จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,335



ยี่สิบห้าชั่วโมง - นี่คือเวลาที่มนุษย์ในยุคสมัยปัจจุบัน สามารถเดินทางข้ามซีกโลกได้อย่างสะดวกสบาย


แน่นอน ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ผู้โดยสารนั่งเครื่องบินสมรรถนะสูงระดับ ZA87-100 เป็นอย่างน้อย


อย่างไรก็ตาม เที่ยวบินที่มีค่าโดยสารหลายสิบล้านวอนก็มิใช่ภาระใหญ่หลวงอะไรนัก เมื่อเทียบกับรายได้อันมหาศาลของสมาชิกระดับขุนพลกิลด์โอเวอร์เกียร์ หลายคนเป็นเจ้าของเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวที่มีสมรรถนะสูงกว่าด้วยซ้ำ


“หืม?”


ป็อน ผู้เล่นอันดับหนึ่งของสเปน ชายคนนี้หลงใหลชีวิตอันหรูหราที่ผู้คนมักเรียกขานตนว่า ‘เจ้าชาย’ หรือ ‘อัศวิน’ ตามต่อด้วย ‘ม้าขาว’


แน่นอน ป็อนเองก็มีเครื่องบินส่วนตัว ระหว่างการเดินทางมายังเกาหลีใต้ มันกำชับให้กัปตันแวะจุดพักเติมน้ำมันสามจุด โดยที่ตัวเองหมกตัวอยู่ในแคปซูลซาทิสฟายตลอดเวลา


จนกระทั่งป็อนได้เห็นข้อความหนึ่งจากกลุ่มแชตที่มีเพียงกริดและสิบวีรชนฯ แห่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ มันถึงกับเอียงคอฉงน


สถานที่นัดพบแปลกไปจากทุกที


“เท็กซัสบาร์บีคิว… ทำไมกัน?”


เหตุใดถึงต้องเดินทางข้ามโลกเพื่อกินอาหารอเมริกัน?


คำถามนี้มิได้ผุดขึ้นเพราะความไม่พอใจ


มีใครบ้างที่ไม่ชื่นชอบบาร์บีคิวเท็กซัส?


เนื้อซี่โครงซึ่งหมักและปรุงรสอย่างพิถีพิถันเป็นเวลานาน สามารถละลายในปากทันทีที่ลิ้นสัมผัสโดน เมนูนี้ถือเป็นหนึ่งในอาหารจานโปรดของป็อนอย่างไร้ข้อกังขา


แต่ประเด็นที่ป็อนสงสัยก็คือ พีคซอร์ดจะเห็นด้วยหรือ?


ไม่ใช่ว่าชายคนนั้นภาคภูมิใจในอาหารเกาหลีอย่างสุดโต่ง จนมักเอาแต่โฆษณาถึงความอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายรึไง?


ไม่ว่าจะกี่ครั้ง แต่สำหรับป็อน การมาเยือนเกาหลีใต้เพื่อประชุมกับสมาชิกกิลด์ มักจบลงด้วยร้านอาหารเกาหลีเสมอ


แล้วทำไมหนนี้ถึงเป็นบาร์บีคิวเท็กซัสไปได้?


‘หรือพีคซอร์ดจะไม่ได้มาด้วย? ช่างเถอะ จะแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น’


ป็อนคิดเสมอว่าอาหารเป็นสิ่งที่ไร้พรมแดน มันเชื่อมาตลอด อาหารของทุกชาติสมควรได้รับการยกย่องตามแบบฉบับของตัวเอง


อย่างไรก็ตาม สำหรับป็อน การเดินทางมากินอาหารเกาหลีของมันค่อนข้างวุ่นวายในบางเรื่อง เนื่องจากพีคซอร์ดชอบบังคับให้ถ่ายรูปและโพสต์ลงสื่อสังคมออนไลน์ จะได้เป็นการโปรโมตอาหารเกาหลีไปในตัว


‘ดูยูโนวกิมจิ? ดูยูโนวซุปและข้าว?’


