จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,457
ปัจจุบันยังคงมีผู้เล่นราชาเพียงสองคน เทพโอเวอร์เกียร์กริด และเทพสงครามอาเรส
ไม่ว่าจะด้านคุณภาพ จำนวนอัจฉริยะ ขนาดกองทัพ เทคโนโลยี เงินทุน และอีกมากมาย ปัจจัยทั้งหมดล้วนบ่งชี้ว่า กริดและอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ เหนือกว่าวัลฮัลล่าและอาเรส
เป็นเรื่องยากที่แสงสว่างจะส่องลงมาหาอาเรส
อย่างไรก็ตาม ตัวกริดเองก็นับถือในมันสมองและความเก่งกาจของอาเรสไม่น้อย
เพราะการดูแคลนอาเรสย่อมหมายถึง ดูแคลนผู้เล่นทั้งหมดบนโลกยกเว้นตัวเอง
> สิ่งที่นายแสดงให้เห็นในการแข่งนานาชาติ ฉันทึ่งไม่น้อย
ของกริดเจือความสุข พวกมันเป็นมิตรสหายกันมานาน
แม้จะเคยพบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่กริดก็มองอาเรสในเชิงบวก
อาจเป็นเพราะมีตำแหน่งและความรับผิดชอบคล้ายคลึงกัน พวกมันจึงเข้ากันได้ง่าย ถึงเรื่องราวในตอนแรกจะไม่ใช่แบบนั้นเลยก็ตาม
ปัจจุบัน ความร่วมมือทางการทหารระหว่างโอเวอร์เกียร์และวัลฮัลล่ายังคงดำเนินต่อไป
ทหารส่วนมากของกองพลที่หนึ่งทยอยเดินทางกลับหลังจากพัฒนาตัวเองถึงจุดเบ่งบาน
ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปิอาโร่และอัสโมเฟลมิอาจมอบให้ทหาร หนึ่งในนั้นคือการ ‘เพิ่มคุณสมบัติ’
จริงอยู่ที่การเพิ่มคุณสมบัติสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนักที่จะโชคดี
มีเพียงคนเดียวในโลกที่สามารถบังคับเพิ่มคุณสมบัติให้ทหารได้ และคนคนนั้นคือเทพสงครามอาเรส
เฉกเช่นที่กริดเป็นคนที่สามารถสร้างปาฏิหาริย์อย่างการผลิตไอเท็มเกรดมิธ
> สิ่งที่ฉันแสดงให้เห็น? เมื่อเทียบกับวีรกรรมระดับเขียนประวัติศาสตร์ของนาย ผลงานของฉันก็เป็นได้แค่ลูกเล่นห่วยๆ เหมือนตัวทากกลิ้งไปมา… แต่ฉันดีใจที่ได้ยินเสียงนายอีกครั้ง หลังจากไม่ได้พบกันเสียนาน… สดชื่นเหมือนดื่มโค้กเลยแฮะ คึฮ่าฮ่า!
