จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,340
อุปราคา
กลุ่มนักลอบสังหารที่แข็งแกร่งและป่าเถื่อนที่สุดซึ่งดำรงอยู่มานานนับพันปี ปัจจุบันพวกมันกำลังรับใช้ลันเทียร์ - เฟคเกอร์ ขณะเดียวกันก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับกลุ่มใหม่ที่มีนามว่า หน่วยเงาโอเวอร์เกียร์
ชีวิตซึ่งปราศจากการทำร้ายคนบริสุทธิ์ ไม่ต้องลักพาตัวเด็กชายและเด็กหญิงมาชุบเลี้ยง ทำให้จิตใจของพวกมันได้พบกับความสงบสุข
แม้จะถูกล้างสมองจนหัวใจด้านชาต่อคำสั่งเลวทรามทุกชนิดที่ออกจากปากหัวหน้ากลุ่ม แต่ภายในใจลึก ๆ ก็ยังเป็นเพียงมนุษย์
ว่ากันตามตรง พวกมันชื่นชอบวิถีชีวิตภายในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
หลังจากความรู้สึกที่เคยหายไปเริ่มกลับคืน ชีวิตใหม่ได้มอบความสุขกายสบายใจเป็นอย่างมาก ไม่ติดขัดในเรื่องใดเลยนอกจากชื่อองค์กรที่ค่อนข้างประหลาดอย่าง ‘โอเวอร์เกียร์เงา’
ทว่าในวินาทีนี้ ทุกคนเริ่มเกิดความกังขา
‘ร้านอาหาร…?’
ภารกิจสำคัญเร่งด่วน
เหล่ามือสังหารต่างมารวมตัวกันตามคำสั่งของลันเทียร์
คำสั่งที่ถูกระบุว่ามาจากราชาโอเวอร์เกียร์โดยตรง มอบความฉงนกับทุกคนโดยพร้อมเพรียง
เนื้อหาของภารกิจชวนให้สับสนจนอารมณ์แต่ละคนเริ่มผันผวน
แยกย้ายไปตามหาร้านอร่อยที่มีอยู่ทั่วทวีป?
ฟังดูเป็นภารกิจที่ยากยิ่งกว่าการค้นหาและทำลายเป้าหมายอย่างไรร่องรอยเสียอีก
“ขอบังอาจถามอะไรสักข้อได้หรือไม่”
นักลอบสังหารอัจฉริยะเจ้าของฉายา ‘ความเงียบจุติ’
รหัสในองค์กร 166 ตำแหน่งอันดับสามแห่งอุปราคา
เมื่อชายคนดังกล่าวยกมือ เฟคเกอร์อนุญาตให้พูด
“…ร้านที่ขายอาหารอร่อย คำสั่งนี้ไม่ผิดพลาดใช่ไหม”
“ไม่ผิดพลาด”
“อาหารอร่อยคืออะไร? มิใช่ว่าอาหารเป็นเพียงเครื่องมือเติมเต็มความอิ่มท้องหรอกหรือ?”
มือสังหารทุกคนถูกลักพาตัวตั้งแต่เด็กก่อนจะรู้ความ ถูกปลุกปั้นขึ้นมาในฐานะมือสังหารเลือดเย็นของอุปราคา
ความอยากอาหาร ความใคร่ ความปรารถนาในวัตถุ
รสชาติอาหารเป็นเพียงสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับพวกมันที่ตัดขาดจากอารมณ์ส่วนเกินทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ‘รสชาติอาหาร’ จึงเป็นแนวคิดที่ไม่มีใครในอุปราคาเข้าใจ
“…”
เฟคเกอร์มองไปยังกลุ่มมือสังหารที่แสดงสีหน้าสับสนหลังจากถูกตนสั่งให้รวบรวมอาหารอร่อยมาลองทดสอบ
“พวกนายควรลองสัมผัสด้วยตัวเอง”
เมื่อเฟคเกอร์ส่งสัญญาณ เหล่านักลอบสังหารเริ่มลงมือกิน
ผ่านไปไม่นาน บางคนเริ่มวางมีดส้อมลง เพราะมันมิอาจรับรสอาหาร
ในวินาทีที่เริ่มอิ่มเล็กน้อย ร่างกายพวกมันจะปฏิเสธอาหารทันที เป็นผลมาจากการถูกฝึกพิเศษตลอดปลายปีที่ผ่านมา
“…หืม”
ดูเหมือนภารกิจการค้นหาร้านอร่อยทั่วทวีปจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
แนวคิดเกี่ยวกับรสชาติไม่สามารถวัดผลได้ด้วยการประเมินทางกายภาพหรือตัวเลข ขณะเดียวกันก็ไม่ควรเชื่อคำวิจารณ์ของคนอื่น
เฟคเกอร์เองก็เคยผิดหวังอยู่หลายหน หลังจากแวะไปกินร้านอร่อยตามที่โซเชียลมีเดียแนะนำ
อาศัยประสบการณ์ตรงของตัวเอง เฟคเกอร์ไม่กล้าเชื่อคำวิจารณ์ร้านอาหารจนกว่าคนของตนจะเข้าไปทดสอบ นั่นคือที่มาของการสั่งให้เหล่าอุปราคาลองชิมอาหาร
แต่กลับกลายเป็นว่า มือสังหารของอุปราคาสูญเสียต่อมรับรสไปแล้ว
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ
เฟคเกอร์ครุ่นคิดสักพักก่อนออกคำสั่งกับมือขวา
“ไปบอกให้ไอดานเตรียมอาหารกลางวัน”
“ขอรับ”
ผ่านไปสักพัก
“อ๊ากกกกก!”