เสียงคำถามของพีคซอร์ดที่ทุกคนจะได้ยินทุกครั้งเมื่อเดินทางมากินอาหารที่เกาหลีใต้ เริ่มแผ่วลงขณะป็อนทิ้งตัวลงนอนในแคปซูล


การได้เล่นซาทิสฟายระหว่างบินข้ามโลก ถือเป็นอีกหนึ่งนิสัยประจำตัวที่ทำให้มันรู้สึกผ่อนคลาย ป็อนไม่เคยคิดว่าการเล่นเกมเป็นงานหรือภาระหน้าที่เลยสักครั้ง


***


“อร่อยมาก! นุ่มจนละลายในปาก! ความชุ่มฉ่ำที่ทำให้น้ำลายของฉันถึงกับแตกฟอง… สุดยอด!”


ชินยองวู ชายผู้อยู่บนจุดสูงสุดของซาทิสฟาย ราชาผู้เป็นหน้าเป็นตาของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ยังคงทำตัวติดดินไม่เปลี่ยนแปลง


แตกต่างจากสมาชิกโอเวอร์เกียร์คนอื่นที่สวมเสื้อผ้าราคาแพง ยองวูชอบใส่เสื้อธรรมดาและกินอาหารที่ร้านท้องถิ่น


การได้กินของอร่อยทำให้ชายหนุ่มมีความสุขเสมอ และมันก็ไม่เคอะเขินที่จะแสดงออกต่อหน้าทุกคน


‘ถ้าจำไม่ผิด… เขาไม่เคยเปลี่ยนรถเลยสินะ’


ชิ! แฮ่ม! ฮึ่ม!


เมื่อเห็นยองวูทำเสียงมีความสุขขณะกินอาหารต่างชาติ พีคซอร์ดพยายามส่งเสียงไม่พอใจ แต่ยองวูก็หาได้แยแส


แวนเนอร์หันมาถาม


“กริด… ส่วนใหญ่นายใช้เงินไปกับอะไรบ้าง”


มันมิได้ถามออกมาตามตรง ว่าทำไมกริดถึงไม่ยอมสวมเสื้อผ้าราคาแพงหรือเปลี่ยนรถเป็นคันที่ดีกว่านี้ เพียงแค่อยากทราบว่า หนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลกอย่างเขา วัน ๆ หมดเงินไปกับค่าอะไรบ้าง


“งั่ม… ส่วนใหญ่ก็เป็นอุปกรณ์ออกกำลังกาย ยาบำรุงให้พ่อกับแม่ บ้านของเซฮี เธอจะได้ออกไปอยู่คนเดียว… บางครั้งก็บริจาคให้คนยากไร้… ซื้อที่ดินเก็บไว้… เอ่อ… แล้วก็ใช้เรื่อยเปื่อยอีกนิดหน่อย”


“ก็อดกริด! นายลืมเล่าสิ่งที่สำคัญที่สุด!”


พีคซอร์ดที่เอาแต่หัวเสียเรื่องบาร์บีคิว ตัดสินใจพูดแทรก


“นายช่วยจ่ายภาษีจำนวนมากให้กับประเทศ! ก็อดกริด! นายถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวเกาหลีใต้!”


ประเทศเกาหลีใต้มองว่ารายรับจากซาทิสฟาย เข้าข่ายรายรับประเภท ‘เงินปันผล’ ทำให้ให้ชินยองวูต้องเสียภาษีในอัตราเกือบห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของรายได้


แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่เคยถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษี เช่นเดียวกันกับยูร่าและพีคซอร์ด – ประธานสมาคมเกาหลีใต้จงเจริญ ที่คอยพร่ำบอกกับทุกคนว่า การเสียภาษีอย่างถูกต้องคือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด


“…เงินปันผล”


เมื่อได้ทราบข้อมูลใหม่ สีหน้าของสมาชิกโอเวอร์เกียร์หลายคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย บางคนที่เคยวางแผนย้ายมาอยู่เกาหลีใต้เหมือนจิสึกะกับทูน เริ่มเกิดความลังเล


