จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,442



“ข้านึกว่าต้องตายเสียแล้ว”


คำพูดของเนเฟลิน่าฟังดูเกินจริงไปอย่างมาก


ดูเหมือนว่า ในการล่าเฮลกาโอ เธอจะเผชิญความยากลำบากไม่น้อย


จากมุมมองกริด นี่เป็นเรื่องที่ทำความเข้าใจได้ยาก


แน่นอน เฮลกาโอที่ปรากฏกายพร้อมศิลาอัคคีเจ็ดก้อนนั้นแข็งแกร่งมาก


แม้ร่างเนื้อจะถูกผนึก จนต้องยืมร่างสัตว์อสูรชั้นต่ำมายังโลกมนุษย์ แต่ความน่าเกรงขามของจอมอสูรลำดับเก้าก็ยังมิได้เลือนหายไป


อย่างไรก็ตาม หากผู้ส่งสารทั้งหกร่วมมือร่วมใจกัน การล่าเฮลกาโอย่อมไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรง


ไม่สำคัญว่าจะมีศิลาอัคคีสักกี่ก้อน แค่ขุดมันออกให้หมดก็พอ


ถึงจะลำบากไปสักนิด แต่กริดและเมอร์เซเดสก็เคยล่าสำเร็จด้วยสองคนมาแล้ว


เนเฟลิน่าอธิบายกับกริดที่กำลังสับสน


“เจ้าบราฮัมเสียสตินั่นไม่ยอมทำอะไรเลย เอาแต่ยืนดูอยู่เฉยๆ”


“เฮ่อ… น่าอับอายชะมัด ถึงกับต้องรวมทีมเพื่อล่าสิ่งมีชีวิตอ่อนแอเยี่ยงนี้”


“แถมซิกเฟรคเตอร์ก็ยังเอาแต่นอนหลับทับศิลาอัคคี!”


“ข้าเองก็ไม่ได้ต้องการเช่นนี้สักหน่อย”


“เมอร์เซเดสใช้เวลานานมากกว่าจะขุดศิลาอัคคีได้แต่ละก้อน!”


“ก็แกรนมาสเตอร์นอนหลับทับศิลาอัคคี ฉันต้องเสียเวลาทะลวงผ่านบาเรียอักขระของเขา”


“…”


กริดสรุปคำบ่นของเนเฟลิน่า:


บราฮัมเอาแต่ดูคนอื่นสู้โดยไม่ทำอะไรเลย ซิกเฟรคเตอร์ก็หลับโดยไม่ทำอะไรเลยเช่นกัน เป็นเหตุให้เมอร์เซเดสขุดศิลาอัคคีออกมาไม่ทันเวลา


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้ส่งสารทั้งสามซึ่งประกอบด้วยเนเฟลิน่า ซาลิเอล และปิอาโร่ ต้องคอยต่อสู้อย่างยากลำบาก


กริดเองก็คงหัวเสียถ้าเป็นเนเฟลิน่า


แต่ถึงอย่างนั้น มันจะทำอะไรได้ล่ะ?


ไม่มีใครกล้าออกคำสั่งกับบราฮัม ส่วนซิกเฟรคเตอร์ก็ถูกคำสาปเกียจคร้านเล่นงาน


การที่เมอร์เซเดสนำศิลาอัคคีออกมาได้ช้า ต้นตอเกิดจากปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุม


‘ถ้าไม่เผชิญเหตุการณ์เหนือความคาดหมาย ถึงจะไม่มีบราฮัมกับซิกเฟรคเตอร์ พวกเขาก็คงฆ่าเฮลกาโอได้สบายอยู่ดี… แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด คนที่ผิดคือเรา’


มันลืมคิดเรื่องที่บราฮัมจะเอาแต่ใจ และซิกเฟรคเตอร์จะถูกคำสาปเล่นงาน


มันมองข้ามผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดที่สามารถเกิดขึ้น


ดังนั้น กริดคือคนที่ต้องรับผิดชอบ


“ฉันขอโทษ เนเฟลิน่า… เพื่อเป็นการไถ่โทษ ฉันจะเพิ่มปริมาณอาหารให้”


