จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,455
“ผู้อำนวยการยุน สีหน้าดูไม่ดีเลยนะคะ~”
“คุณมาแล้วหรือ? เฮ่อ… หลังจากเหตุฉุกเฉินคราวนั้น ผมยังไม่ได้หยุดทำงานเลย”
“คราวนี้มอร์เฟียสโกรธจริงๆ แล้ว ทีมปฏิบัติการจึงต้องเฝ้าจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดสินะคะ… แต่ไม่คิดว่าหัวหน้าทีมปฏิบัติการอย่างคุณต้องลงมือเองแบบนี้”
“มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดสถานการณ์ใหญ่ที่พวกเขาไม่สามารถตัดสินใจได้เอง ผมจึงต้องเตรียมตัวพร้อมเสมอ… สิ่งเดียวที่ช่วยให้อุ่นใจคือการมีคุณอยู่ในเรือลำเดียวกัน”
“ฮะฮะ! ฉันค่อนข้างแน่ใจว่า แม้แต่แผนกรักษาความปลอดภัยเองก็กำลังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน”
“…ประธานเอมี่ คุณได้ไม่อยู่บริษัทเดียวกับผมหรือ? ทำไมถึงยังยิ้มได้?”
“ขอโทษค่า~ ใจเย็นๆ นะเนลสัน~”
NPC พิเศษมักเป็นตัวตนสำคัญในโลกซาทิสฟาย
การจะรักษาสิทธิ์หรือหน้าที่ของตัวเอง พวกเขาจำเป็นต้องมีพลังและอำนาจ
เหตุผลที่พลัง (เลเวล ฯลฯ) ของ NPC พิเศษต้องอิงจากการเติบโตเฉลี่ยของผู้เล่น ทั้งหมดก็เพื่อปกป้องเค้าโครงของโลกซาทิสฟายเอาไว้
ไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า นั่นคือกลไกในการรักษาสมดุลของมอร์เฟียส
และกลไกที่ใหญ่ที่สุดของมอร์เฟียสมาตลอดก็คือ สงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
สำหรับ SA กรุป นี่เป็นเหตุฉุกเฉินโดยแท้จริง
ทั่วโลกอาจประณาม SA กรุปว่าเป็นบริษัทโหดร้ายที่ชอบทรมานผู้เล่นโดยอ้างว่าทำไปเพื่อความสมดุล แต่ในความเป็นจริง SA กรุปคือหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่เป็นมิตรกับผู้เล่นอย่างมาก อาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเกมแล้วก็ได้
ชื่อเกมซาทิสฟายนั้นหมายถึง ‘เราต้องการสร้างความพึงพอใจให้กับความหวังและความฝันของผู้คน’
ประธานลิมชอลโฮต้องการให้ผู้เล่นทุกคนมีความสุข
หากจะยกตัวอย่างให้สุดโต่ง ซาทิสฟายสามารถทำให้ผู้พิการในโลกความจริง ถูกเติมเต็มความฝันที่จะวิ่งหรือโบยบินไปบนท้องฟ้า
แน่นอน เหล่าผู้บริหารมิได้ใจกว้างเหมือนลิมชอลโฮ พวกมันเป็นนักธุรกิจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังปรารถนาให้ผู้คนสัมผัสความสุขในเกมซาทิสฟาย ต้องการให้ผู้คนดื่มด่ำไปกับซาทิสฟาย สร้างเนื้อหาของตัวเอง และทำให้ซาทิสฟายเป็นโลกอีกใบที่ไม่มีจุดสิ้นสุด
เช่นนั้นแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรคืออะไร?