ทันทีที่พีคซอร์ดตระหนักว่า ตนเผลอพูดเรื่องสำคัญออกไปก่อนเวลาอันควร ในใจพลันเกิดความสำนึกผิดอย่างหนัก มันพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น แต่ทุกคำพูดล้วนแล้วแต่ไร้ผล


พีคซอร์ดซดเบียร์รวดเดียวหนึ่งขวดด้วยความหดหู่ สายตาสอดส่องมองหากิมจิ ก่อนจะเริ่มเมาและพรั่งพรูถ้อยคำออกมาเป็นจำนวนมาก


ฮะฮะ! โฮ่โฮ่!


จิสึกะ เฟคเกอร์ และยูเฟอมิน่า นั่งอยู่กึ่งกลางงานเลี้ยงที่ดำเนินต่อไปจนถึงช่วงค่ำ ไม่มีใครแสดงท่าทีไม่พอใจเวลาที่แวนเนอร์สั่งอาหารรอบที่สองและสาม


ราวห้าถึงหกปีในชีวิตจริง - นั่นคือช่วงเวลาที่ทุกคนอยู่ด้วยกันมา สมาชิกโอเวอร์เกียร์ต่างมองกันและกันในฐานะครอบครัว


แม้กระทั่งแค็ทซ์ที่เคยกระอักกระอ่วน ก็ยังเปลี่ยนความคิดในตอนหลัง


ช่วงแรก ๆ แค็ทซ์อาจยังไม่เป็นมิตรมากนัก และมักทะเลาะเบาะแว้งกับพีคซอร์ดด้วยปัญหาทางด้านเชื้อชาติบ่อยครั้ง แต่หลังจากเวลาผ่านไป เด็กหนุ่มได้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับสมาชิกทุกคน


แค็ทซ์พยายามปรับตัวเข้าหาเพื่อน พยายามทำให้กริดเห็นว่า มันซาบซึ้งในบุญคุณของกริดมากเพียงใด


“กริด… ฉันจะยกเครื่องบินส่วนตัวให้นาย… ชื่อของมันคือ ‘เคอริจ’ (Courage) เป็นเครื่องรุ่นใหม่ล่าสุด ฉันเพิ่งนั่งไปแค่ครั้งเดียว เที่ยวจากญี่ปุ่นมาเกาหลีใต้ในวันนี้… นายสามารถเปลี่ยนชื่อได้ตามใจชอบ”


แค็ทซ์ในสภาพเมาแอ๋ พูดภาษาเกาหลีด้วยสำเนียงตะกุกตะกัก


พีคซอร์ดส่ายหน้าพลางจ้องแค็ทซ์


“ทำไมพวกแชโบลรุ่นที่สามถึงชอบแก้ปัญหาด้วยเงินกันนัก? นายควรเลิกนิสัยน่ารังเกียจนั่นได้แล้ว! เฮ่อะ! ก็อดกริดอุตส่าห์ชื่นชอบนาย ไว้ใจนายและยอมมาร่วมวงดื่มกิน แต่นายกลับตอบแทนความไว้ใจของเขาด้วยเครื่องบินลำเดียวเนี่ยนะ? ประเมินค่าก็อดกริดต่ำขนาดนั้นเชียว?”


“ฉ…ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น… ขอโทษ… ลืมมันไปเถอะ”


“ฮะฮ่าฮ่า! ต้องอย่างนั้น! ดื่ม! ถึงจะไม่ได้เกิดวันเดียวกัน แต่พวกเราขอตายวันเดียวกัน! จริงสิ… ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่นคลาสเลเจนดารีทุกคนอีกครั้ง! เอ้า ฉลอง!”