อันที่จริง กริดมีแผนจะปรับปรุงปริมาณอาหารของเนเฟลิน่าอยู่แล้ว


ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอสู้เพื่อกริด


เธอมีสิทธิ์ได้รับผลตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ


ปัจจุบัน เนเฟลิน่ากำลังกินอาหารเป็นสามเท่าของน้ำหนักตัว


เทศมนตรีแร็บบิทคงไม่เห็นด้วยและแย้งว่า นิสัยการกินของเธออาจแย่ลงถ้ายังคงตามใจ แต่กริดเชื่อว่า หากเพิ่มปริมาณอาหารโดยอ้างว่าเป็นคำขอโทษ อีกฝ่ายคงจะไม่คัดค้าน


“หืม… ถ้านายพูดแบบนั้นล่ะก็…”


โทสะของเนเฟลิน่าเริ่มบรรเทา


อันที่จริง เธอมิได้ปรารถนาสิ่งตอบแทนจากการบ่น


เธอแค่ต้องการจะแหย่กริด


แต่เมื่อได้รับของขวัญแทนคำขอโทษ เนเฟลิน่าออกอาการเขินอายเล็กน้อย


ลึกๆ ภายในใจ เธอต้องการซัดหน้าบราฮัมสักหมัด แต่สุดท้ายก็มิได้ทำลงไปเพราะเชื่อว่า บราฮัมมิได้เป็นเพียงจอมเวทหรือแวมไพร์ธรรมดา


ในทำนองเดียวกัน บราฮัมเองก็ไม่กล้าล้ำเส้นกับว่าที่มังกรในอนาคต


มันกลืนคำในใจลงคอ เป็นคำพูดแดกดันทำนองว่า ‘หล่อนมันก็แค่หมูที่เอาแต่กิน’


“แล้วทำไมนายถึงเอาแต่ยืนดู?”


หลังจากผู้ส่งสารแยกย้าย กริดตามบราฮัมไปที่ภูเขาพร้อมกับยิงคำถาม


บราฮัมยิงดิสอินทิเกรตใส่ละโมบพลางตอบด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ


“เนเฟลิน่ากับซาลิเอลยังขาดประสบการณ์”


เนเฟลิน่าเป็นแฮชลิ่ง ส่วนซาลิเอลเคยอยู่บนสวรรค์ก่อนจะถูกขังในนรก


ด้วยสถานะและสายเลือด ทั้งสองมีความรู้กว้างขวางไม่ต่างจากปราชญ์ แต่ความรู้เพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่ช่วยให้ฝ่าฟันอุปสรรคได้ทุกชนิด


ถ้าต้องการเป็นประโยชน์กับกริดในอนาคต พวกมันต้องเปิดโลกให้กว้างกว่านี้


“เข้าใจแล้ว”


เมื่อค้นพบสาเหตุที่แท้จริงของการเอาแต่ยืนดู กริดยิ้มอย่างมีความสุข


บราฮัมขมวดคิ้ว


“ยิ้มทำไม?”


“เพราะฉันมีความสุข… และรู้สึกขอบคุณนาย”


การที่บราฮัมพยายามเพิ่มพูนประสบการณ์ให้ซาลิเอลกับเนเฟลิน่า ทั้งหมดก็เพื่อกริด


น่าเสียดายที่บราฮัมไม่ค่อยซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง


“เฮ่อะ! ข้าก็แค่ไม่อยากให้พวกนั้นเป็นตัวถ่วง”


“อา…”


กริดยิ้มหลังจากได้ยินข้ออ้างเห่ยๆ ของบราฮัม พลางนำมือลูบไปบนละโมบอย่างระมัดระวัง


มันสัมผัสได้ถึงเวทแสง


แสงอาจยังค่อนข้างสลัว แต่ก็เป็นเวทมนตร์ธาตุแสงที่มีพลังทำลายสูง


“เจ้านี่ผ่าดวงจันทร์ได้ไหม?”