ในสายตาพวกมัน สงครามนี้คือประตูที่จะนำไปสู่วันสิ้นโลก
เป็นเหตุการณ์ที่ลดอายุขัยของซาทิสฟายลงอย่างมาก
โลกที่ ‘ทุกคนสามารถมีความสุข’ จะกลายเป็น ‘โลกของผู้ถูกเลือก’ เพียงหยิบมือเดียว
“เริ่มกันเลย”
บรรยากาศโกลาหลเล็กๆ ภายในห้องประชุมคณะกรรมการ ถึงคราวสงบลงอย่างรวดเร็ว
นั่นเพราะประธานลิมชอลโฮเดินเข้ามา
สีหน้าของมันอิดโรยเหมือนเคย
ในวินาทีที่นั่งลง บนจอภาพทำการเล่นวิดีโอทันที
เป็นบันทึกวิดีโอของหนึ่งเดือนก่อน (ในโลกความจริง) โดยเซพาเดียและแอ็กนัสกำลังวางแผนสร้างสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
แม้จะตัดมาเพียงจุดสำคัญ แต่ความยาวของวิดีโอก็ยังค่อนข้างนาน
เป็นช่วงเวลาที่พวกมันเข้าไปคุยกับอสูรดาบเซปาร์ และราชันวิญญาณ คามิคิน เพื่อก่อสงครามกับมนุษย์
แอ็กนัสตายไปหลายครั้งก่อนจะถูกเซปาร์ยอมรับ
หลังจากที่เซปาร์และคามิคินยอมเข้าร่วม เหล่าอสูรจำนวนมากก็เริ่มมารวมตัว
จอมอสูรลำดับหนึ่ง บาเอล เฝ้ามองจากวงนอกราวกับมิใช่กงการของตน
เฉกเช่นอาโมแรค จอมอสูรที่มีอำนาจด้อยกว่าบาเอลแทบจะทุกด้าน
ฉากหลักที่เป็นนรกถูกฉายผ่านไปอย่างรวดเร็ว
อสูรจำนวนมากเองก็มีความฝันที่จะรุกรานโลกมนุษย์ พวกมันจึงให้ความร่วมมือแต่โดยดี
สำหรับประธานลิมชอลโฮและเหล่าคณะกรรมการที่หวังจะให้ซาทิสฟายเป็น ‘โลกที่สร้างโดยผู้เล่น’ สถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่พวกมันจะทำอะไรได้?
เนื่องจากมอร์เฟียสไม่ต้องการให้กริดคุกคาม ‘โครงสร้าง’ ของโลกซาทิสฟายเร็วเกินไป มอร์เฟียสจึงสร้างเหตุการณ์เช่นนี้เพื่อยื้อเวลาให้ฝ่ายอื่นๆ เตรียมตัวรับมือได้ทัน
มอร์เฟียสยืนกรานหนักแน่นว่า ฝ่ายนรกจะต้องดำรงอยู่อย่างมั่นคงไปอีกอย่างน้อยยี่สิบปี
เดิมที จากการคำนวณเบื้องต้น กว่าที่ผู้เล่นจะสามารถทำลายนรกและเริ่มรุกรานสวรรค์ อย่างน้อยก็ต้องก้าวไปถึงการเลื่อนระดับคลาสที่ห้าเสียก่อน
แต่ในปัจจุบัน กริดกับกิลด์โอเวอร์เกียร์เผยให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่นรกจะถูกทำลาย
ถึงโอกาสจะต่ำกว่า 2% แต่มอร์เฟียสไม่ต้องการประเมินตัวแปรที่เกิดจากกริดต่ำเกินไปเหมือนในอดีต
ความหวาดระแวงดังกล่าว ก่อให้เกิดมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรขึ้น
มอร์เฟียสไม่ต้องการให้กริดกวางล้างนรกด้วยพลังของนักล่าอสูรยูร่า จึงทำการย้ายสมรภูมิไปยังโลกมนุษย์แทน
ตรงข้ามกับการปล่อยให้กริดและพวกพ้องบุกลงไปทำลายนรก มันต้องการให้ ‘โลกกึ่งกลาง’ ที่เป็นฐานของกริดกับกิลด์โอเวอร์เกียร์ ถูกทำลายไปพร้อมกับตัดกำลังเผ่ามนุษย์
นั่นคือวิธีที่มอร์เฟียสชื่อว่า นรกจะยืดเวลาการถูกทำลายออกไปได้อีกยี่สิบปี
“มีการประเมินว่า สิ่งนี้จะดีที่สุดในระยะยาว…”
“มีสัตว์อสูรและอสูรหลายชนิดที่ผู้เล่นสามารถรับมือไหว… ในมหาสงครามครั้งนี้ อาจมีมนุษย์จำนวนไม่น้อยที่พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด แต่ยังเร็วเกินไปหากจะพูดถึงแอสการ์ด”
“ถูกต้อง หากเป็นเนื้อหาในส่วนแอสการ์ด ศัตรูของส่วนใหญ่ผู้เล่นจะเป็นเทวทูตและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์… ไม่ว่าจะมองมุมใด ผู้เล่นในปัจจุบันก็ยังมิอาจรับมือกับตรีเอกานุภาพ”
“ไม่มีสิ่งใดรับประกันได้… หากผู้เล่นสวมใส่อาวุธที่กริดสร้าง เรื่องราวอาจเปลี่ยนไป”
“กริดแทบไม่ปล่อยอาวุธออกสู่ภายนอก… มอร์เฟียสควรประเมินค่าเฉลี่ยผู้เล่นด้วยหลักการนี้”
“ถ้ากองทัพอสูรขึ้นมาต่อสู้บนโลกกึ่งกลาง พวกเขาจะไม่เสียเปรียบเอาหรือ? และถ้ากริดกับพวกพ้องสามารถต้านทานไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นจะไม่เท่ากับทำให้อายุขัยของนรกสั้นลง?”
