกแสงแดดรบกวน
จากนั้น ซาร์ดพ่นลมหายใจลงมา
ทิศทางของลมหายใจมิใช่กริด แต่เป็นบริเวณด้านล่างเวทีที่มีชาวเมืองยืนกระจุกตัวแน่นหนา
“คึฮ่าฮ่าฮ่า!!”
ซาร์ดหัวเราะอย่างสะใจเมื่อได้เห็นชาวเมืองแสดงอากัปกิริยาตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็รวบรวมมานาเพื่อเตรียมพ่นลมหายใจครั้งถัดไป
เป็นลมหายใจที่จะยิงใส่กริดเมื่ออีกฝ่ายบินลงไปช่วยชาวเมืองด้านล่าง
ทว่า
“อ…อะไรกัน!”
ดวงตาซาร์ดพลันเบิกกว้าง
เหตุเพราะกริดบินพุ่งตรงมาทางตนทันที มิได้แยแสคลื่นพลังลมหายใจที่กำลังจะสังหารชาวเมืองจำนวนมาก
‘เมื่อครู่เป็นแค่การแสดง…?’
ขณะกำลังประหลาดใจ ซาร์ดเริ่มสัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือดรุนแรงที่ปลายจมูก
ทันใดนั้น ในจุดที่ชาวเมืองกำลังจะถูกโจมตี ใครบางคนกางโดมบาเรียเวทมนตร์สีแดงฉาน ต้านรับคลื่นลมหายใจสีดำไว้ได้อย่างหมดจด
“…!”
เด็กหนุ่มผมสีเงินลอยขึ้นจากกลุ่มชาวเมืองที่กำลังแตกตื่น
บุคคลที่น่าจะเป็นเจ้าของเวทมนตร์ป้องกันสุดแข็งแกร่ง จ้องมาทางซาร์ดที่ลอยบนท้องฟ้าพร้อมกับพ่นถ้อยคำเหยียดหยัน
“กระจอก… ก็แค่ลูกหมาอ่อนหัด”
โนลล์ตะโกนเสียงดังฟังชัด
แน่นอน ซาร์ดมิได้สติแตกด้วยเรื่องแค่นี้
สิ่งที่กำลังอยู่ในหัวของมันคือ เหตุใดแวมไพร์ซึ่งน่าจะหวาดกลัวต่อแสงแดด ถึงกล้าปรากฏตัวในยามท้องฟ้าเปิดโล่ง?
แล้วเหตุใดถึงยื่นมือช่วยเหลือมนุษย์?
ซาร์ดหันมาจ้องกริดด้วยสีหน้าเคลือบแคลง
ประสบการณ์ต่อสู้อันโชกโชนทำให้มันวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใจเย็น
ซู่วววว!
ลมหายใจระลอกสองถูกยิงใส่กริดตามความตั้งใจเดิม แต่ในคราวนี้ ซาร์ดพุ่งตัวตามคลื่นลมหายใจสีดำไปด้วย
หากกริดหลบหลีกลำแสงเมื่อใด มันก็จะจู่โจมใส่จุดอ่อนทันที
แน่นอน ซาร์ดย่อมคาดไม่ถึงว่าลมหายใจของตนจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง อย่างน้อยสิ่งนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นตลอดสงครามกับจักรวรรดินับพันครั้งที่มันเข้าร่วม
กริดทำแบบเดียวกันกับเฮลทาวอน สะท้อนลมหายใจกลับไปด้วยวังวนในจังหวะสมบูรณ์แบบ
เคร้ง!!
“ชิ!”
ซาร์ดไม่มีทางเลือก ต้องใช้ร่างกายป้องกันลมหายใจจนชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้น มันรีบกวัดแกว่งกรงเล็บแหลมคมอย่างคล่องแคล่ว เมื่อมองเห็นความเคลื่อนไหวของกริดอย่างชัดเจน
เคร้ง!
เล็บแหลมแทงใส่ชุดเกราะชายหนุ่มอย่างแม่นยำและหนักหน่วง แต่นั่นก็เปล่าประโยชน์
“คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร!”
กริดที่เปิดใช้งาน <ดึงศักยภาพซ่อนเร้น> ไม่แยแสการโจมตีของซาร์ดแม้แต่น้อย เพียงพุ่งประชิดตัวและปลดปล่อยสุดยอดวิชาดาบเข้าปะทะซึ่งหน้า เปลี่ยนให้ร่างซาร์ดละลายกลายเป็นละอองแสงสีเทาในพริบตา
ในวาระสุดท้ายของชีวิต ซาร์ดเพิ่งตระหนักได้เมื่อสาย
ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ เทคนิค หรือสมรรถภาพร่างกาย มันยังห่างไกลจากกริดราวฟ้ากับเหว
ดูเหมือนว่า… ความหวาดกลัวในตอนแรกจะไม่ใช่ของปลอมสินะ…
“…!!”