ความร่วมมือทางการทหารระหว่างสองอาณาจักร ไม่ใช่ข้อตกลงที่มีเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์
อาณาจักรโอเวอร์เกียร์เองก็คอยจุนเจือวัลฮัลล่า
เหล่าหัวกะทิของวัลฮัลล่าเองก็ได้รับการติดอาวุธที่สร้างจากเทคโนโลยีโอเวอร์เกียร์
แน่นอน ทั้งสองอาณาจักรขีดเส้นแบ่งระหว่างกันอย่างเหมาะสม
พวกมันไม่ได้ทุ่มสุดตัวเพื่ออีกฝ่าย
วัลฮัลล่าช่วยฝึกทหารโอเวอร์เกียร์ ‘ในระดับหนึ่ง’ และโอเวอร์เกียร์ก็ขายอาวุธคุณภาพ ‘กลางๆ’ ให้วัลฮัลล่าในราคาที่สมเหตุสมผล
ในอดีต อาเรสเคยใฝ่ฝันจะเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นของโอเวอร์เกียร์ แต่น่าเสียดายที่กำแพงแห่งความเป็นจริงช่างสูงตระหง่าน
การทูตเป็นเรื่องซับซ้อน
ความเอาแต่ใจของอาเรส ไม่สามารถนำมาใช้กับอาณาจักรที่มีภาระชีวิตนับล้านอยู่บนบ่า
นอกจากนั้น อาเรสยังต้องเสียเปลืองทรัพยากรไปมากมายเพื่อจ้าง NPC ระดับสูงมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และไม่ใช่ทุกคนที่รับเป็นเงินทอง บางคนต้องการทำความฝัน บางคนอยากให้รักษาสัญญาบ้างข้อ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ซับซ้อน
NPC พิเศษที่เป็นลูกน้องอาเรสส่วนใหญ่ไม่ชอบหน้าจักรวรรดิซาฮารัน
นั่นเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ พวกมันส่วนใหญ่เคยเป็นคนของจักรวรรดิมาก่อน หรือไม่ก็สูญเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิตไปเพราะจักรวรรดิ
> ฉันอยากจะติดต่อนายมาตลอด… แต่ตัดสินใจเว้นระยะห่างเพราะกลัวนายจะอึดอัด
> อา ฉันก็กลัวว่านายจะอึดอัดเหมือนกัน
แม้อาณาจักรโอเวอร์เกียร์และวัลฮัลล่าจะร่วมมือกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ระแวงกันเลย
มีสองเรื่องที่สร้างความไม่ไว้ใจอย่างรุนแรง จนถึงขั้นเกิดเป็นรอยร้าว
อาณาจักรวัลฮัลล่ามองว่า ‘การผูกขาดช่างตีเหล็ก’ ของโอเวอร์เกียร์เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว ในขณะที่โอเวอร์เกียร์มองว่า การที่วัลฮัลล่าทำตัวเป็นศัตรูกับจักรวรรดิ สร้างความลำบากใจให้พวกตนไม่น้อย
แน่นอน ต่างฝ่ายต่างไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง
และอาเรสทราบดี สาเหตุที่ช่างตีเหล็กทั่วทวีปหลั่งไหลไปรวมตัวที่กรุงไรน์ฮาร์ท ไม่ใช่เพราะอาณาจักรโอเวอร์เกียร์จงใจดึงดูดด้วยวิธีการที่น่ารังเกียจ
ทุกคนเพียงต้องการทำงานใต้กริด
เช่นนั้นแล้ว มันเป็นความผิดของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์หรือ?
นอกจากนั้น แม้อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ที่ผูกขาดช่างตีเหล็ก จะเป็นผู้ควบคุมราคาตลาดและคอยเอาเปรียบอาณาจักรอื่น แต่วัลฮัลล่าถือเป็นข้อยกเว้น
ดังที่กล่าวไปข้างต้น โอเวอร์เกียร์ขายสินค้าให้วัลฮัลล่าในราคายุติธรรม
อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ไม่คิดจะขัดแข้งขัดขาวัลฮัลล่า ทั้งที่อีกฝ่ายพยายามทำสงครามระหว่างชายแดนกับจักรวรรดิซาฮารันอย่างดุเดือด
ขณะองค์ชายลำดับสี่ อีธาน ก่อกบฏ วัลฮัลล่าถูกแกรนมาสเตอร์ล่อลวงให้บุกโจมตีจักรวรรดิ
ในศึกนั้น พวกมันล้มเหลวและได้รับความเสียหายหนัก
ความแค้นถูกสลักลึกจวบจนปัจจุบัน
