จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 829
“เป็นถึงคนที่รวยที่สุดในโลก แต่กลับขี้เหนียวชะมัด”
เยริม เด็กสาวผู้มีเสน่ห์เย้ายวนเกินห้ามใจ ยิ่งโตขึ้น พลังดึงดูดเพศตรงข้ามก็ยิ่งรุนแรงขึ้นทุกขณะ
เยริมกอดแขนยองวูแนบแน่นพลางจ้องมองด้วยแววตาออดอ้อน
“มาอวยพรวันเกิดให้พี่ยองวูไม่ใช่รึไง? แล้วทำไมถึงไม่มีของขวัญติดมือเลยสักชิ้น?”
“ไม่เลย เขามอบของขวัญแสนวิเศษให้พี่แล้ว”
ยองวูลูบศีรษะเยริมอย่างทะนุถนอมเหมือนเช่นทุกครั้ง
ไม่ว่าเธอจะมีเสน่ห์เย้ายวนเพียงใด แต่ยองวูก็ไม่เคยมองเยริมมากไปกว่าน้องสาว
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเยริมคือเพื่อนสนิทของเซฮี
“ของขวัญแสนวิเศษ?”
เมื่อไรไอ้พี่ยองวูบ้านี่จะมองเธอเป็นผู้หญิงคนหนึ่งสักที?
เยริมงอนแก้มป่องเมื่อเห็นว่าจิตใจของยองวูไม่ถูกสั่นคลอนแม้แต่น้อย
ขณะกำลังครุ่นคิดถึงวิธีการปลดผนึกเสน่ห์ของตัวเอง ยองวูได้หันมายิ้มให้เยริมด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่น
“ใช่แล้ว เป็นของขวัญที่มิอาจประเมินค่าได้”
กริดมิได้กล่าวเกินจริง
[ เทพแห่งการตีเหล็กเกี่ยวพันกับภารกิจประจำคลาสผู้สืบทอดแพ็กม่า ]
คำใบ้ของประธานลิมชอลโฮมีมูลค่ามหาศาลยิ่งกว่ากองเงินกองทอง
หากค่าความสัมพันธ์กับเทพแห่งการตีเหล็กกลายเป็น -10 ไอเท็มที่กริดสร้างหลังจากนั้นจะถูกสาป
ด้วยเหตุนี้ ชายหนุ่มจึงหวาดกลัวการใช้ทักษะ ‘เสมือนเทพ’ เขายิ่งกระวนกระวายใจเมื่อมิอาจหาทางแก้ปัญหาได้
แต่เมื่อลิมชอลโฮช่วยบอกใบ้
‘จะมีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้นเมื่อเราถูกเทพสาปรึไงนะ?’
หัวใจยองวูเริ่มเต้นโครมครามอย่างคาดหวัง เขาต้องการกลับเข้าซาทิสฟายทันทีเพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริง
ท่าทีของยองวูแสดงออกบนใบหน้าอย่างชัดเจน สมาชิกในครอบครัวทุกคนต่างสัมผัสได้
“พี่ยังเหลือเวลาออนไลน์อีกชั่วโมงครึ่งใช่ไหม? ไว้ค่อยจัดงานวันเกิดหลังจากนั้นก็ได้”
“เซฮี…”
ยองวูตื้นตันใจจนพูดไม่ออก
จะมีน้องสาวคนใดในโลกบ้าง ที่ห่วงใยพี่ชายของตัวเองมากขนาดนี้?