หลังจากกินอาหารของไอดานเข้าไป เหล่ามือสังหารของอุปราคาเริ่มตระหนักถึงรสชาติสุดบรรลัย บางคนสามารถกลับมาลิ้มรสได้อีกครั้ง
เห็นเช่นนั้น เฟคเกอร์ออกคำสั่ง
“แยกย้ายไปตามร้านอาหารทั่วทวีปและส่งรายงานกลับมา”
“ขอรับ!”
มือสังหารหลายร้อยคน หายตัวไปกับความมืดและเริ่มปฏิบัติการ
***
“ฝ่าบาทด่วนตัดสินใจเกินไป”
สติกส์ทำหน้าเครียดหลังกริดกลับจากหอแห่งปัญญาและเล่าสิ่งในที่เกิดขึ้น
มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจความคิดมังกร โดยเฉพาะมังกรที่มีชีวิตอยู่และปกครองโลกนี้มาอย่างยาวนาน
ประการแรก พวกมันไม่เข้าใจความสำคัญของชีวิต สนเพียงการทำตามอำเภอใจ มังกรไม่รู้จักความเห็นอกเห็นใจ ไม่คำนึงถึงสิ่งรอบตัว หากหงุดหงิดเพียงเล็กน้อยก็จะโมโหและทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
คล้ายกับการมอบพลังทำลายโลกให้กับเด็กอายุสี่ขวบ
นั่นคือนิยามของมังกรที่สติกส์เชื่อมาตลอด
“ก็อย่างที่ฝ่าบาททรงทราบ กระหม่อมเคยเผชิญหน้ากับมังกรจอมเขมือบและถูกสาปมาแล้ว”
กริดเคยได้ยินเรื่องนี้ขณะพยายามผ่านบททดสอบบนหมู่เกาะเบเฮ็น
มังกรส่วนมากเป็นพวกก้นหนักและมักไม่ออกไปไหนด้วยร่างจริง บ่อยครั้งจะใช้ร่างอวตารที่สร้างจากเวทมนตร์
มังกรจอมเขมือบที่สติกส์เคยเผชิญหน้าก็เป็นร่างอวตาร
“ต้นไม้โลก… เป็นเพราะเหล่าเอลฟ์ต้องการปกป้องต้นไม้โลกซึ่งเปรียบเสมือนมารดา หายนะครั้งใหญ่จึงบังเกิด หัวใจของกระหม่อมถูกสาป มิอาจปกป้องท่านมารดาเอาไว้ได้ มังกรจอมเขมือบกระชากรากเกินกว่าครึ่งของมารดาออกไป จากนั้นก็เขมือบต่อหน้าเหล่าเอลฟ์”
“…”
“เจ้านั่นเป็นพวกต่ำทราม… ฝ่าบาทรับมือไม่ไหวแน่”
กริดเข้าใจในสิ่งที่สติกส์กังวล
ว่ากันตามตรง ชายหนุ่มเองก็เกรงกลัวการเผชิญหน้ากับมังกร แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะลองเชื่อคำพูดฮายาเตะ
ฮายาเตะกล่าวไว้อย่างชัดเจน : ไรเดอร์สคือมังกรที่รับมือได้ง่ายที่สุด จะไม่มีหายนะใดเกิดขึ้นหากเจ้านั่นถูกเติมเต็มความอยากอาหาร
‘เราต้องคัดสรรคุณภาพร้านอย่างละเอียด…’
ชายหนุ่มจำเป็นลงมือด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการเดินทางไปยังอาณาจักรข้างเคียงและจักรวรรดิเพื่อขอความช่วยเหลือ ทั้งองค์จักรพรรดินีและเหล่าราชาต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่แน่
สิ่งที่กริดคาดคิดเป็นความจริง
“ในไททันมีร้านดังอยู่มากมาย บรรดาขุนนางมักแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเสมอ บรรยากาศภายในร้านจึงถูกตกแต่งเป็นอย่างดี รสชาติอาหารก็เป็นเลิศ ฝ่าบาทกริดอยากลองชิมไหม? ดิฉันอาสาพาไปเอง”
จักรพรรดินีบาซาร่าเสนอแนะอย่างกระตือรือร้น
ผู้นำสูงสุดของจักรวรรดิเพียงแห่งเดียวในซาทิสฟาย ชาติมหาอำนาจที่มีอิทธิพลสูงที่สุดของทวีปตะวันตก ปรารถนาจะให้ความร่วมมือกับกริดโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
จักรพรรดินีถึงขั้นอาสาพาไปชิมด้วยตัวเอง?