ผู้เหลือรอดคนสุดท้ายของเผ่าดราโกเนี่ยนที่จับตามองสถานการณ์มาสักพัก ตัดสินใจเผ่นหนีโดยไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
เผ่าดราโกเนี่ยนอาจรักการต่อสู้ แต่พวกมันรักชีวิตมากกว่า
ดยุคสไตม์และเหล่าอัศวินรีบกรูเข้ามาล้อมไว้ทุกทิศทางอย่างฉับไว เรื่องนี้ถูกเตรียมการมาสักพักแล้ว
“ไสหัวไปซะ!”
ดราโกเนี่ยนพยายามขัดขืนอย่างสุดความสามารถ แต่สุดท้ายกลับเปล่าประโยชน์
อัศวินแดนเหนือที่ถูกฝึกฝนภายใต้สภาพอากาศเลวร้ายอย่างยาวนาน ระเบียบวินัยพวกมันย่อมเป็นเลิศ ค่ายกลแข็งแกร่งเหนี่ยวแน่นยากทะลวงผ่าน สามารถยื้อเวลาได้นานจนกระทั่งกริดและโนลล์ตามมาควบคุมสถานการณ์
กริดกระชากผมของมันขึ้น กระซิบข้างหู
“พาฉันไปหาหัวหน้าของพวกแก”
“ข…เข้าใจแล้ว”
ในมุมมองของดราโกเนี่ยน ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธคำสั่งดังกล่าว
ภายในค่ายพักบนสันเขาที่หก นักรบดราโกเนี่ยนทั้ง 28 ตนต่างพร้อมทำศึกประจัญบาน ไม่เพียงเท่านั้น 5 ตนจาก 28 ยังเป็นนักรบระดับสูงของเผ่า อีกทั้งยังมีเฮเลน่าเป็นแกนนำ
ถึงกริดจะนำกำลังกองทัพทั้งหมดของฟรอนเทียร์บุกเข้าไป แต่ผลลัพธ์ก็จะมีเพียงความพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชรออยู่
ดราโกเนี่ยนตัวสุดท้ายรีบเดินนำทาง
จากนั้นก็ต้องประหลาดใจ
เพราะมีเพียงสามคนที่เดินตามหลังมันมา
กริด แวมไพร์ และหญิงสาวปริศนาที่ไม่ทราบว่าโผล่มาตอนไหน
‘พวกมันเสียสติไปแล้วหรือ…’
คิดจะบุกถ้ำเสือ แต่กลับขนคนไปเพียงสาม?
ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเราสักหน่อย
รอที่จะได้ยลโฉมใบหน้าอันบิดเบี้ยวของพวกแกไม่ไหวแล้ว…
เมื่อเดินนำมาถึงเขตเทือกเขาเคอัส ดราโกเนี่ยนนำทางกริดและอีกสองคนต่อเข้าไปด้านใน
ซุ่ว. ซุ่ว. ซุ่ว…
ดราโกเนี่ยนที่กำลังสนใจมอนสเตอร์และทางเดินข้างหน้า มิได้ตระหนักเลยสักนิดว่า ด้านหลังของมันมีเสาลำแสงสีขาวหลายต้นปรากฏขึ้น
ทุกครั้งที่แสงหายไป จำนวนสมาชิกในปาร์ตี้กริดจะเพิ่มขึ้นเสมอ
อัศวินประจำกายของราชาโอเวอร์เกียร์ ทั้งบราฮัม จู๊ด ปิอาโร่ เมอร์เซเดส อัสโมเฟล รวมถึงสิบวีรชนฯ ต่างกำลังเดินตามหลังกริดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
‘ถึงเวลาของมหกรรมเก็บเลเวลแล้ว…’
เป้าหมายหลักสำหรับกริดมิใช่การไปเยือนค่ายพักเผ่าดราโกเนี่ยนเพียงอย่างเดียว
สถานที่แห่งนี้คือสุดยอดจุดเก็บเลเวล ที่แม้แต่กริดยังมีอาจล่ามอนสเตอร์ตามลำพังได้นานนัก
ณ เทือกเขาเคอัสซึ่งมนุษย์แทบไม่เคยย่างกรายเข้ามาใกล้ กลุ่มเสาหลักของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์กำลังจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด
แค่บราฮัมคนเดียว ก็เกลี้ยงแล้วม้างงงง
ReplyDelete