เขาโอบกอดเซฮีอย่างอบอุ่น จากนั้นก็รีบตรงไปยังแคปซูลเพื่อใช้เวลาที่เหลือของวันนี้ให้ครบ
***
ท่ามกลางรุ่งเช้าของผืนป่าเงียบสงบ สายลมเอื่อยพัดผ่านจนเกิดบรรยากาศสดชื่น
เมอร์เซเดสกำลังนั่งอยู่ตามลำพังบนหินก้อนใหญ่
เธอหลับตาลงพลางย้อนนึกถึงการต่อสู้ระหว่างตนและจิ้งหรีดถ้ำที่เพิ่งจบลงไปไม่นาน
‘สรุปคือ…’
เธอเริ่มมั่นใจ ตัวเธอจะรับมือกับจิ้งหรีดถ้ำได้ดีกว่านี้หากมีโล่ใบใหญ่สักอัน
หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่า เมอร์เซเดสมองว่าการใช้ดาบและโล่จะเกิดประสิทธิภาพมากกว่าการใช้ดาบคู่
‘วิชาดาบประจำตระกูลเรามิได้ยอดเยี่ยมถึงขนาดนั้น’
เมอร์เซเดสใช้ดาบคู่มาตลอดเพราะนั่นคือพื้นฐานของวิชาดาบเวนซ์
เธอเคยคิดว่า สิ่งที่ฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กย่อมเหมาะสมกับสรีระตัวเองมากที่สุด
แต่ความคิดดังกล่าวได้เปลี่ยนไปหลังจากกลายเป็นตำนาน
วิชาดาบเวนซ์เด่นในด้านฆ่าฟันและปลิดชีพได้รวดเร็ว แต่หากเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง ดาบคู่จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันต่ำมาก
นั่นคือจุดบอดใหญ่หลวงของวิชาดาบเวนซ์—วิชาดาบประจำตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาช้านาน
หลักฐานบ่งชี้ที่ดีที่สุดก็คือ ในวาระสุดท้ายขณะต่อสู้กับอัสทารอส เธอตัดสินใจพึ่งพาวิชาดาบไร้ก้นบึ้งของปิอาโร่มากกว่าวิชาดาบประจำตระกูล
‘ไม่มีเหตุผลให้เราต้องยึดติดกับดาบคู่อีกต่อไป’
กษัตริย์กริดของเธอเล็งเห็นสิ่งนี้มาตั้งแต่ต้น เขาจึงออกปากว่าจะสร้างโล่และชุดเกราะให้ใหม่หนึ่งเซ็ต
“…”
ขณะเมอร์เซเดสนั่งพิจารณารายละเอียดของชุดเกราะตัวใหม่อย่างถี่ถ้วน ดวงตาของเธอได้ลืมขึ้นกระทันหัน
ดวงตาชนิดพิเศษที่สามารถมองทะลวงทุกสิ่ง บัดนี้เริ่มจับความเคลื่อนไหวแปลกประหลาดได้ในป่าลึก
มีคนกลุ่มใหญ่กำลังเดินทางภายในป่าลึก เมอร์เซเดสมั่นใจ จำนวนของคนกลุ่มนี้มีมากเกินกว่าหนึ่งพันชีวิต
และคงไม่ใช่เอลฟ์ที่กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านแน่ เพราะในกลุ่มดังกล่าวมีกลิ่นอายของบุคคลที่เป็นมนุษย์ชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น…
‘ภูติธาตุหายไปไหนหมด?’
เป็นเหตุการณ์ที่ค่อนข้างประหลาด
สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังจากจบการล่าจิ้งหรีดถ้ำได้เพียงไม่นาน
ปัจจุบัน กริดได้ออกไป ‘พักผ่อน’ ส่วนปิอาโร่เดินทางกลับเมืองแวมไพร์เมื่อเสร็จภารกิจตัดแต่งต้นไม้ใหญ่
ลงเอยด้วย เมอร์เซเดสต้องนั่งรอกริดตามลำพัง
“...”
ภารกิจปัจจุบันของเธอคือการรอให้กริดกลับจากพักผ่อน
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เมอร์เซเดสรีบปีนขึ้นบนต้นไม้สูงใหญ่
แม้การพรางตัวจะไม่ยอดเยี่ยมเท่านักลอบสังหารระดับสูง แต่ก็สามารถลบตัวตนได้ดีในระดับหนึ่ง
จากนั้นไม่นาน…
“ยังพยายามอัญเชิญภูติธาตุอยู่อึกรึไง? เลิกทำเรื่องไร้สาระได้แล้ว! รีบเดินเร็วเข้า!”
กลุ่มคณะเดินทางเอลฟ์ผสมมนุษย์เริ่มปรากฏสู่การมองเห็นของเมอร์เซเดส
เอลฟ์หลายพันตนถูกมัดมือด้วยเชือกและร้อยจูงเข้าด้วยกัน
ส่วนมนุษย์หลายร้อยชีวิตกำลังคุมแถวพลางเย้ยหยันกลั่นแกล้งอย่างสนุกสนาน
‘อะไรกัน…?’
เมอร์เซเดสสับสนกับภาพตรงหน้า
เบเนียลูกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าเธอกลับไปพบ ‘เพื่อนมนุษย์ตัวน้อย’ ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมื่อวาน
แล้วเหตุใดถึงลงเอ้ยด้วยสถานการณ์เช่นนี้ได้?