บรรดาขุนนางและข้าราชการระดับสูงต่างแสดงสีหน้ากังวล
“ฝ่าบาทมหาจักรพรรดิ เดี๋ยวกระหม่อมจะไปพาตัวพ่อครัวมาที่วังหลวงให้เอง กรุณาถนอมพระวรกายอันมีค่าของพระองค์ด้วย”
เมื่อได้เห็นหลายฝ่ายพยายามห้ามบาซาร่า อริยหอกเรเชลถอนหายใจ
‘เหตุใดผู้ที่มีตำแหน่งบริหารบ้านเมืองถึงไม่มีไหวพริบเลยสักนิด’
องค์จักรพรรดินีต้องทรงไม่พอพระทัยแน่
เรเชลคิดเช่นนั้น
แต่ในความเป็นจริง บาซาร่าทำเพียงยิ้ม
รอยยิ้มอันเงียบงันของเธอทำให้ความโกลาหลของขุนนางสงบลง
“การประเมินคุณภาพร้านอาหารมิได้คำนึงถึงเรื่องรสชาติเพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงบรรยากาศของร้าน ทัศนคติของพนักงาน เรากับฝ่าบาทกริดจึงควรแวะไปชิมด้วยตัวเอง”
“พระวรกายอันเลอค่าดุจดังหยกขององค์จักรพรรดินีคือสิ่งสำคัญที่สุดของจักรวรรดิ พระองค์ไม่ควรออกจากวังหลวง ไม่อย่างนั้นประชาชนอาจไม่สบายใจ…”
“เราจะไป”
“…ขอรับ”
ตลอดการสนทนา บาซาร่ามิได้หุบยิ้มแม้แต่ครั้งเดียว ทว่าน้ำเสียงอันเยือกเย็นของเธอทำให้ขุนนางสัมผัสถึงความไม่พอใจเล็ก ๆ
บาซาร่าเมินกลุ่มขุนนาง หันมากล่าวกับกริด
“ดิฉันจะเร่งมือเตรียมการให้เสร็จ ฝ่าบาทช่วยรอสักครู่ได้ไหม”
“รอได้ทั้งคืน ไม่ต้องรีบ”
กริดนับถือบาซาร่าอย่างมากในฐานะจักรพรรดินี
ตนอาจเหนือกว่าอีกฝ่ายในแง่ความแข็งแกร่งของไอเท็มและการดวล แต่หากเป็นด้านอิทธิพลและพลังอำนาจ ชายหนุ่มทราบว่าตนยังเป็นรองอยู่หลายขุม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะแสดงความเคารพในฐานะพวกพ้องและผู้ให้ความช่วยเหลือที่ไว้ใจได้
ทว่าบาซาร่ากำลังเข้าใจผิด
รอได้ทั้งคืน…
ขณะเดินออกจากท้องพระโรงใหญ่ หญิงสาวเผยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยกับคำพูดแสนโรแมนติก
แตกต่างจากบรรดาคนใช้ที่รีบตามหญิงสาวออกไป อริยหอกเรเชลและราชาสัตว์ป่ามอริสยังคงยืนคุยกับกริด
“ไม่ได้พบกันเสียนาน เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ฝ่าบาทกริดเสด็จมาเยือนด้วยตัวเอง”
ดยุคเรเชลคือทายาทของวีรชนผู้ก่อตั้งจักรวรรดิซาฮารัน เจ้านายคนเดียวที่เธอก้มหัวรับใช้คือมหาจักรพรรดิผู้ปกครองซาฮารันทุกรุ่น
ในทางสามัญสำนึก เรเชลสามารถคิดได้ว่า ทุกคนนอกจากองค์จักรพรรดิล้วนมีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าตน แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวกลับแสดงท่าทีสุภาพต่อกริดเป็นอย่างมาก และไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ว่า อีกฝ่ายคือราชาของอาณาจักรพันธมิตร
เรเชลเคารพกริดในฐานะนักรบผู้สง่างาม สงครามกับจอมอสูรที่หุบเขาได้ทำให้หญิงสาวเกิดความเลื่อมใสศรัทธา