“หาก ‘ห้วงคุกนรก’ ถูกทำลาย โลกทั้งสองฝ่ายจะ ‘ผสาน’ เข้าด้วยกันบางส่วน และผลข้างเคียงที่อสูรจะได้รับบนโลกมนุษย์จะลดลง… จริงอยู่ จากโครงสร้างปัจจุบันของนรก มีโอกาสที่จอมอสูรจะต่อสู้กันเองระหว่างทาง แต่หากมีคามิคินคอยนำกองทัพ เรื่องแบบนั้นก็ยากที่จะเกิดขึ้น”
“หืม… คุณกำลังหมายถึงเจ็ดวิญญาณของอดีตตำนานในนรก? ถ้าคามิคินได้รับสิทธิ์ให้ใช้งานวิญญาณเหล่านั้น กองทัพนรกก็จะมีขุนพลระดับจอมอสูรเพิ่มอีกเจ็ดเลยไม่ใช่รึไง? แล้วผู้เล่นจะเอาอะไรไปรับมือ? ขอเรียนตามตรง นี่คือครั้งแรกที่ผมคิดว่ามอร์เฟียสประเมินพลาด…”
ขณะเหล่าคณะกรรมการกำลังกระวนกระวาย ภาพในวิดีโอเปลี่ยนจากนรกเป็นพื้นผิว
ระบุให้ชัดก็คือ เป็นโลกอีกฟากหนึ่งมากกว่าพื้นผิว
สุสานไร้ทายาท
ตามชื่อของมัน ที่นี่คือหลุมฝังศพที่ไม่มีใครดูแล เพราะทายาททั้งหมดถูกกำจัดทิ้ง
ทว่า อาณาเขตกับกว้างขวางเมื่อเทียบกับบรรยากาศอันโดดเดี่ยว
“สุสานของปฐมกษัตริย์แห่งฉิน?”
สีหน้าและแววตาที่แสนพึงพอใจของแอ็กนัส ช่วยให้เข้าใจได้ว่า สุสานขนาดมหึมาบนจอภาพเป็นหลุมฝังศพของใคร
ด้านในเป็นเขาวงกตอันกว้างใหญ่ราวกับไร้ก้นบึ้ง
แอ็กนัสเดินเตร็ดเตร่ภายในนั้นนานถึงหนึ่งสัปดาห์
ไม่มีกับดักหรือมอนสเตอร์รออยู่
อันที่จริง มันคิดว่าที่นี่ไม่น่าจะมีอะไรอยู่ด้วยซ้ำ
การเดินเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดหมายและไร้ผลลัพธ์เป็นเวลานาน ไม่ใช่เรื่องที่ทำใจง่ายเลยสักนิด
หากเปลี่ยนเป็นคนทั่วไป คงนึกถอนใจไปแล้วคนละสองสามครั้ง
ทว่า แอ็กนัสยังคงมุ่งหน้าก้าวเดินโดยไม่หยุดพัก
แม้สุดท้ายจะเป็นทางตัน มันก็มิได้สั่นคลอน ยอมย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ทางเข้าอย่างเยือกเย็น
มันถูกขังในวงกตแห่งความโศกมาทั้งชีวิต แค่ติดอยู่ในวงกตของจริงสักหนึ่งสัปดาห์จะเป็นอะไรไป
ความแข็งแกร่งของจิตใจแอ็กนัส ถูกผลักดันจนถึงขีดสุดด้วยชะตากรรมและการหล่อหลอม
“…”
สี่วันถัดมา ในที่สุดแอ็กนัสก็ได้พบถ้ำขนาดใหญ่ที่ว่างเปล่า
ถึงจะพูดว่าว่างเปล่า แต่ข้างในเต็มไปด้วยหลุมศพหลายร้อย
จะมีสิ่งใดถูกฝังอยู่ใต้ป้ายหินเหล่านี้?
