จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,338



แวมไพร์ทายาท - คำเรียกทายาททั้งสิบคนของเบริอาเช่ต้นตระกูล เป็นแวมไพร์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ มีอำนาจ และบรรดาศักดิ์ในการปกครองเหล่าแวมไพร์


ราชาโลหิตเกิดมาเพื่อปกครองแวมไพร์ทายาท และเงื่อนไขเดียวในการกลายเป็นราชาโลหิตก็คือ : เอาชนะด้วยกำลัง


ตรงข้ามกับสถานะทายาท ราชาโลหิตไม่จำเป็นต้องสืบทอดสายเลือดโดยตรงจากเบริอาเช่ ขอเพียงเอาชนะเหล่าทายาทที่มีคุณสมบัติได้ก็พอ


บราฮัมเคยอธิบายไว้ว่า เหตุใดจึงต้องเป็นเช่นนั้น


“ตราบใดที่ยังถูกคำสาปเกียจคร้านเล่นงาน เผ่าพันธุ์แวมไพร์ย่อมมองไม่เห็นแสงสว่าง ท่านแม่ที่ทราบเรื่องนี้จึงตั้งกฎเกณฑ์พิเศษสำหรับคนนอกโดยเฉพาะ”


เหตุผลไม่ซับซ้อน


ตราบใดที่ยังถูกคำสาปเกียจคร้านเล่นงาน แวมไพร์ก็มิอาจพัฒนาตัวเองไปได้ไกล เมื่อไม่พัฒนา ฝีมือย่อมไม่ก้าวหน้า และถ้าฝีมือไม่ก้าวหน้า เป้าหมายในการล้มล้างจอมอสูรก็จะไม่มีวันเป็นจริง ลำพังแวมไพร์จึงไม่สามารถบรรลุความปรารถนาของเบริอาเช่ได้ตามลำพัง


จริงอยู่ที่เรื่องราวอาจแตกต่างออกไป หากแมรี่โรสกลายเป็นราชาโลหิตสำเร็จด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม เบริอาเช่ยังคลางแคลงว่า แมรี่โรสจะเอาชนะคำสาปเกียจคร้านได้เองจริงหรือ


เพื่อการนั้น เบริอาเช่จึงสร้างราชาโลหิตไว้เป็นแผนสำรอง


[ท่านบรรลุเงื่อนไขที่จะทำให้เวทโลหิตชนิดแรกเบ่งบาน]


ในวินาทีที่หน้าต่างแจ้งเตือนแสดง กริดรู้สึกเจ็บแปลบไหล่ซ้าย


เป็นความเจ็บปวดที่รุนแรงยิ่งกว่าการถูกผึ้งต่อย ค่อนไปทางมีดบาด


กริดซึ่งกำลังฉงน รีบถอดชุดเกราะพร้อมกับเหลือบมองไหล่ซ้ายตัวเอง


ภาพแรกที่เห็นคือ เวทโลหิตกำลังปะทุออกจากหัวไหล่ สัญลักษณ์หนึ่งซึ่งคล้ายกับหยดเลือด ถูกประทับลงบนผิวหนังบริเวณดังกล่าว


“คึ่ก…!”


ชายหนุ่มทรุดลงกับพื้นด้วยความรู้สึกยากอธิบาย มือข้างหนึ่งกดไหล่ซ้ายตัวเองแน่น เริ่มตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังเวทมนตร์ภายในร่างกาย เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


[มานาของท่านถูกเสริมแกร่งจากเอฟเฟค ‘เวทโลหิตเบ่งบาน’]


[ค่ามานาสูงสุดเพิ่มขึ้น 1.5 เท่า]


[อัตราการฟื้นฟูมานาตามธรรมชาติเพิ่มขึ้นสองเท่า]


[หากใช้ทักษะที่ขโมย HP ค่ามานาของท่านจะฟื้นฟูตาม HP ที่ขโมยมาได้ มานาที่ฟื้นฟูด้วยสิ่งนี้จะถูกจำแนกให้เป็น ‘พลังเวทโลหิต’ การใช้เวทโลหิตจะรุนแรงขึ้น 1.2 เท่า]


“…!!”


ผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดทำให้กริดถึงกับขนลุก


แขนซ้ายชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงสักพัก ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นปรกติ


[ท่านได้รับเวทโลหิตชนิดใหม่ ‘ถ่ายโอนโลหิตขั้นสูงสุด’]


<ถ่ายโอนโลหิตขั้นสูงสุด> Lv.1

สร้างความเสียหายรุนแรงเป็นสองเท่าของค่ามานาสูงสุดใส่เป้าหมาย พร้อมกลับเปลี่ยนความเสียหาย 100% ให้เป็นพลังชีวิต หากพลังชีวิตของท่านอยู่ในสถานะเต็มหลอด พลังจะไหลย้อนกลับไปทำร้ายเป้าหมายเพิ่มเติมในฐานะปราณแวมไพร์ ความเสียหายเพิ่มเติมจะมองข้ามค่าต้านทานเวทมนตร์และธาตุของเป้าหมายโดยสมบูรณ์

มานา : 10,000

ระยะหน่วง : 24 ชั่วโมง


โจมตีเป้าหมายพร้อมกับดูดเลือด หากเลือดเต็มจะเปลี่ยนกลับไปเป็นความเสียหายแทน… แบบไม่คิดพลังป้องกัน…


กลไกของถ่ายโอนโลหิตขั้นสูงสุดนั้นไม่ซับซ้อน กริดอ่านเพียงรอบเดียวก็เข้าใจอย่างกระจ่าง แต่ปัญหาคือสูตรคำนวณความเสียหาย


หลังจากเวทโลหิตเบ่งบาน มานาสูงสุดของกริดคือ 140,000 หน่วย สองเท่าจึงหมายถึง 280,000 หน่วย หรือกล่าวได้ว่า แม้แต่ผู้เล่นระดับแรงเกอร์ก็สามารถตายได้ในการโจมตีเดียว


แน่นอน การโจมตีประเภทเวทมนตร์จะถูกหักลบค่าต้านทาน แต่ถ้ากริดใช้ขณะที่พลังชีวิตเต็มหลอด โอกาสรอดชีวิตของผู้เล่นด้วยกันก็แทบกลายเป็นศูนย์ ค่าต้านทานเวทมนตร์คือสิ่งไร้ความหมาย


‘หากเราใช้แหวนเอลฟินสโตนเพื่อดูดเลือดและสะสม ‘พลังเวทโลหิต’ จนถึงหนึ่งหมื่นหน่วย ความเสียหายจะยิ่งแรงขึ้นไปอีก…’


1.2 คูณ 480,000 จะเท่ากับเกือบ 580,000


จริงอยู่ ถ้านำไปโจมตีมอนสเตอร์คงเกิดความเสียหายไม่มาก แต่ต้องไม่ลืมว่า แก่นสำคัญของเวทถ่ายโอนโลหิตขั้นสูงสุดคือการดูดเลือด


แม้จะหักลบค่าต้านทานเวทมนตร์ กริดก็ยังจะได้รับพลังชีวิตประมาณ 240,000 หน่วยเป็นอย่างต่ำ


‘เจ๋ง…’


ตามปรกติแล้ว ตัวแทงค์จะแบ่งออกเป็นสองสายหลัก คือแทงค์ที่เน้นพลังป้องกันมากกว่าพลังชีวิต และแทงค์ที่เน้นพลังชีวิตมากกว่าป้องกัน ข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละบุคคล


ตัวแทงค์ที่มีค่าพลังป้องกันสูง จะอ่อนแอต่อทักษะจำพวก ‘มองข้ามพลังป้องกัน’ เป็นอย่างมาก แต่ข้อได้เปรียบก็คือ หากถูกโจมตีด้วยทักษะที่คิดค่าพลังป้องกัน แทงค์สายนี้จะยืนได้นานกว่าแทงค์สายพลังชีวิต


กิลด์ใหญ่แทบทุกกิลด์จะมีตัวแทงค์ทั้งสองประเภท เรียกใช้ตามสถานการณ์ ในบางกรณี ตัวแทงค์ประเภทพลังชีวิตสูง (โล่เนื้อ) จะถูกนำไปยืนไว้ด้านหน้าสุด แต่ในบางกรณีก็เป็นตัวแทงค์ประเภทพลังป้องกัน