นอกจากนั้น การที่กองทัพวัลฮัลล่าขยายตัวได้อย่างทุกวันนี้ เกิดจากการรวบรวมคนที่เคียดแค้นจักรวรรดิมาเป็นพวก ไม่ว่าจะมองมุมใดก็เลี่ยงการเป็นศัตรูกับจักรวรรดิไม่ได้เลย
ลำพังการขึ้นครองบัลลังก์ของบาซาร่า มิอาจเปลี่ยนแปลงความขัดแย้งและความบาดหมางนี้ได้
> เรื่องที่ฉันจะคุยในวันนี้ก็คือ… ก็อย่างที่นายคิดนั่นแหละ มหาสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูร
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน เมื่อครั้งจอมอสูรลำดับยี่สิบสอง เฟย์ริส รุกรานโลกมนุษย์
กองทัพอาเรสที่มุ่งมั่นจะเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของโลก กำลังฮึกเหิมและห้าวหาญ
พวกมันเปิดหน้ารบพุ่งกับเฟย์ริสเต็มกำลังโดยไม่สั่นกลัว
แน่นอน พวกมันเป็นกองทัพแนวหน้าของทวีปและแข็งแกร่งพอที่จะทำเช่นนั้น มิใช่แค่ราคาคุย
ทว่า ผลลัพธ์กลับออกมาพ่ายแพ้
เฟย์ริสที่พวกมันมองว่าเป็นเหยื่อ กองทัพอาเรสลดเลือดไปได้เพียงครึ่ง ก่อนจะถูกทำลายราบคาบ
เป็นผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงและยากจะทำใจยอมรับ
ความพ่ายแพ้ต่อหน้าคนทั้งโลก ทำให้กองทัพอาเรสเกิดความอับอายและสั่นคลอนไปถึงฐานราก
ความเคลือบแคลงและคำถามผุดขึ้นในใจอย่างมิอาจเลี่ยง
นั่นคือวินาทีที่อาเรสตระหนักว่า ตนไม่ใช่กริด
พวกพ้องของมันอาจแข็งแกร่งไม่แพ้หัวกะทิของโอเวอร์เกียร์ แต่ตัวมันอยู่ในคนละโลกกับกริด ไม่สามารถเป็นเสาหลักที่มั่นคงคอยค้ำจุน
มันเข้าใจได้ทันที ว่าทำไมจิสึกะถึงยอมสละตำแหน่งหัวหน้าและยกมันให้กริด
> ที่จริงก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้… แต่วัลฮัลล่าแข็งแกร่งขึ้นมาก รอบตัวฉันเต็มไปด้วยลูกน้องมากพรสวรรค์
หลังจากประจักษ์ความน่าเกรงขามของผู้ปกครองแห่งขุมนรก ไม่สิ ไฟแห่งการต่อสู้ในตัวอาเรสได้ลุกโชนถึงขีดสุดในตอนที่มันเฝ้ามองกริดและกิลด์โอเวอร์เกียร์โค่นเฟย์ริสลงได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา มันให้ความสำคัญกับการรวบรวมขุนพลชั้นยอดจากทั่วทวีปเพื่อพัฒนาองค์กร
> กริด… คราวนี้ พวกเราจะไม่ใช่ตัวถ่วงของนาย… ได้โปรด… ช่วยเป็นผู้นำของเรา ช่วยพาเราทุกคนคว้าชัยในมหาศึกครั้งนี้ด้วย… ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ กองทัพอาเรสจะไม่ใช่ตัวประกอบอีกแล้ว
เฉกเช่นชาวโอเวอร์เกียร์ กองทัพอาเรสได้ลิ้มรสความขื่นขมและฝ่าฟันผ่านมาได้ด้วยกำลังใจที่เข้มแข็ง สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมให้พวกมันเป็นเหล็กกล้าที่แข็งแกร่ง
อาเรสจึงเป็นไม่กี่คนที่ตระหนักถึงความน่ากลัวของสงครามกับเหล่าอสูร
มันรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่มนุษยชาติต้องสามัคคีกัน
และแน่นอน ผู้นำจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้
> ฉันจะ… สงบศึกกับจักรวรรดิ… จักรพรรดินีองค์ใหม่ปรีชาสามารถ ฉลาดหลักแหลม หล่อนไม่มีทางปฏิเสธการสงบศึกในคราวนี้แน่
> อาเรส…
ปัจจุบัน กริดเลิกไขว่คว้าการถูกยอมรับมานานแล้ว
ตรงกันข้าม มันกำลังหาวิธีทำตัวให้ชินกับคำชมเชย
สาเหตุที่หัวใจกริดกำลังถูกโยกคลอน เพราะกองทัพอาเรสคือหนึ่งในขุมกำลังที่น่าเกรงขามที่สุดของทวีป เป็นหัวกะทิของหัวกะทิ เป็นกลุ่มที่รวบรวมบุคคลหยิ่งทระนงไว้มากมาย
แต่บัดนี้ ทุกคนกลับยอมฝากชะตากรรมของตนไว้ในมือกริด
> …ตกลง
เราดีพอที่จะเป็นผู้นำของพวกเราจริงหรือ?