“…”


ชินยองวูที่เคยยิ้มแย้มตลอดเวลา พลันหันไปจ้องพีคซอร์ดตาขวาง แต่อีกฝ่ายเพียงทำหน้างุนงงตอบ


หลังจากนั้น ฮิวรอยเริ่มตำหนิพีคซอร์ดด้วย ‘สกิลปาก’ ของตน ถึงจะน่ารำคาญไม่น้อย แต่พีคซอร์ดก็อุตส่าห์นั่งทนฟังจนจบ


***


“แฮมเบอร์เกอร์แก้อาการเมาค้างได้ดี”


เหล่าสมาชิกกิลด์ต่างฉลองกันตลอดทั้งคืนจนถึงเช้า นับเป็นหนแรกในรอบหลายปี ที่หลายคนเลิกคิดถึงซาทิสฟายได้นานขนาดนี้ บรรยากาศแห่งความจริงอันรื่นเริง ทำให้งานสังสรรค์ผ่านไปอย่างเป็นกันเองและมีความสุข


ในตอนเช้าของอีกวัน ชินยองวูกลับมา ‘เก็บซาก’ พวกพ้องและให้ทุกคนเริ่มต้นวันใหม่ด้วยชีสเบอร์เกอร์ที่ทูนซื้อมา


เมื่อจัดการเสร็จสรรพ ชายหนุ่มกลับมาออกกำลังกายเบา ๆ ที่บ้าน จากนั้นก็ล้างเนื้อล้างตัวให้สะอาด เดินลงไปกินอาหารเช้ากับครอบครัว


ถัดมา ยองวูใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติสักพักเพื่อปรับสายตา ก่อนจะกลับเข้าไปนอนในแคปซูลอีกครั้ง เชื่อมต่อเกมซาทิสฟาย


‘วันนี้ทำอะไรดี…’


ณ เมืองหลวงของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ กรุงไรนฮาร์ท


กริดตรวจสอบตารางงานของตนและพบว่า ผู้ควบคุมการเงินของอาณาจักร แรบบิท ต้องการปรึกษาเกี่ยวกับโครงการใหม่ในช่วงเช้า ส่วนลอเอลนัดประชุมเสนอให้มีการเพิ่ม ‘ภารกิจจากราชา’ ในแต่ละสัปดาห์มากขึ้น นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีกำหนดการใดอีก


เมื่อวานทั้งวัน กริดมอบเวลาให้ครอบครัว (ในเกม) มากพอสมควร และการเตรียมตัวลงนรกก็เรียบร้อยแล้วเช่นกัน


ชายหนุ่มพิจารณาว่า การรีบลงไปเก็บเลเวลในนรกคือสิ่งที่ควรทำ แต่ก่อนหน้านั้นต้องสะสางเรื่องที่ ‘ดอง’ ไว้ให้หมดเสียก่อน


‘อา… คงต้องฝากสร้อยคอลาทีน่าไว้กับบุลเล็ต’


ปัจจุบัน สร้อยคอลาทีน่าพัฒนาไปเป็นเกรดยูนีคแล้ว ช่วยเพิ่มค่าสติปัญญาของผู้สวม 350 หน่วย นอกจากนั้นยังจะทำให้ ‘สมุนอันเดด’ ของผู้สวมแข็งแกร่งขึ้นกว่าปรกติ เหนือสิ่งอื่นใด ความสำคัญของไอเท็มชิ้นนี้มิได้อยู่ที่เอฟเฟคและค่าสถานะเพียงอย่างเดียว แต่หากพัฒนาไปเป็นเกรดเลเจนดารีเมื่อใด ผู้สวมสามารถอัญเชิญแวมไพร์ลาทีน่าออกมาได้


ปัญหาก็คือ การเก็บ EXP ของสร้อยไม่ใช่เรื่องง่าย


ตามความเข้าใจของกริด วิธีเดียวในการเพิ่ม EXP ให้สร้อยลาทีน่าก็คือ ต้องอัญเชิญโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ออกมา


จากการคำนวณอย่างคร่าว หากหวังเลื่อนลำดับสร้อยคอให้กลายเป็นเกรดเลเจนดารี กริดพบว่าตนต้องใช้เวลานานถึงสี่ปีเต็ม