แอ็กนัสเปิดใช้งาน ‘ปลุกศพ’ ส่งผลให้โครงกระดูกนิรนามจำนวนมากพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนพื้นดิน
ทันใดนั้น สีหน้าแอ็กนัสพลันแข็งทื่อ เนื่องจากโครงกระดูกสีขาวเหล่านี้ล้วนเป็นบริวารของใครสักคนอยู่ก่อนแล้ว
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ก็แค่สู้และเอาชนะให้ได้ก็พอ
***
กองทหารชนพื้นเมืองและกองทัพอันเดดกำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
แม้ ‘คนตาย’ และอัศวินของแอ็กนัสจะเป็นแนวหน้าในการปะทะ แต่สถานการณ์ก็มิได้ดีขึ้น
กองทัพชนพื้นเมืองที่รุกคืบเข้าหาอย่างแข็งแกร่ง ดูราวกับเป็นภูเขาขนาดมหึมาที่กำลังเหยียบย่ำทหารโครงกระดูกจำนวนมากอย่างไร้ความปรานี
เมื่อเทียบกับอันเดดที่แอ็กนัสเคยพบในถ้ำแรกเมื่อราวสองสัปดาห์ก่อน ชนพื้นเมืองที่นี่แข็งแกร่งกว่าอย่างเทียบไม่ติด
แต่กระนั้น แอ็กนัสยังคงดื้อรั้น
แม้จะพ่ายแพ้และสูญเสียทรัพยากรไปมากมายตลอดสองสัปดาห์ให้หลัง แต่แอ็กนัสก็ยังมุ่งมั่นที่จะเปิดศึกกับกองทัพชนพื้นเมืองอย่างไม่ย่อท้อ
มันพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาจุดอ่อนของชนพื้นเมือง
ต้องชอบคุณโชคเล็กๆ ที่ช่วยให้ทุกสิ่งง่ายขึ้น
หลังจากผ่านไปราวยี่สิบสี่วัน ในที่สุดแอ็กนัสก็ตีฝ่ากองทัพชนพื้นเมืองและเดินเข้าไปในห้องด้านหลัง
“…!”
บนใบหน้าที่มักไม่แสดงอารมณ์ ยามนี้กำลังเผยรอยยิ้มเย็นๆ
เป็นความกลัว – อารมณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับมัน ปัจจุบันกำลังพลุ่งพล่านสุดขีด
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เพราะในห้องเก็บศพถัดไป แทนที่จะเป็น ‘วิญญาณไร้ผู้สืบทอด’ ตามที่แอ็กนัสคาดหวัง ด้านในกลับยังคงเป็นกองทัพชนพื้นอีกกว่าหลายร้อย
แต่ทั้งหมดอยู่บนหลังม้า แถมยังเป็นระดับขุนศึก
เมื่อแอ็กนัสค้นพบความจริงเกี่ยวกับสุสานแห่งนี้ มันได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะ
มันตระหนักว่า ความฝันที่จะได้ครอบครอง ‘วิญญาณไร้ผู้สืบทอด’ ก่อนมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรจะปะทุขึ้น ไม่มีทางเป็นจริงได้ตั้งแต่ต้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สามสิบสี่วันอันแสนมีค่า ถูกผลาญไปอย่างสูญเปล่า
นี่คือฉากที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
“…ฟู่ว”
หากไปถึงตัว ‘วิญญาณไร้ผู้สืบทอด’ แอ็กนัสอาจเกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายมาเป็นพวกสำเร็จ หรือไม่ก็ใช้กำลังเข้าครอบครอง
เหล่าผู้บริหารที่กำลังมองหน้าจอ ถอนหายใจออกมาพร้อมเพรียง