กริดไม่ได้ถามออกไป
ไม่ใช่เพราะมันโอหังหรือไม่ถ่อมตน แต่เป็นเพราะกริดตระหนักดี มันคือดวงประทีปแห่งมวลมนุษย์
> ฉันจะไม่ทำให้พวกนายผิดหวัง
การที่กริดและเหล่าผู้ส่งสารสามารถกวาดล้างขุมนรกได้เกือบครึ่งอย่างไม่ยากเย็น นั่นเพราะนรกถูกแบ่งออกเป็นสามสิบสามขุม
จอมอสูรที่ไม่ร่วมมือกัน ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกับฝ่ายกริดที่เต็มไปด้วยความสามัคคี (?) ผลลัพธ์จึงลงเอยด้วยความพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
แต่มหาสงครามมนุษย์และอสูรจะแตกต่างออกไป
จากที่เห็นในอดีตของแพ็กม่า มีโอกาสสูงมากที่พวกมันจะมากบุกในรูปแบบกองทัพ
ต่อให้จอมอสูรเหล่านั้นได้รับผลข้างเคียงบนโลกกึ่งกลาง แต่การต่อสู้ก็คงไม่ง่าย
ในสภาวะที่กำลังตึงเครียด การได้ยินว่ากองทัพอาเรสขอเข้าร่วม ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่ชวนให้อิ่มเอมใจ
> คึฮ่าฮ่า! นายจะเป็นที่พึ่งได้สักแค่ไหนกันนะ? จริงสิ กองทัพของฉันกำลังจะถึงไรน์ฮาร์ทในอีกไม่ช้า… ฉันสั่งให้ออกเดินทางไปก่อน จากนั้นค่อยภาวนาให้การเจรจาราบรื่น… หมอนั่นหลักแหลมไม่ต่างจากลอเอล หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับนาย
> อาเรส นายไม่ได้มาด้วยหรือ?
> ไป… แต่คงใช้เวลาอีกสักพัก เพราะฉันเคลื่อนพลไปพร้อมทัพใหญ่ เหลือไว้แค่องครักษ์คอยป้องกันเมือง คงไปถึงช้าหน่อย ได้โปรดเข้าใจด้วย
> แล้วทำไมนายถึงไม่ให้ทัพหลวงประจำการที่อาณาจักรตัวเอง? ไม่อย่างนั้น ถ้าเกิดกองทัพอสูรบุกมาทางวัลฮัลล่า ประชาชนของนายก็จะ…
> เสนาธิการของฉันบอกว่าไม่เป็นอะไร… ประตูนรกที่กองทัพอสูรสามารถผ่านเข้าออก ถ้าไม่ใช่ตรงหมู่เกาะเบเฮ็นก็จะเป็นห้วงคุกนรก… ฉันเชื่อใจเขา… เจ้านั่นพึ่งพาได้ แค่มีพัฒนาการช้าไปหน่อย
กริดค่อนข้างประหลาดใจ เพราะลอเอลกับสติกส์ก็พูดในสิ่งเดียวกัน
คาดไม่ถึงว่า เสนาธิการของกองทัพอาเรส จะมีความรอบรู้ทัดเทียมมันสมองของโอเวอร์เกียร์
***
ทุกครั้งที่ชายคนหนึ่งขยับตัว ดินโคลนมากมายพลันพวยพุ่ง
คันไถขนาดมหึมาที่มิอาจใช้วัวสิบตัวลากไหว ปัจจุบัน ชายคนหนึ่งกำลังลากมันเพื่อไถนา
น้ำหนักที่กำลังถูกกดลงบนนิ้วเท้า ชวนให้นึกถึงท่า ‘สวรรค์กดทับ’ ซึ่งเป็นวิชาขั้นสูงของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ท่าเต้น
ทุกครั้งที่เหงื่อไหลลงบนกล้ามน่องอันปูดโปนและหยดกระทบดิน รอยยิ้มบนใบหน้าชายคนดังกล่าวจะถูกเผยให้เห็น
ชายผู้ทำให้มอร์เฟียสทำนายพลาดหนแล้วหนเล่า ปัจจุบันกำลังก้าวเข้าสู่การบรรลุศาสตร์แห่งชาวนาที่ถูกขัดเกลาจนถึงขีดจำกัด
มันรู้สึกภาคภูมิใจเหนือพรรณนาที่ได้ทำไร่ไถนา
“งานเทศกาล…? จะใช่แน่หรือ?”