ดาบจันทราดับได้พิสูจน์คุณค่าของมันด้วยการผ่ามีร์ออกเป็นสองท่อน


ใจจริง กริดต้องการเหล็กแสงจันทร์เพิ่ม แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอีกแล้ว


หลังจากอ่านความนัยที่แฝงมากับประโยค บราฮัมตอบหนักแน่น


“ตัดไม่ได้”


“…”


“หากมีร์เก่งกาจทัดเทียมบาเอลตามที่นายประเมินจริงๆ เจ้านั่นคงเป็นศัตรูที่ยากจะฟันให้ขาด”


ระดับตัวตนที่ใกล้เคียงเทพ


ยากจะหาสิ่งใดมาตัดขาด นอกเสียจากจะเป็นอริยดาบ


นั่นคือสาเหตุที่นามของอริยดาบเจิดจรัสในทุกยุคทุกสมัย


และยังเป็นเหตุผลที่ทำให้มุลเลอร์กลายเป็นราชาวีรบุรุษคนก่อน


“แต่ก็ยังมีพอสิทธิ์ที่จะกำราบอีกฝ่ายได้”


เพียงเพราะตัดไม่ขาด ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นอมตะ


หากการถูกฟันจนตัวขาดเป็นเพียงสาเหตุการตายเดียวของสิ่งมีชีวิต ป่านนี้คงไม่มีใครบนโลกตายด้วยเหตุผลอื่น


ทุกคนสามารถถูกทำลายจากภายใน


สัจธรรมข้อนี้ ยิ่งผู้ใดเข้าใจ ผู้นั้นยิ่งเข้าใกล้การต่อสู้ระดับสูง


“กริด อย่าใจร้อน”


การได้เห็นความจริงของซีกโลกอีกฟาก ไม่ได้แปลว่าต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันหรือรับผิดชอบ


เงาดำบนใบหน้ากริดที่เกิดจากการเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเทพ ถูกทำให้จางลงหลายส่วนด้วยคำปลอบประโลมที่ไม่ตั้งใจแต่อ่อนโยนของบราฮัม


“ทำตัวตามปรกติ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว… ไม่จำเป็นต้องหัวเสียกับสิ่งที่ไม่มีอยู่”


ไม่ว่าเหล็กแสงจันทร์จะทรงพลังสักเพียงใด แต่มันก็มิได้ครอบจักรวาล


ก็แค่โลหะที่สามารถมองข้ามระดับตัวตนและสถานะของเป้าหมาย


บราฮัมมองว่า กริดไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งนี้มากเกินไป


แน่นอน กริดเริ่มรู้สึกแบบเดียวกัน


***


การโต้วาที


ศึกดวลระหว่างคำพูด มิใช่ดาบหรือกำปั้น


ใครหลายคนอาจคิดว่าต้องเป็นการแข่งกันด่าทอหยาบคายและสกปรก แต่น่าประหลาด การโต้วาทีไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยผลลัพธ์ดังกล่าวเสมอไป


ความหยั่งรากลึกในศาสตร์แห่งความรู้ หากนำมาประกอบกับตรรกะและชั้นเชิงที่ยอดเยี่ยม ในบางครั้งก็งดงามและทรงพลังยิ่งกว่าคมดาบใดๆ


คำพูดสามารถเข่นฆ่าหรือช่วยเหลือได้ครั้งละหมื่นชีวิต แต่ดาบสามารถช่วยเหลือหรือเข่นฆ่าได้เพียงครั้งละชีวิตเดียว


นั่นคือเหตุที่การโต้วาที หรือในวงการนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเรียกกันว่า ‘PVP’ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก


ทั่วทั้งทวีปกำลังมีงานโต้วาทีเกิดขึ้นหลายจุดพร้อมๆ กัน


“บินช์! บินช์! บินช์!”


“เฮ้! บินช์! วันนี้ฉันแทงข้างนายนะ! อย่าเผลอโมโหและสบถคำหยาบจนต้องถูกหักคะแนนอีก! พยายามเข้า!”