เช่นเดียวกันกับราชาสัตว์ป่ามอริส ทั้งคู่ล้วนเคยถูกกริดช่วยเหลือ
“เมื่อไม่นานมานี้ ดยุคเกล็นฮาลได้รับแรงบันดาลใจบางอย่างหลังกลับจากการเยี่ยมเยียนอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ น่าเสียดายที่กระหม่อมมิอาจเดินทางไปพร้อมเกล็นฮาล ช่วงนั้นดันเกิดปัญหาภายในดินแดนขึ้นพอดี”
ภาพของมอริสที่พยายามใช้คำสุภาพ ค่อนข้างแปลกตาสำหรับกริด
ชายคนนี้มีฉายาว่าราชาสัตว์ป่า ร่างกายกำยำบึกบึน ท่าทีแข็งกระด้างคล้ายกับไม่เคยฝึกมารยาท กริดจึงนึกขบขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายพยายามระวังคำพูดคำจา
“พวกเราจะพบกันเมื่อไรก็ได้ เช่นตอนนี้เป็นต้น ดังนั้นไม่จำเป็นต้องขอโทษกัน”
ท่าทีเป็นกันเองและอ่อนโยนของกริดทำให้เรเชลและมอริสถึงกับขนลุก
เพื่อน
ทั้งสองต่างดีใจที่กริดยังมองความสัมพันธ์กับพวกตนในแบบเดิม
ขณะบรรยากาศกำลังชื่นมื่น
“หนวกหูชะมัด”
เสียงหงุดหงิดของใครบางคนดังภายในโถงใหญ่
เรเชลและมอริสต่างขมวดคิ้วเมื่อทราบตัวตนเจ้าของเสียง
อย่างไรก็ตาม ด้วยฐานะขุนนางผู้ภักดีของจักรวรรดิ ทั้งสองไม่กล้าเพิกเฉยต่ออีกฝ่าย ตัดสินใจหันไปโค้งศีรษะคำนับ
“อยู่ที่นี่ด้วยหรือ องค์ชายดูรันดัล”
“เฮ่อะ”
ดูรันดัลส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปทางเรเชลและมอริส ก่อนจะเดินตรงมาหากริด
กลิ่นเหล้าอาจโชยหึ่ง แต่กริดมองออกว่าดูรันดัลไม่ได้เมา กลิ่นและขวดเหล้าในมือเป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบฉากสำหรับการแสดง
“สมแล้วที่เป็นกษัตริย์ไร้หัวนอนปลายเท้า ไม่มีมารยาทเลยสักนิด… ไม่รู้หรือว่าห้ามมิให้ใครอยู่ในท้องพระโรงหลังจากองค์จักรพรรดินีเสด็จออกไป? หากมาที่นี่เพื่อหวังขอส่วนบุญ ช่วยออกไปรอด้านนอกอย่างเจียมตัวด้วย กล้าดียังไงถึงยังอยู่ในท้องพระโรงและหายใจสร้างมลพิษ?”
“องค์ชาย! ระวังคำพูดด้วย!”
เรเชลและมอริสตะโกน แต่นั่นไม่เกิดประโยชน์
ดูรันดัลหันมาตำหนิเรเชลและมอริส
“พวกเจ้าลืมธรรมเนียมอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิไปแล้วหรือ แม้แต่ข้ายังจำได้ตั้งแต่เด็ก น่าละอายยิ่งนักที่ขุนนางใหญ่กลับไม่ทราบเรื่องนี้… เอาแต่เล่นไร้สาระกับราชาอาณาจักรเล็กจนลืมตัว? แถมยังกล้าขึ้นเสียงกับราชวงศ์ที่พวกเจ้าต้องรับใช้… น่าสมเพช”
“องค์คงขาดสติเพราะดื่มมากไป ดิฉันหวังว่าพรุ่งนี้จะสำนึกได้และออกมาขอโทษ”
เรเชลพ่นถ้อยคำเย็นชา หันหลังส่งสัญญาณบอกกริดว่าตนไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว
ทันใดนั้น
“กล้าหันหลังให้ข้าเชียวรึ!”