ชายคนดังกล่าววางคนไถลง พลางดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพทุ่งนารอบตัว
แต่ทันใดนั้น มันขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับเอียงคอ
มันเห็นนักผจญภัยจำนวนมากที่เดินทางมาจากไหนก็มิอาจทราบได้ กำลังพูดคุยเกี่ยวกับปราบจอมอสูรอย่างออกรส
‘จอมอสูรกลายเป็นเหยื่อในสายตามนุษย์ตั้งแต่เมื่อไร?’
ออร่ามาสเตอร์ และ ‘ชาวนาเหล็กกล้า’ ฮูเร็น
หนึ่งในห้าปาฏิหาริย์ของมอร์เฟียส ชายผู้ครอบครองสมญานามสามสิบสามชนิดรวมถึงคลาสรอง
ครึ่งหนึ่ง มันเคยถูกขนานนามให้เป็นวีรบุรุษแห่งอเมริการ่วมกับซีบาล แต่ปัจจุบัน มันปลีกตัวสันโดษจากโลกเป็นเวลานานแล้ว
ราวสองสามปีก่อน มันเข้าร่วมกิลด์โอเวอร์เกียร์ในฐานะสมาชิก แต่กลับไม่เคยถูกมอบหมายงานใดเลย
ด้วยเหตุนี้ มันจึงยังคงเพลิดเพลินไปกับชีวิตชาวนาอันแสนอิสระ เฉกเช่นตอนที่ยังไม่ได้เข้ากิลด์
ฮูเร็นแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกบ้าง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันไม่เคยสนใจ
ในช่วงหลายปีหลัง เรื่องเดียวที่มันสนใจคือการหา ‘อักขระ’ ในทุ่งนา
‘ที่นี่ก็ล้มเหลว’
ฮูเร็นใช้พลังออร่าเพื่อสร้างลมพัด ช่วยขจัดเหงื่อบนร่างกาย
สายฝนออร่าจำนวนมหาศาล ผนวกเข้ากับทักษะพิเศษของชาวนาเหล็กกล้า ‘เสริมสร้างการเติบโต’ ช่วยเปลี่ยนให้ทุ่งนาที่รกร้างแห้งแล้งเมื่อสิบวันก่อน เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เมื่อเสร็จงาน คันไถขนาดมหึมาแตกกระจายกลายเป็นละอองแสง จากนั้นก็หายไป
ใช่แล้ว คันไถยักษ์ดังกล่าวถูกสร้างจากออร่า
ยิ่งฝนตกแรงขึ้น ดอกตูมสีเขียวก็ยิ่งเติบโตและมีชีวิตชีวามากขึ้น
สำหรับมอนสเตอร์ที่อาจบุกรุกและทำให้ทุ่งนาเสียหาย ฮูเร็นไม่เป็นกังวล เพราะพวกมันต่างหวาดกลัวออร่าของฮูเร็นที่ฝังลงในทุ่งนา
“ทำไมแถวนี้ถึงไม่มีมอนสเตอร์เลย?”
พวกเรามาผิดทางรึเปล่า? ที่นี่ไม่ใช่ทุ่งนาใช่ไหม?
มันสัมผัสถึงความสับสนของเหล่านักผจญภัย แต่ฮูเร็นไม่แยแสสิ่งเหล่านี้
อา… ต่อไปต้องไปที่ไหน?