จากบรรดาคลาสที่ไม่ใช่สายต่อสู้ทั้งหมด คลาสเกี่ยวกับการสนทนานั้นเติบโตได้ยากที่สุด


คงไม่มีคำใดอธิบายสถานการณ์ได้ชัดเจนไปกว่าสำนวน ‘สิ้นหวังอย่างแรง’


ช่างตีเหล็กผลิตไอเท็ม นักวิชาการอ่านหนังสือ และคลาสนอกสายต่อสู้อื่นๆ ล้วนมีวิธีพัฒนาตัวเองอันเป็นเอกลักษณ์ผ่านกิจกรรมบางอย่างภายในเกม ไม่จำเป็นต้องล่ามอนสเตอร์เพื่อเก็บเลเวลเสมอไป


แต่ในทางกลับกัน คลาสที่เกี่ยวข้องกับการพูด ยังคงต้องฆ่ามอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวล


คลาสเหล่านี้ไม่สามารถเก็บ EXP จากการโต้วาที โน้มน้าวใจผู้คน หรือเขียนกวีได้เลยหรือ?


จริงอยู่ที่ว่าได้ แต่นั่นเป็นเรื่องราวหลังจากการเลื่อนระดับครั้งที่สาม


ไม่ว่าจะเมืองหรือหมู่บ้านใดก็ล้วนมี NPC ที่ชำนาญการพูดคอยประจำการ จึงเป็นเรื่องยากที่ผู้เล่นเลเวลต่ำกว่าสามร้อยจะแย่งแทรกตัวเองเข้ามาในธุรกิจประเภทนี้


พวกมันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเก็บเลเวลด้วยทักษะอันน้อยนิด สร้างดีบัฟแก่เป้าหมายด้วยการพูด


ทว่า ดีบัฟเหล่านั้นมิได้ยอดเยี่ยมเท่ากับจอมเวทธาตุหรือจอมเวทมืด ส่งผลให้ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการของปาร์ตี้


ไม่ว่าจะเก็บเลเวลที่ใด พวกมันมักไม่ได้รับการต้อนรับสักเท่าไร


กว่าจะฆ่ามอนสเตอร์ได้สักตัว คลาสอื่นฆ่าไปได้กว่าสิบตัวแล้ว


แต่หากพัฒนาเลเวลจนถึงระดับหนึ่ง พวกมันจะกลายเป็นอีกหนึ่งขุมพลังสำคัญ


ดังเช่น ‘บินช์’ เป็นต้น


‘เสียงดังชะมัด’


เสียงเชียร์ดังมาจากผู้ชมนับพัน


ทั้งที่ได้รับการสนับสนุนอย่างล้นหลาม แต่บินช์กลับแสดงสีหน้าอึดอัดใจ


เป็นเวลากว่าสองปีแล้วที่มันถูกจ้างให้เป็นปากเสียงของ ‘ไลออนกรุป’


มันใช้คำพูดต่างๆ นานา เพื่อคอยรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มการค้า ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขข้อพิพาทหรือไกล่เกลี่ยกับชาวบ้าน


แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่ชินกับสายตาจำนวนมาก


เหนือสิ่งอื่นใด มันไม่ชอบเวที


การโต้วาทีนับเป็นการแข่งระหว่างกลุ่มการค้าที่ได้รับความสนใจอย่างมาก


พวกมันต้องเผยจุดอ่อนทางธุรกิจของคู่ต่อสู้และเรียกเสียงฮือฮา


เช่นนั้นแล้ว ทำไมถึงไม่กระทำอย่างลับๆ ในห้องมืด?


ไม่มีใครทราบคำตอบ แต่เหล่าพ่อค้าถึงกับลงทุนเช่าสังเวียน PVP และดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาเข้าชม


การโต้วาทีนับเป็นอีกหนึ่งวิธีทำเงินของพ่อค้า


‘เราไม่ใช่ลิงในสวนสัตว์สักหน่อย’


บินช์ไม่ชื่นชอบการปรากฏตัวบนเวทีนัก


แน่นอน นี่ไม่ได้หมายความว่ามันจะหนีจากการแข่ง หรือลาออกจากงานในฐานะโฆษก


การโต้วาทียังมีบางสิ่งที่ช่วยสนองอุปนิสัยอันบิดเบี้ยวของมัน


ใช่แล้ว หากเนื้อหาของการโต้วาทีสร้างความเสียหายให้กับนายจ้าง บินช์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆ (สัญญาระบุไว้เช่นนี้)