เธอขบกรามครุ่นคิดด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
จากนั้นก็เริ่มได้เค้าลางของสิ่งที่เกิดขึ้น
ดวงตาของชาวเอลฟ์กำลังหม่นหมองไร้ชีวิตชีชวา บาดแผลฉกรรจ์บนร่างกายที่ผอมบางทำให้เมอร์เซเดสเกิดโทสะรุนแรง
แต่เธอก็ยับยั้งสติไว้ได้
‘เราไม่มีสิทธิโมโหพวกมัน…’
เธอสงบสติอารมณ์พลางหวนนึกถึงอดีตของตัวเอง
ก่อนหน้านี้เมอร์เซเดสเคยเป็นใครกัน?
เธอคืออัศวินลำดับหนึ่งที่นำกองทัพปราบกบฏและชนกลุ่มน้อยมากมาย
จริงอยู่ที่มิได้ทำไปเพราะความต้องการส่วนตัว เป็นบัญชาจากองค์จักรพรรดิ แต่ถึงอย่างนั้น เมอร์เซเดสก็ปฏิเสธบาปของตัวเองไม่ได้
แม้เธอจะไม่ได้เย้ยหยันหรือจองจำคนเหล่านั้นเป็นทาส ทว่า การคร่าชีวิตชนกลุ่มน้อยก็นับเป็นความเลวร้ายที่ไม่แพ้กัน
‘…เราก็เคยเป็นแบบพวกมัน’
เธอไม่มีสิทธิตำหนิกลุ่มมนุษย์ชั่วช้าตรงหน้าอย่างเต็มปาก
เมื่อเมอร์เซเดสตระหนักได้ เธอรีบหลับตาลงเพื่อไม่ต้องการเห็นภาพแสนเหตุการณ์แสนเจ็บปวดตรงหน้า
และเหนือสิ่งอื่นใด ภารกิจของเธอคือการรอให้กริดกลับมา
อัศวินประจำตัวราชาโอเวอร์เกียร์ไม่มีสิทธิ์ลงมือกระทำโดยพละการ
เมอร์เซเดสทำได้เพียงนั่งกำหมัดแน่นอยู่บนต้นไม้ใหญ่อย่างเงียบงัน
ทว่า มีใครบางคนสัมผัสถึงตัวตนของเธอได้
“หืม”
มันคือ ‘ไนท์’
ไนท์เป็นผู้เล่นที่เพิ่งชนะทัวร์นาเมนท์ PVP ขนาดย่อมภายในประเทศรัสเซีย
มันสามารถเอาชนะอเล็กซานเดอร์ที่ว่ากันว่าเป็นแรงเกอร์อันดับหนึ่งคนปัจจุบันของชาวรัสเซียอย่างขาดลอย
แต่ถึงจะเก่งกาจ ชื่อเสียงของไนท์ก็จำกัดวงแคบภายในประเทศเท่านั้น โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันพยายามปกปิดตัวตนมิให้โลกรับรู้
ทักษะที่แข็งแกร่ง ยิ่งศัตรูรู้รายละเอียดน้อยเพียงใดก็ยิ่งดี แต่หากเป็นคนที่รู้จัก ย่อมไม่มีผู้ใดกังขาในฝีมือของไนท์
นี่คือสาเหตุหลักที่เคียร์ยอมควักเงินมูลค่ามหาศาลเพื่อจ้างไนท์มาร่วมทีม
เมื่อเห็นไนท์หยุดม้า เคียร์รีบควบม้าเข้ามาถาม
“เกิดอะไรขึ้น?”