สามารถกล่าวได้ว่า กริดซึ่งมีพลังชีวิต 400,000 หน่วยคือผู้เล่นที่มีค่าพลังชีวิตมากที่สุดในโลก แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ใช่แทงค์ประเภทโล่เนื้อแต่อย่างใด เพราะยังมีค่าพลังป้องกันและค่าต้านทานเวทมนตร์ในอัตราที่สูงมาก


ยังไม่นับรวมบรรดาทักษะบาเรียคุ้มกายและฟื้นฟู HP


กริดเชื่อว่าตนคงตายได้ยากขึ้นมากในอนาคต


ด้วยความสัตย์จริง จนถึงไม่กี่วันก่อน กริดเคยคิดมาตลอดว่าตนแข็งแกร่งถึงขั้นที่ไม่ตายได้ง่าย ๆ อีกแล้ว


แต่เมื่อถูกบาเอลตบตายและลิ้มรสความพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพช ชายหนุ่มตระหนักถึงความอ่อนแอทางด้านค่าสถานะ ไม่เกี่ยวกับฝีมือควบคุมตัวละครแม้แต่น้อย


‘เราต้องแข็งแกร่งขึ้น’


ตอนนี้ยังมีข้อบกพร่องอยู่มาก


ขณะกริดทำสีหน้ากระหายในพลัง เบ็ตตี้ที่ยืนจ้องมาสักพัก เปิดปากพูดด้วยทำนองเชื่องช้า


“อักขระไม่ใช่ทุกสิ่ง”


“หือ?”


“ผู้คนมากมายยกย่องให้พลังอักขระมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด แต่ในความเป็นจริง พวกมันไม่เหมือนกับสิ่งมีชีวิต ยังมีข้อจำกัดมากมาย”


“…?”


กริดเริ่มสัมผัสถึงลางไม่ดี


ขณะชายหนุ่มทำหน้าตึงเครียด เบ็ตตี้ตักเตือน


“อักขระของเจ้ามีพลังมากเกินไป ในไม่ช้าก็เร็ว พลังจะเอ่อล้นจนเกินความจุของอักขระ และเจ้าจะต้องเผชิญการตัดสินใจที่ยากลำบาก… อย่าได้คิดพึ่งพาพลังของอักขระจนหน้ามืดตามัวเชียว”


“ความจุ… คุณกำลังจะบอกว่า ในอนาคต ผมต้องเลือกที่จะทิ้งพลังอย่างใดอย่างหนึ่งในอักขระออกไป? "


“ถูกต้อง… อักขระของเจ้าถูกแทรกแซงโดยเทพ จึงมีความจุสูงกว่าอักขระทั่วไป แต่พลังที่เจ้าดูดซับนั้นมากมายยิ่งกว่า… เกรงว่าในอีกไม่ช้า ขีดจำกัดความจุจะมาถึง”


“อีกนานแค่ไหน?”


ตนยังดูดซับพลังได้อีกมากเพียงใด และควรสละพลังใดออกไป


เบ็ตตี้ตอบกริดที่สมองเต็มไปด้วยคำถาม


“หากเป็นแบบนี้ต่อไป… คงอีกสักยี่สิบปี”


“อา… ครับ…”


ยี่สิบปี


อาจเป็นช่วงเวลาที่ผ่านไปเร็วสำหรับเบ็ตตี้ แต่กริดกลับมองว่ามันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน


‘ในปัจจุบัน เรามีพลังสิบสี่ชนิด… หากมีเวลาอีกยี่สิบปี คงครอบครองพลังได้ราวสี่สิบชนิด’


ถ้าขีดจำกัดคือสี่สิบชนิด เรื่องนี้ก็ฟังดูสมเหตุสมผล


ขณะเดียวกัน กริดเริ่มคลางแคลงว่า พลังของจอมอสูรกับแวมไพร์จะมีให้ตนครอบครองมากถึงสี่สิบชนิดเลยหรือ?