แถมการโต้วาทียังเป็นโอกาสทองที่จะได้สร้างชื่อเสียงและเก็บค่า EXP อย่างล้นหลาม


ไม่มีเหตุผลให้ต้องถอนตัว


‘เจ้านี่ไม่มั่นใจในตัวเอง’


บินช์พ่นลมหายใจเย้ยหยันหลังจากคู่ต่อสู้ยังไม่ปรากฏตัว ทั้งที่เลยเวลามาแล้วหนึ่งนาที


ในบางครั้งก็มีคนประเภทนี้เข้าร่วมงาน เป็นการจงใจมาสายเกินกว่าเวลาแข่ง


เป็นแทคติกทางจิตวิทยาประเภทหนึ่ง แต่ก็ตื้นเขินในสายตาบินช์


มันไม่เคยแพ้คนแบบนี้


“ยิ่งใหญ่มาจากไหนกัน ถึงได้กล้ามาสายขนาดนี้?”


“สาวกแห่งความเที่ยงธรรม? นี่คือชื่อตัวละครจริงๆ หรือ? เห่ยชะมัด”


“คึฮ่าฮ่าฮ่า! ไอ้พวกเบียว! คราวนี้เป็นลอเอลประเภทไหน?”


“น่าเบื่อชะมัด! รีบๆ ขึ้นมาได้แล้ว ไอ้ลูกกะ*รี่! ถ้าไม่อย่างนั้นก็จ่ายค่าตั๋วมา!”


คนดูเริ่มส่งเสียงโห่คู่ต่อสู้ของบินช์


นี่เป็นเกมการแข่งขันของสุภาพชนอันเปี่ยมไปด้วยขนมธรรมเนียมและสติปัญญา ไม่เหมือนกับการนองเลือดแสนป่าเถื่อนของ PVP


การโต้วาทีคือกีฬาที่บรรดา ‘เกรียนคีย์บอร์ด’ ชื่นชอบทั้งเข้าร่วมและรับชม


ท่ามกลางความวุ่นวาย ผู้คนอาจส่งเสียงสร้างความโกลาหล แต่บินช์เลือกจะตรวจสอบคู่แข่ง


‘สังกัดกลุ่มพ่อค้าแลนดี้… ชื่อตัวละคร: สาวกแห่งความเที่ยงธรรม… ไม่เปิดเผยอันดับ’


นักพูดส่วนใหญ่จะซ่อนอันดับของตัวเอง


ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความอับอาย เนื่องจากอันดับส่วนใหญ่จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ย


บินช์ไม่แยแสอันดับที่เป็นปริศนาของคู่ต่อสู้ แต่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับกลุ่มการค้าแลนดี้


‘กลุ่มการค้าแลนดี้… ว่ากันว่าคอยจัดหาคนไปทำงานในเหมืองแร่ฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิ…’


กลุ่มการค้าที่ขายมนุษย์เป็นสินค้า


ประวัติศาสตร์ของพวกมันยาวนาน แต่ขนาดธุรกิจไม่ใหญ่มาก


จากข้อมูลของกลุ่มการค้าไลออน ธุรกิจของกลุ่มการค้าแลนดี้กำลังดำเนินไปในทิศทางที่ไม่ค่อยดีนัก


‘พวกมันท้าแข่งโต้วาทีกับเราด้วยเหตุผลทางด้านค่าแรงคนงาน’


ปัญหาเริ่มขึ้นหลังจากกลุ่มการค้าไลออนแผ่ขยายเข้าไปในฝั่งตะวันออกของจักรวรรดิและเริ่มยึดครองแรงงานในละแวกใกล้เคียง


กลุ่มการค้าไลออนซื้อใจแรงงานด้วยค่าแรงมหาศาลโดยไม่สนใจตลาดเดิม ส่งผลให้กลุ่มการค้าแลนดี้ต้องนั่งตบยุง


อัตราการจ้างงานของกลุ่มการค้าแลนดี้หยุดชะงักทันทีด้วยเหตุผลทางด้านภาระค่าแรง


พวกมันมิได้ร่ำรวย… ไม่น่าจะมีปัญญาจ้างโฆษกเก่งๆ ซึ่งมีราคาแพง


“ขึ้นมาแล้ว!”