องค์ชายดูรันดัลตะโกนออกมาในสภาพเมามาย แต่โทสะในวินาทีนี้มิใช่การแสดง มันออกจากก้นบึ้ง
“เจ้ากล้าดียังไงถึงหันหลังให้? ตัวข้าซึ่งเป็นคนของราชวงศ์ยังไม่อนุญาตเลยสักคำ! เรเชล! เจ้าเสียสติไปแล้วรึไง!”
เป็นการอวดเบ่งที่ไร้สาระ
สิ่งที่องค์ชายดูรันดัลกล่าว นับว่าล่วงเกินศักดิ์ศรีดยุคเป็นอย่างมาก
หากเรเชลรู้สึกอับอายและเสียหน้า เธอสามารถแยกตัวเป็นอิสระและก่อตั้งอาณาจักรได้ทันที เปลี่ยนกองทัพส่วนตัวหลายแสนให้กลายเป็นศัตรูกับจักรวรรดิซาฮารันในพริบตา
นั่นคือจุดประสงค์ของดูรันดัล ในเมื่อเธอเป็นหมากที่มันไม่สามารถซื้อใจได้อยู่แล้ว จึงเป็นการดีกว่าถ้าจะหลอกให้แยกตัวออกไป
แน่นอน เรเชลอ่านเจตนาออก หญิงสาวชะงักฝีเท้าและหันไปกล่าวพลางก้มศีรษะเล็กน้อย
“ตายจริง… ดิฉันเผลอทำในสิ่งที่มิบังควรลงไปเสียได้… แล้วพบกันใหม่นะคะ องค์ชาย”
หากเหยื่อไม่ติดกับการยั่วยุ ฝ่ายหัวเสียย่อมเป็นผู้ที่พยายามยั่วยุ
เมื่อเห็นเรเชลยังคงสงบนิ่ง ดูรันดัลเบนเป้าไปหากริด
“ราชาโอเวอร์เกียร์! ไม่คิดจะก้มหัวทักทายกันบ้างหรือ?”
“…!”
เรเชลและมอริสที่ไม่แยแสคำยั่วยุของดูรันดัล ต่างผงะหลังจากได้ยินในสิ่งที่องค์ชายกล่าวกับกริด
ทั้งสองคนจำเป็นต้องเพิกเฉยต่อคำยั่วยุเพราะหน้าที่ของดยุคคือการปกป้องราชวงศ์ องค์ชายเองก็เป็นหนึ่งในราชวงศ์
แต่กับกริดนั้นไม่เหมือนกัน หากชายหนุ่มมิอาจทนต่อคำยั่วยุและลงมือทำร้ายร่างกาย ขั้วอำนาจฝ่ายดูรันดัลไม่มีทางอยู่เฉยแน่
จากนั้นจักรวรรดิจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ขุนนางฝั่งดูรันดัลจะตั้งตนเป็นศัตรูกับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์อย่างออกนอกหน้า ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจักรวรรดิและโอเวอร์เกียร์อาจถูกยกเลิก
“กรุณาใจเย็น…”
เรเชลยังไม่ทันกล่าวจบ กริดชักดาบโดยไม่หันไปมองดูรันดัล
บรรยากาศภายในท้องพระโรงพลันท่วมท้นด้วยจิตข่มขวัญ ผสมผสานกับความสง่างามของราชา
เป็นท่ารำดาบ ‘หน่วง
“อึก!”
เจตนาของดูรันดัลคือการแหกปากยั่วยุกริด แต่ปัจจุบันกลับถูกปิดปากสนิทด้วยบรรยากาศคุกคาม จึงทำอื่นใดไม่ได้นอกจากยืนเหงื่อตก
ทุกสิ่งจบลงแค่นี้
องค์ชายดูรันดัลยืนแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน จนกระทั่งกริดและสองดยุคเดินออกจากท้องพระโรง
ในสายตากริดผู้เคยเผชิญหน้ากับมหาเทพและกำลังเตรียมตัวไปหามังกร ดูรันดัลเป็นเพียงเด็กอ่อนหัดที่ไม่มีค่าให้ชายตามอง
ก็อกกริดแล้ว อย่างเท่
ReplyDeleteแฟ่ ออร่าออกมาปกคลุมท้องพระโรงเผื่อให้ดูรันดัล เงียบ อย่างเท่เลยยย ก็อดกริด
ReplyDeleteนึกว่าจะใช้ท่าสยบ แต่ท่านี้คงเสียหน้ามากเกินไป เพราะมันจะทำให้ดูรันต้องคุกเข่าเลย 555+
ReplyDeleteกริดคงคิดในใจ"ถ้าพ่อมึงไม่ขอไว้หัวมึงหลุดออกจากบ่าไปแล้ว"
ReplyDelete