เฉกเช่นที่เคยฝากดาบใหญ่เยติม่าให้คริสดูแล และฝากกำไลข้อมือเครย์ให้ยูเฟอมิน่าดูแล สร้อยคอของลาทีน่าเองก็ฝากต้องให้คนอื่นดูแลแทนเช่นกัน


‘ไม่ว่าจะมองมุมไหน บุลเล็ตก็เหมาะสมที่สุด’


บุลเล็ตคือผู้เล่นพรสวรรค์ตัวจริงเสียงจริง การได้เป็นหมอผีอันดับสองของโลกคือเครื่องพิสูจน์


บุลเล็ตมีอัศวินความตาย (พิเศษ) ไว้ในครอบครอง แถมยังบงการกองทัพโครงกระดูกได้นับร้อยในคราวเดียว


เมื่อเทียบกับกริดที่อัญเชิญโครงกระดูกได้เพียงสอง บุลเล็ตอาจเพิ่มค่า EXP ของสร้อยได้ไว้กว่าหลายเท่า


เหตุผลที่กริดเก็บสร้อยลาทีน่าไว้กับตัวจนถึงตอนนี้ เพราะไอเท็มดังกล่าวเคยมีประโยชน์ในหลายแง่มุม


อย่างไรก็ตาม หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา คุณค่าของสร้อยลาทีน่าลดทอนลงมากนับตั้งแต่กริดได้ครอบครอง ‘สร้อยคอลำดับขั้น’ จากเฮลกาโอ


‘ใช่แล้ว… ต้องฝากไว้กับบุลเล็ต’


ไม่ว่ายังไง กริดก็วางแผนจะสวมเซตสร้อยและแหวนลำดับขั้นตลอดเวลา สร้อยลาทีน่าจึงต้องหาเจ้าของใหม่ชั่วคราว


เมื่อจบประเด็นหนึ่ง ประเด็นใหม่ทำให้ชายหนุ่มต้องปวดหัวอีกครั้ง


<แหวนเอลฟิน·สโตน>

เกรด : เลเจนดารี

* ขณะโจมตีธรรมดา ทำการดูดเลือด 22% ของความเสียหายที่สร้าง

* ขณะโจมตีด้วยทักษะ ทำการดูดเลือด 10% ของความเสียหายที่สร้าง

* เอฟเฟคจะเกิดขึ้นทุก 16 วินาที

* เพิ่มค่าพละกำลัง ความอดทน และพลังชีวิต 50 หน่วย

แหวนที่แฝงพลังเวทมนตร์ชนิดพิเศษของแวมไพร์เอิร์ล เอลฟิน·สโตน

ช่วยเพิ่มศักยภาพและอัตราการอยู่รอดของผู้สวม

* หากแหวนวงนี้พัฒนาไปถึงเกรดเลเจนดารี ผู้สวมสามารถอัญเชิญแวมไพร์เอิร์ล เอลฟิน·สโตน

น้ำหนัก : 1


แม้ซาทิสฟายจะเปิดตัวมาแล้วหลายปี แต่ไอเท็มประเภทดูดเลือดก็ยังมีมูลค่าสูงมากไม่เปลี่ยน และแหวนเอลฟิน·สโตนถือเป็นระดับท็อปของไอเท็มในหมวดหมู่แวมไพร์


สำหรับกริด แหวนวงนี้มีความหมายในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องที่เป็นมรดกจากแวมไพร์เอิร์ล เอลฟิน·สโตน ญาติเพียงไม่กี่คนของบราฮัม หนึ่งในเพื่อนสนิทของตนบนโลกซาทิสฟาย นอกจากนั้น ประสิทธิภาพของไอเท็มก็ค่อนข้างสูง การโจมตีจะทำให้ได้รับ HP กลับคืนมาบางส่วน


วิธีเก็บ EXP แหวนเอลฟิน·สโตนนั้นไม่ซับซ้อน แค่สวมและคอยโจมตีดูดเลือดอย่างต่อเนื่องก็พอ กริดใช้เวลาหลายปีกว่าจะพัฒนาจนกลายเป็นเกรดเลเจนดารีสำเร็จ