“ในที่สุดก็จะเริ่มสักที!”


คู่ต่อสู้ของบินช์เดินขึ้นเวที


เป็นใบหน้าที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน


สาวกแห่งความเที่ยงธรรม รูปลักษณ์แปลกประหลาดพอๆ กับชื่อ


บินช์วางแผนโจมตีเข้าไปตรงๆ


นั่นคือการระบุว่า เพดานค่าแรงที่กลุ่มการค้าแลนดี้เสนอขึ้นมา ขัดต่อหลักสิทธิและคุณค่าของแรงงาน


นี่คือข้ออ้างที่กลุ่มการค้าไลออนถือไพ่เหนือกว่า


อย่างน้อยในการโต้วาทีครั้งนี้ บินช์ก็ไม่ได้อยู่ในสถานะตกเป็นรอง


[ฝั่งตรงข้ามยอมรับการโต้วาที]


มันส่งคำท้าไปยังอีกฝ่ายที่เดินขึ้นมาแข่งทันเวลาฉิวเฉียด และทางนั้นก็ตอบตกลงทันที


ในสายตาบินช์ หัวข้อการแข่งปรากฏขึ้นพร้อมกับ ‘หลอดสภาพจิตใจ’ ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสจำนวนสิบหลอด


หลังจากนี้ ทั้งสองจะแลกเปลี่ยนการตอบโต้ทางวาจา


ทุกครั้งที่ล้มเหลวในการหักล้างตรรกะของฝ่ายศัตรู หรือการพูดในสิ่งที่ขัดแย้งกับตัวเอง หลอดสภาพจิตใจจะหายไปหนึ่งช่อง


สำหรับคราวนี้ ฝั่งที่เริ่มก่อนคือสาวกแห่งความเที่ยงธรรม


“วันที่ได้รับเงินเดือนก้อนแรก นายซื้อของขวัญให้พ่อแม่กี่ชิ้น?”


“…?”


คำถามไม่สอดคล้องกับหัวข้อเลยสักนิด


บินช์เชื่อว่า ระบบจะทำการหักหลอดสภาพจิตใจโดยอัตโนมัติ ทว่า ประโยคของอีกฝ่ายยังไม่จบลง


“นายควรเจียดเงินสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนซื้อของขวัญให้พ่อแม่ ถ้าไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นลูกทรพี… ฉันเชื่อว่าสิบเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนนายน่าจะพอซื้อเสื้อกันหนาวหนึ่งเซต แต่หลังจากที่นายได้ขึ้นเงินเดือนเป็นสองเท่าในเดือนหน้า นายช่วยซื้อเสื้อกันหนาวให้พ่อกับแม่สองเซตได้ไหม?”


“…?”


คงเพราะสถานการณ์ตรงหน้าผิดแผกพิสดารเกินไป ระบบจึงวิเคราะห์คำพูดของอีกฝ่ายได้ล่าช้า


หลอดสภาพจิตใจเหนือศีรษะ <สาวกแห่งความเที่ยงธรรม> เพิ่งถูกลบออกไปหนึ่งช่อง


แม้จะเป็นคิวตอบโต้ของบินช์ แต่สาวกแห่งความเที่ยงธรรมยังคงพล่ามไม่หยุด


บทลงโทษของการไม่สนใจ ‘รอบ’ ส่งผลให้หลอดจิตใจของอีกฝ่ายลดเพิ่มไปสองช่อง แต่ดูเหมือนทางนั้นจะไม่แยแส


“แน่นอนว่า ถ้าเงินเดือนของนายเพิ่มขึ้นสองเท่า นายสามารถซื้อได้สองเซต… แต่ถ้าเงินเดือนของทุกคนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า นายจะไม่มีทางซื้อได้แม้แต่เซตเดียว อย่าว่าแต่สอง… การเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันของค่าแรงจะมาพร้อมกับสภาวะเงินเฟ้อ”


“เปรียบเทียบสุดโต่งเกินไปแล้ว! นายเป็นเด็กสาขาศิลปะรึไง? ก็ได้ ฉันจะอธิบายเศรษฐศาสตร์มหภาคและจุลภาคให้เด็กศิลป์อย่างนายฟัง…”