ขณะฮูเร็นกำลังมีปัญหากับหารหา ‘อักขระ’ ของวันนี้
“นี่นาย… เห็นมอนสเตอร์บ้างไหม? ฉันจำได้ว่าแถวนี้มีทารกมาร”
“ทารกมารไม่ใช่มอนสเตอร์ธรรมดา แต่เป็นสัตว์อสูร”
ฮูเร็นนึกทบทวนมอนสเตอร์สีหิมะที่พบในวันแรก จากนั้นก็ตอบผู้เล่นด้วยสายตาเย็นชา
สายตาฮูเร็นคล้ายกับกำลังถามอ้อมๆ ว่า: ด้วยอุปกรณ์ธรรมดาที่ไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น พวกนายจะสู้กับสัตว์อสูรด้วยวิธีใด?
“มีใครไม่รู้บ้างว่ามันเป็นสัตว์อสูร? ฉันมาที่นี่เพื่อเตรียมความพร้อมในมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรที่กำลังจะมีขึ้น”
“ลองตรงไปทางเหนือสักยี่สิบกิโลเมตร… ฉันมั่นใจว่ายังมีทารกมารอยู่แถวๆ นั้น”
“หา…? ไกลขนาดนั้นเลย? แปลว่าฉันจำผิดที่หรือเนี่ย? แต่ช่างเถอะ ขอบคุณมาก”
“ลุงคนนั้นทำตัวแปลกๆ เข้าเป็นผู้เล่นหรือ NPC กันแน่?”
“ชาวนาที่ทำนาคนเดียวในจุดห่างไกลแบบนี้จะเป็นผู้เล่นได้ยังไง? ต้อง NPC อยู่แล้ว”
“ตอนแรกฉันก็เข้าใจแบบนั้น แต่เขาเข้าใจจำว่ามหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร… NPC ชาวนาที่ทำนาตามลำพังในชนบท จะรู้จักชื่อสงครามได้ยังไง?”
“อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ได้ส่งจดหมายแจ้งเตือนไปยังทุกอาณาจักรเกี่ยวกับมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรแล้ว และเมื่อเป็นข้อมูลจากโอเวอร์เกียร์ อาณาจักรเหล่านั้นจึงเชื่อถือโดยไม่คลางแคลง ในภายหลังจึงถ่ายทอดข่าวสารไปยังประชาชนของตัวเอง”
“เฮ้อ… อย่านะว่า… NPC ก็ต้องเข้าร่วมมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรด้วยหรือ?”
“…”
ฮูเร็นขบคิดหลายสิ่งขณะเฝ้ามองแผ่นหลังของผู้เล่นเดินห่างออกไป
พิจารณาจากท่าทีที่เด็กใหม่เหล่านี้มีต่อจอมอสูร ดูเหมือนว่าเชื่อเสียงและความน่าเกรงขามของพวกมันจะมิได้ยิ่งใหญ่เหมือนในอดีต
ต้องไม่ลืมว่า เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นในปัจจุบันคือสามร้อย แต่กลุ่มนักผจญภัยที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่คือแรงเกอร์ที่ฝีมือระดับหนึ่ง
เนื่องจากเคยต้องทุกข์ทรมานจากบราฮัม มาตรฐานผู้เล่นของฮูเร็นจึงสูงมาก บรรดาแรงเกอร์ปลายแถวจึงเป็นได้แค่เด็กใหม่
‘คราวนี้ลองไปต่ออีกสักนิด… อาจารย์ระบุว่า มีโอกาสเป็นไปได้มากที่อักขระจะซ่อนอยู่ในจุดห่างไกล ถือโอกาสท้าทายดินแดนต้องห้ามไปในตัวก็แล้วกัน’
ฮูเร็นขยับหมวกฟางเล็กน้อย ก่อนที่ร่างของมันจะหายไปพร้อมกับสายลม
ยิ่งสร้างทุ่งนาที่กว้างใหญ่และมีคุณภาพสูงเท่าไร ค่าสถานะของมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนขยับใกล้ความเป็นสัตว์ประหลาดเข้าไปทุกที
นี่คืออาวุธลับของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ที่กริดให้การยอมรับด้วยตัวเอง
แม้ว่าฮูเร็นจะไม่รู้เรื่องนี้เลยก็ตาม
Comments
Post a Comment