ไนท์ครุ่นคิดเล็กน้อยพลางส่ายศีรษะ
“เปล่า…ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
แน่นอนว่านี่คือคำโกหก
ทักษะติดตัวที่ยอดเยี่ยมของมัน ‘การหยั่งรู้จากเทพแห่งความตาย’ ได้ระบุว่าตัวตนปริศนาบนต้นไม้เป็น ‘ภัยคุกคามระดับสูงสุด’
โชคดีที่สตรีปริศนาไม่มีความคิดมุ่งร้าย
คงดีกว่าหากต่างฝ่ายต่างแยกย้ายจากกันไป
เมื่อคิดเช่นนี้ ไนท์รีบออกปากเร่งเคียร์
“พวกเราต้องรีบไปวิหารที่ใกล้ที่สุดก่อนพลังของแก่นยาธานจะหมดลงใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็เร่งมือเข้าเถอะ”
“อา ถูกของนาย”
เคียร์ยอมฟังคำแนะนำจากไนท์ มันรีบเร่งขบวนเดินทางทันที
แส้ในมือผู้เล่นกระหน่ำฟาดใส่เอลฟ์เพื่อให้เชลยเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น
ผู้เล่นบางส่วนที่รู้สึกสนุกได้ฟาดแส้เล่นจนเกินจำเป็น เสียงหวีดร้องดังระงมไปทั่วผืนป่าอย่างต่อเนื่อง
เบเนียลูขบกรามด้วยสีหน้าเจ็บแค้น
เหตุใดเธอจึงหลงคารมมนุษย์เข้าได้?
ความโง่เขลาส่วนตัวได้ทำให้พวกพ้องเอลฟ์ทั้งหมดต้องเดือดร้อน เบเนียลูต้องการกัดลิ้นตายให้รู้แล้วรู้รอด
แต่เธอก็ทำเช่นนั้นไม่ได้
ด้วยฐานะหนึ่งในสิบสองผู้พิทักษ์ เบเนียลูสาบานกับตัวเองว่าจะช่วยเหลือทุกคนที่ถูกจับเป็นเชลยจากความโง่เขลาของตน
มีแต่ต้องอดทนให้ผ่านพ้นความอับอายและความเจ็บปวดในวันนี้
เคียร์มองเจตนาของเธออก
“เป็นสีหน้าที่ดี ไม่ว่าจะตกอยู่ในสภาพใดก็ขอให้แสดงสีหน้าเช่นนี้เข้าไว้ ฉันจะรอดูวันที่จิตใจของเธอแหลกสลายโดยสมบูรณ์ คุคุคุ!”
“ไอ้มนุษย์โสโครก!”
เบเนียลูแผดเสียงอย่างเดือดดาล
เธอสติแตกและพยายามรวบรวมมานาเพื่ออัญเชิญภูติธาตุ
แต่น่าเสียดาย การกระทำเช่นนี้รังแต่จะสร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองมากขึ้น
“อ๊ากกก!”
แก่นยาธานได้ซึมลึกเข้าไปในร่างเอลฟ์ทุกตน การไหลเวียนของมานาและโลหิตกำลังปั่นป่วน
ดวงตาเบเนียลูเหลือกขึ้นจนเหลือเพียงสีขาว ร่างกายกำลังดิ้นทุรนทุราย
เคียร์แสะยิ้มชั่วร้ายเมื่อได้เห็นเธออาเจียรทุกสิ่งที่อยู่ในกระเพาะออกมา
“กลิ่นของเงินช่างหอมหวนเหมือนเคย ยิ่งต้นทุนของสินค้ามีราคาแพง คุณภาพสินค้าก็ยิ่งยอดเยี่ยมตามไปด้วย”
เพื่อแผนการในวันนี้ เคียร์ลงทุนซื้อแก่นยาธานจากข้ารับใช้ยาธานโดยมีมูลค่าสูงถึง 40 ล้านเหรียญทอง หรือเทียบเป็นเงินวอนจะเท่ากับ 48,000 ล้านวอน
เหตุใดเคียถึงต้องทุ่มเงินมหาศาลขนาดนี้กับเกมด้วย?
คนทั่วไปคงยากจะเข้าใจ
แต่มันมองว่านี่คือการลงทุน และเป็นการลงทุนที่สำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
จำนวนเงินจะน้อยลงถนัดตาหากแลกกับการจับสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งเป็นทาสได้เกือบทั้งหมด
‘ถ้าเราขายทาสพวกนี้สำเร็จ ถึงตอนนั้นจะได้เงินกลับคืนมากกว่า 40 ล้านเหรียญทองหลายเท่า’
ทว่า กำไรที่แท้จริงมิได้อยู่ที่การค้าเอลฟ์เป็นทาส หากแต่เป็นผลผลิตจากต้นไม้โลก
ถ้ามันผูกขาดผลผลิตจากต้นไม้โลกไว้เพียงผู้เดียว ทั้งกิ่งก้าน ใบ เปลือกไม้ และผล รายได้ของเคียร์จะมหาศาลเทียบเท่าอาณาจักรหนึ่งเลยทีเดียว
‘พ่อได้ดูอยู่รึเปล่า? ลูกชายของพ่อกำลังจะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ไม่เหมือนกับพ่อที่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพช’
มันจะต้องมีชีวิตที่ดีกว่าพ่อ
นี่คือหนึ่งในคำสาบานที่เคียร์ลั่นวาจากับตัวเองขณะร่วมงานศพผู้เป็นบิดา
“เฮ่อ…”
เคียร์ถอนหายใจยาว
แต่ขณะกำลังเร่งความเร็วขบวน เคียร์เหลือบไปเห็นบางสิ่งโดยบังเอิญ
สิ่งนั้นคือเสาแสงสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์การล็อกอินจากผู้เล่น
“…?”