“เมื่อถึงตอนนั้น แค่ซื้อเสื้อกันหนาวได้สักตัว นายก็จะดีใจจนกระโดดโลดเต้น… งานของประจำของนายจะได้รับผลกระทบจากการที่ค่าแรงและราคาสินค้าอุปโภคเพิ่มขึ้น… นายจะถูกบริษัทเลิกจ้างและต้องนอนบนถนน เมื่อถึงตอนนั้น นายจะไม่มีปัญญาซื้อแม้แต่ถุงเท้ากันหนาวให้พ่อแม่ อย่าว่าเสื้อกันหนาวเลย… แบบนั้นมันโหดร้ายนะ… ว่าไหม?”


‘ไอ้บ้านี่…’


สาวกแห่งความเที่ยงธรรมกำลังระเบิดตัวเอง


หลอดสภาพจิตใจลดเหลือเพียงสองช่องเนื่องจากไม่สนใจกฎของ ‘รอบ’ และเอาแต่พล่ามไร้สาระ


บินช์เชื่อว่าตนชนะแล้ว จึงเอาแต่ปิดปากเงียบ


ภายในใจนึกเย้ยหยันกลุ่มการค้าแลนดี้ที่จ้างคนเสียสติมาแข่งโต้วาที


แต่ทันใดนั้นเอง


“ด้วยเหตุนี้ กลุ่มการค้าไลออนของพวกนายจึงถูกตัดสินว่าบกพร่องด้านจริยธรรม!”


สาวกแห่งความเที่ยงธรรมตะโกนกึกก้อง


เป็นคำพูดโพล่งที่กลวงๆ ปราศจากเหตุและผลรองรับโดยสิ้นเชิง


ขณะบินช์พ่นลมหายใจ ดวงตาของมันพลันเบิกกว้าง


[ท่านถูกอีกฝ่ายวิจารณ์อย่างรุนแรง]


[เกิดความเสียหายใหญ่หลวงกับสภาพจิตใจ!]


[ท่านโกรธตนตัวสั่นและพูดไม่ออก สมองของท่านกำลังขาวโพลน!]


‘อะไรกัน…?’


กฎและตรรกะที่คอยควบคุมการแข่งโต้วาที


มีบางตัวแปรที่สามารถแทรกแซงสิ่งเหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือทักษะ ‘วาจาอาฆาต’ ‘สบถ’ และ ‘ไม่แยแส’


ทักษะ ‘ไม่แยแส’ จะทำให้คำตอบโต้ของศัตรูเป็นหมัน ส่วนวาจาอาฆาตและสบถคือท่าที่จู่โจมใส่ ‘หลอดสภาพจิตใจ’ ของศัตรูได้โดยตรงชนิดที่ไม่สนใจตรรกะ


ในทางปฏิบัติ เป็นเรื่องยากที่จะใช้ทักษะประเภท ‘วาจาอาฆาต’ และ ‘สบถ’ ใส่คลาสนักพูด เพราะพวกมันเกิดมาพร้อมกับทักษะ ‘ปราการจิตใจ’


หากการใช้งานวาจาอาฆาตและสบถมิอาจทะลวงผ่านปราการจิตใจ ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นในทิศทางย้อนกลับ สภาพจิตใจของผู้โจมตีจะลดทอนลงในปริมาณมหาศาล


ทักษะปราการจิตใจของบินช์มีระดับสูงถึง <ขั้นสูง> Lv.4


หากต้องการให้ ‘วาจาอาฆาต’ และ ‘สบถ’ ทะลวงผ่านปราการจิตใจของบินช์ได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ผู้จู่โจมจะต้องมีทักษะทั้งสองอย่างน้อยระดับ <ช่างฝีมือ> Lv.4


ใบหน้าของบินช์พลันขาวซีดเมื่อเห็นหลอดสภาพจิตใจลดลงอย่างฮวบฮาบ


“ห…หรือว่านายคือ…!”


นักด่าพ่อล่อแม่ ฮิวรอย


บินช์กำลังเผชิญหน้ากับผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักพูดทุกคนบนโลก


ตำนานแห่งนักด่าพ่อล่อแม่


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,948
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ



Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00