“อย่างน้อยสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรก็คงไม่จบลงเร็วนัก”
“ต้องขอบคุณเรื่องที่แอ็กนัสสืบข้อมูลมาไม่ดี… หลังจากได้ยินว่าวิญญาณไร้ผู้สืบทอดเป็นอันเดด มันก็คิดจะฉวยโอกาสจากสิ่งนี้… แต่นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด วิญญาณไร้ผู้สืบทอดคือหนึ่งในจุดสูงสุดของตำนานผู้ล่า”
“ลำพังแอ็กนัสยังไม่สามารถท้าทายผู้ล่าได้ในตอนนี้… แน่นอน เรื่องราวจะเปลี่ยนไปหากเขาร่วมมือกับจอมอสูร”
“ร่วมมือกับจอมอสูร… เฮ้อ… แค่คิดตามก็สยองแล้ว พวกเราไม่มีทางเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากแอ็กนัสมีทัศนคติแบบเดียวกันกริดมาตั้งแต่แรก”
“ถูกต้อง… เขาคงฉวยโอกาสตีสนิทกับจอมอสูร และผู้ล่าทั้งหมดก็จะตกอยู่ในมือเขา… ถ้าเป็นกริดต้องทำสำเร็จแน่”
“รายชื่อผู้ส่งสารของกริด… ไม่ว่าจะดูกี่ทีก็น่าทึ่งมาก ไม่เพียงจะมีตำนานปัจจุบันและอดีตตำนาน แต่ยังรวมไปถึงเทวทูต หนึ่งในเจ็ดนักบุญภัยพิบัติ และแฮชลิ่ง…”
“นั่นคือสาเหตุที่มอร์เฟียสหวาดระแวงและสร้างเหตุการณ์นี้ขึ้น… เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้ทราบว่าแผนการใหญ่ของแอ็กนัสล้มเหลว พวกเราสามารถมองไปยังประเด็นถัดไป”
ถึงเวลาเข้าประเด็นหลัก
พวกตนควรมองดูเฉยๆ หรือยื่นมือเข้าแทรกแซง?
นี่คือทางแยกที่ SA กรุปต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
สายตาทุกคู่ของผู้บริหาร หันไปทางลิมชอลโฮที่เอาแต่ปิดปากเงียบ
ประธานใหม่ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะกล่าวพลางหรี่ตาลง
“ผมคิดว่า… การช่วยเหลือผู้เล่นเป็นสิ่งที่ควรทำ”
แรกเริ่มเดิมที กฎเหล็กของ SA กรุปคือการไม่แทรกแซงซาทิสฟาย เป็นนโยบายที่ดำเนินการอย่างเคร่งครัดจวบจนปัจจุบัน
ทว่า ลิมชอลโฮตัดสินใจยกเว้นเป็นกรณีพิเศษในครั้งนี้
หากเกิดมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร ผู้เล่นส่วนใหญ่จะสูญเสียบ้านและเมืองที่อาศัย โดยเฉพาะบรรดาคลาสที่ไม่ใช่สายต่อสู้
คนเหล่านั้นไม่มีพลังในการกำจัดกองทัพสัตว์อสูรและอสูรที่ถาโถมเข้าใส่ทวีป
มีแนวโน้มอย่างชัดเจนว่า หลายคนจะตัดสินใจเลิกเล่นซาทิสฟายถาวร
“แต่แน่นอน… ผมไม่ได้บอกให้พวกเราละเมิดกฎเหล็ก”
ประธานลิมชอลโฮพยายามรักษาความเยือกเย็นอย่างยากลำบาก
ท้ายที่สุด มันยอมกลืนน้ำลายตัวเองและเลือกจะแทรกแซงซาทิสฟายเพื่อช่วยเหลือผู้เล่น
ถึงจะมิได้กล่าวออกมาตรงๆ แต่เจตนารมณ์ของมันก็ถูกถ่ายทอดไปยังคณะผู้บริหาร
ประธานเอมี่สังเกตเห็นความนัยที่แฝงมากับประโยคเมื่อครู่
“คุณกำลังจะบอกว่า พวกเราควรประกาศต่อสาธารณะ เกี่ยวกับสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรที่กำลังจะมาถึง?”