แต่หลังจากนั้น ปัญหาพลันบังเกิด


กริดที่เคยผสานวิญญาณกับบราฮัมสองสามหน รวมถึงสืบทอดเวทมนตร์บางส่วนจากบราฮัม ถูกเอลฟิน·สโตนรังเกียจสถานหนัก


แตกต่างจากยารุกต์ที่สามารถมอบบทเรียนให้เข็ดหลาบ กับเอลฟิน·สโตนแล้วมิอาจทำแบบเดียวกันได้


[เอลฟิน·สโตนไม่ตอบสนองการอัญเชิญ]


ถูกต้อง เอลฟิน·สโตนปฏิเสธการอัญเชิญของกริดทุกรูปแบบ


ถึงไอเท็มจะพัฒนาจนมีเกรดเลเจนดารีแล้ว แต่กริดก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเอลฟิน·สโตนอีกเลยนับตั้งแต่วันที่มันถูกฆ่า


‘สงสัยเจ้านั่นจะคิดว่าเราคือบราฮัม’


ไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะเข้าใจผิด กริดสืบทอด ‘ดยุคแห่งปัญญา’ มาจากบราฮัมโดยตรง นอกจากนั้นก็ยังมีสมญานาม ‘ราชาโลหิต’ บางทีอาจมีออร่าหรือบรรยากาศที่คล้ายคลึงกับบราฮัมอยู่หลายส่วน อย่างน้อยเอลฟิน·สโตนก็มองแบบนั้น


เอลฟิน·สโตนเกลียดชังบราฮัมเข้ากระดูกด้วยหลายเหตุผล เป็นหนึ่งในพี่น้องที่โกรธแค้นบราฮัมมากที่สุด จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หากจะไม่ยอมตอบสนองต่อคำอัญเชิญ


‘ถ้าเรียกเจ้านั่นออกมาได้สักครั้ง คงมีหนทางเจรจาให้เข้าใจกัน…’


กริดค่อนข้างสิ้นหวัง เพราะแม้แต่มหาจอมปราชญ์สติกส์และมหาจอมเวทบราฮัม ก็ยังไม่มีหนทางในการอัญเชิญเอลฟิน·สโตน


เช่นนั้นแล้ว เราควรขอความช่วยเหลือจากใคร?


‘แมรี่โรส?’


ไม่ดีแน่… เรายังรักชีวิตอยู่…


กริดครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งนึกถึงสภาหอคอย


อดีตตำนานที่อายุขัยยืนยาวกว่าสติกส์และบราฮัม บางที หากเป็นกลุ่มบุคคลเหล่านั้น อาจมีวิธีแก้ปัญหาการอัญเชิญแวมไพร์หัวรั้น


‘คงต้องลองดู’


สิทธิพิเศษของ ‘หัวแถว’ ถ้าไม่ใช้ตอนนี้ แล้วจะให้ใช้ตอนไหน?


กริดลูบแหวนเอลฟิน·สโตนพลางเดินทางมายังหอแห่งปัญญา


นับตั้งแต่ผ่านการสอบซือโหยวและดูดซับพลังจอมอสูรลำดับ 29 กับ 33 ชายหนุ่มมิได้ออกอาการหวาดหวั่นขณะเห็นขนาดที่แท้จริงของหอคอยเหมือนกับในอดีต


ถึงจะมีบททดสอบใหม่ แต่กริดก็มั่นใจว่าตนจะผ่านได้ไม่ยาก


ผู้ที่เข้ามาทักทายคนแรกไม่ใช่ใคร อริยดาบบีบัน


“ข้ากำลังอยู่ระหว่างพิธีกรรมชำระล้างอันศักดิ์สิทธิ์”


“อื้อ…”


“เจ้าไม่เชื่อหรือ?”


“เปล่า… ต้องเชื่ออยู่แล้ว”


“เฮ่อ…”


“ฮะฮะ…”


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,798
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

  1. หมายถึงกำลังถูพื้นอยู่สินะ 555

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00