มีผู้เล่นหลงเข้ามาในป่าเอลฟ์ได้ยังไง?
สมาชิกกลุ่มของเคียร์ต่างพากันขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้แสดงสีหน้ากังวลมากนัก
หากคิดในอีกมุมหนึ่ง ชาวเอลฟ์เป็นฝ่ายลบล้างเวทมนตร์ลวงตาออกเอง ไม่แปลกที่จะมีผู้เล่นเดินหลงเข้ามา
ใช่แล้ว ผืนป่าแห่งนี้กลายเป็นสถานที่สาธารณะซึ่งแม้แต่สุนัขยังผ่านเข้าออกได้ตามใจชอบ
การย่างกรายเข้าเขตป่าต้นไม้โลกมิใช่สิ่งพิเศษอีกต่อไป
และเหนืออื่นใดทั้งหมด อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียว ไม่มีเหตุให้ต้องวิตกจนเกินพอดี
“รีบไปกันเถอะ”
กลุ่มของเคียร์รีบเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจผู้เล่นปริศนาที่เพิ่งล็อกอิน
แต่เมื่อเห็นชื่อตัวละครเหนือศีรษะผู้เล่นคนดังกล่าวอย่างชัดเจน เห็นทีจะปล่อยผ่านไปไม่ได้เสียแล้ว
[ กริด ]
“…?!”
บุคคลที่เพิ่งล็อกอินเข้ามา ตัวตนของเขาคือผู้เล่นที่มีชื่อเสียง
ขณะเดียวกัน ทางฝั่งของกริด
สิ่งที่เขากำลังเห็นมิใช่ภาพหลอน หากแต่เป็นความจริงทั้งหมด
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อล็อกอินเข้าสู่ซาทิสฟาย กริดได้เห็นผู้คนจำนวนหลักพันอยู่เบื้องหน้า
เขาหรี่ตาลงพลางครุ่นคิด
และได้ข้อสรุปว่า เอลฟ์นับพันตนกำลังถูกผู้เล่นปริศนากลุ่มหนึ่งจับเป็นเชลย
เคียร์รีบลงจากม้าและยื่นมือขอทักทายกริด
“คุณกริดใช่ไหม? เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกัน ผมคือเคียร์ ผู้เล่นคลาสพ่อค้าอันดับหนึ่งของโลก”
เฉกเช่นทุกครั้ง เคียร์แสร้งปั้นรอยยิ้มจอมปลอมเพื่อตบตา
แต่น่าเสียดายที่กริดไม่ตอบรับคำขอจับมือ
ชายหนุ่มยังจำสิ่งที่มุโต้ ผู้เล่นพ่อค้าอันดับสาม เคยกล่าวไว้ได้
“เบเนียลู เธอได้ยินฉันรึเปล่า?”
“กริด…?”
เคียร์พยายามยืนบังมิให้กริดมองไปในกลุ่มเอลฟ์ กริดเริ่มแสดงท่าทีสงสัยอย่างเห็นได้ชัด
“พวกแกคิดจะทำอะไรกับเอลฟ์?”
กริดเมินเฉยคำทักทายของเคียร์โดยสิ้นเชิง การกระทำเช่นนี้นับว่าหยามเกียรติกันอย่างหนัก
คิ้วของมันพลันกระตุก แต่ใบหน้ายังคงแสร้งยิ้มจอมปลอมไว้
“เป็นถึงกษัตริย์ของอาณาจักร แต่นิสัยแย่จังเลยนะ อย่างน้อยก็รู้จักมารยาทพื้นฐานไม่ใช่รึไง?”