เดิมที สงครามระหว่างมนุษย์และอสูรที่เซพาเดียเป็นผู้จุดประเด็น จะถูกเปิดฉากด้วยการโจมตีที่ไม่มีใครคาดคิด
เมื่อถึงวันนั้น ห้วงคุกนรกจะพังทลายอย่างกะทันหัน และกองทัพอสูรก็จะพรั่งพรูออกจากนรกราวกับไม่มีวันหมดสิ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงไททันที่สร้างขึ้นรอบๆ ห้วงคุกนรก จะถูกทำลายในชั่วข้ามคืน
ศูนย์กลางของจักรวรรดิซาฮารันจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ และมนุษยชาติก็จะเผชิญความสิ้นหวัง
ต่อให้ท้ายที่สุด มนุษย์เป็นฝ่ายชนะสงครามในอีกหลายเดือนให้หลัง แต่อารยธรรมส่วนใหญ่ก็จะถูกทำลายอย่างราบคาบ
“ใช่แล้ว… เราจะไม่บอกว่าสงครามจะเริ่มที่ไหน และเมื่อไร… เพราะนั่นจะถือเป็นการแทรกแซงที่น่าเกลียดเกินไป… และถ้าไตร่ตรองดูให้ดี การประกาศว่าจะมีมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?”
ในท้ายที่สุด ซาทิสฟายเป็นอุตสาหกรรมการบริการประเภทหนึ่ง
หากยกประเด็นนี้ขึ้นมารองรับการกระทำ มอร์เฟียสก็มิอาจโต้แย้งได้ด้วยหลักตรรกะ
ไม่กี่วันถัดมา เรื่องที่จะมี ‘มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร’ เกิดขึ้น กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ตามสื่อหลักทั่วโลก
ผู้คนมีปฏิกิริยาเป็นเช่นไรบ้าง?
ค่อนข้างผิดคาด หลายคนชื่นชอบ
ไม่มีใครคิดว่ากริดคือต้นตอของมหาสงคราม แต่เป็นการคาดเดาว่า นี่คือ ‘เส้นเรื่อง’ ของซาทิสฟายที่มีกำหนดการจะถูกเปิดตัวไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว
เมื่อมองเป็น ‘อีเวนต์’ หนึ่งของเกม หลายฝ่ายจึงตื่นเต้นและเลือดลมสูบฉีด
= ถ้ามีอสูรหรือจอมอสูรคลานมาถึงเท้าฉัน พวกมันก็แค่ก้อน EXP
= จะจอมอสูรหน้าไหนก็เข้ามาเลย เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นสูงมากแล้ว
= ถูกต้อง ᄏᄏ ก็อดกริดเพิ่งบุกถล่มนรกจนถึงขุมที่ยี่สิบเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเอง พวกมันอาจเป็นจอมอสูรในนรก แต่ถ้าขึ้นมาบนพื้นผิว พวกมันก็แค่ลูกหมา
= พิจารณาจากมาตรฐานปัจจุบันของเผ่ามนุษย์ กิลด์ขนาดเล็กถึงกลางสามารถล่าจอมอสูรหลักสามสิบได้ตามลำพัง
= ต้องเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดแน่! ตื่นเต้นฉิบ! นอนไม่หลับแล้ว! จะกอบโกยได้เท่าไรกันนะ ᄒᄒ
“การตอบสนองของผู้คน… ผิดไปจากที่คาดการณ์มาก”
“เฮ้อ…”
ประธานลิมชอลโฮยังคงทำหน้าขรึม
มันต้องการให้ผู้เล่นเตรียมพร้อมทำสงครามด้วยทุกสิ่งที่มี แต่ดูเหมือนจะผิดไปจากความตั้งใจพอสมควร
ส่วนใหญ่ตื่นเต้นและเฉลิมฉลองที่กำลังจะมี ‘อีเวนต์’
การแจ้งให้ทราบล่วงหน้า… อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดก็ได้…
เสียงถอนหายใจดังระงมไปทั่วสำนักงานใหญ่ SA กรุป
Comments
Post a Comment