“หึ…”
กริดไม่ใช่ไอ้งั่งที่ไม่รู้ถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์ตรงหน้า
เขาทราบดีว่าเอลฟ์เหล่านี้มีชะตากรรมที่โหดร้ายเพียงใดรออยู่
ใบหน้าของกริดเริ่มดำมืด
เคียร์กล่าวขึ้น
“นี่ไม่ใช่ธุระของนาย พวกเราต่างคนต่างอยู่ดีกว่า แบบนี้จะดีกับทั้งสองฝ่าย”
เคียร์เองก็เป็นแรงเกอร์ที่ถูกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก มันย่อมมองกริดเป็นศัตรู ส่งผลให้กล่าวถ้อยคำยั่วยุออกไปโดยไม่รู้ตัว
กริดเอ่ยปากถาม
“ดีกับทั้งสองฝ่าย? มันดีกับพวกแกฝ่ายเดียวไม่ใช่รึไง?”
ขณะพูดจาเหยียดหยันเคียร์ กริดฉวยโอกาสสำรวจกลุ่มเอลฟ์ตรงหน้าด้วยค่าวิสัยทัศน์ที่มหาศาล
“…”
เขาได้เห็นบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่งบนร่างกายเบเนียลู ชายหนุ่มพยายามระงับโทสะ เขารีบส่งเสียงตะโกนถาม
“เธอต้องการให้ฉันช่วยรึเปล่า?”
“…ช่วยฉันแล้วนายจะได้อะไร?”
คำถามของเธอได้แฝงความนัยไว้มากมาย บ่งบอกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
กริดหรี่ตาลง เขาจ้องมองเบเนียลูด้วยรอยยิ้มแสนอบอุ่นซึ่งเคยมอบให้ในวันแรกที่ได้พบกัน
“ไฮเอลฟ์ที่ชื่อสติกส์คอยช่วยเหลือฉันหลายเรื่อง การช่วยชีวิตเธอจะถือเป็นการตอบแทนบุญคุณเขาทางอ้อม”
“แกคิดว่าพวกเราจะปล่อยให้ทำตามใจชอบได้รึไง?”
เคียร์แสยะยิ้มถามด้วยสีหน้าเหยียดหยัน มันเริ่มแผ่จิตสังหารอย่างชัดเจน
และนั่นคือสัญญาณ
“ไอ้บัดซบนี่! คิดว่าตัวเองเจ๋งมากนักรึไงหลังจากชนะครอเกลได้?”
“ทำไมถึงต้องแส่ไม่เข้าเรื่องด้วย?”
พวกพ้องของเคียร์เริ่มแผดเสียงตะโกนพร้อมกับชักอาวุธ
ส่วนกริดยังคงรอคำตอบจากเบเนียลู
“…”
ดวงตาของเธอเริ่มสั่นระริก
ท่ามกลางความรู้สึกแสนสิ้นหวังก่อนหน้านี้ เธอได้สาบานกับตัวเองว่าจะไม่ขอเชื่อใจมนุษย์อีกเป็นหนที่สอง
แต่ปัจจุบัน เบเนียลูกลับเกิดความลังเล บางที ส่วนลึกของจิตใจอาจกำลังร่ำร้องให้กริดช่วยเหลือ
สาเหตุหลักเป็นเพราะกริดเอ่ยชื่อสติกส์ออกมา แถมกริดยังเป็นมนุษย์ที่มิได้ทำร้ายพวกเธอในขณะที่มีโอกาส
ลงเอยด้วย…
“…ช่วยด้วย”
เบเนียลูขอร้องเสียงสั่น
“ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย!”
น้ำเสียงแสนสิ้นหวังของเธอได้สลักลงในใจกริด
“ตกลง…ฉันจะยอมเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมสักวัน”
“…?!”
เปรี้ยงง—!
พวกมันถูกกำปั้นชกใส่งั้นหรือ?
ลูกน้องเคียร์กลุ่มหนึ่งพลันใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่อถูก ‘เที่ยงธรรมไม่เสื่อมคลาย’ โจมตีใส่ด้วยหมัดเปลือยเปล่า
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 5 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,248
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
Enjoy thank🙏😊
ReplyDeleteพระเอกสึดๆ
ReplyDeleteฮึกเหิมได้ใจ
มันส์.... 👍
ขอบคุณมากครับ😊🙏
น่าจะมีภารกิรลับ ปลดปล่อยเอลฟ์นะ กริดจะได้อ้างความชอบธรรมในการ PK ได้
ReplyDeleteขอบคถ
ReplyDelete