หลังจากขบคิดหลายสิ่ง ชายหนุ่มเก็บดวงวิญญาณของเอลฟิน·สโตนกลับเข้าไปในแหวน


นับแต่นี้ไป กริดมีแผนจะหมกตัวเก็บเลเวลพร้อมกับซัคคิวบิ สถานที่คงเป็นขุมนรกซึ่งสามารถมุ่งเน้นการปลุกปั้นโนเอะ แรนดี้ โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ และแวมไพร์ ไปพร้อมกับการอัปเลเวลให้ตัวเอง


‘หากมีค่าเรี่ยวแรงมากพอ เราคงเก็บเลเวลได้ทั้งวันทั้งคืน’


แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ในปัจจุบัน กริดเองก็มีวิธีเก็บเลเวลทั้งวันทั้งคืน


หากต่อสู้จนหมดแรง ชายหนุ่มสามารถออกคำสั่งให้หัตถ์เทวะทำงานแทนโดยไม่เหน็ดเหนื่อย เพียงต้องลดระดับความยากลง มอนสเตอร์จะได้ถูกหัตถ์เทวะกำจัดได้ง่ายขึ้น


อย่างไรก็ตาม ถ้าหวังให้การเก็บเลเวลมีประสิทธิภาพสูงสุด กริดต้องลงมือด้วยตัวเองเท่านั้น


‘คงต้องรีบหาทางครอบครองหัวใจเทพอสูร’


จอมอสูรลำดับ 12 สตริโอ้


โอกาสล่าสำเร็จมีมากน้อยแค่ไหน?


ขณะกำลังวางแผนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ชายหนุ่มหันไปถาม


“ท่านเบ็ตตี้ เทพอสูรคืออะไร”


เหตุใดจอมอสูรลำดับ 12 ถึงมีสมญานามว่าเทพ แต่บาเอลกลับไม่


บางที เบ็ตตี้ที่เป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลอาจทราบเรื่องนี้


กริดเดาถูก เบ็ตตี้มีข้อมูลของสตริโอ้


“สัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างโดยดวงกลุ่มวิญญาณโกลาหล”


“กลุ่มดวงวิญญาณโกลาหล?”


“เดิมที สตริโอ้เป็นวิญญาณของจอมอสูรตนหนึ่ง แต่วิญญาณของมันมีฤทธิ์เป็นแม่เหล็กที่คอยดึงดูดวิญญาณเร่ร่อนซึ่งสูญเสียร่างเนื้อ”


“…”


“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิญญาณนับหมื่นดวงที่พเนจรในนรก ถูกวิญญาณของสตริโอ้ดูดกลืนเข้าไปเป็นหนึ่งเดียว วิญญาณสตริโอ้ขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ จนราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด… การเติบโตของวิญญาณจะส่งผลไปถึงการเติบโตของร่างเนื้อและบารมีเทพ จนกระทั่งสตริโอ้กลายเป็นเทพในที่สุด”


“…!”


จริงอยู่ที่วลี ‘เทพ’ อาจถูกต้องตามหลัก แต่กริดฟังแล้วทะแม่งพิกล


“ไม่เหมือนเทพเลยสักนิด… น่าจะเรียกว่าสัตว์ร้ายมากกว่า”


“มันคือการรวมตัวของดวงวิญญาณนับหมื่น มวลความคิดมากมายผสมปนเปจนมิอาจรักษาสติสัมปชัญญะไว้ได้”


“และเป็นสาเหตุที่มันไม่ถูกเคารพนับถือในฐานะเทพ?”


กริดที่เคยแวะผ่านเขตเป็นกลางภายในนรก เห็นมากับตาว่าบรรดาเผ่าอสูรล้วนเคารพนับถือเทพมารยาธาน ใช่แล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนรกศรัทธาเพียงเทพยาธาน กริดไม่เคยเห็นใครนับถือสตริโอ้ในฐานะเทพ


สมมติฐานดังกล่าวถูกต้อง


“ใช่… ใครจะไปบูชาสัตว์ร้ายประหนึ่งเทพ? อย่างไรก็ตาม เจ้าห้ามคิดว่าสตริโอ้เป็นเพียงเทพจอมปลอมเด็ดขาด ถึงจะไม่มีผู้ศรัทธา แต่เรื่องที่พลังของมันอยู่ในระดับทวยเทพเป็นความจริง”


“แข็งแกร่งกว่าบาเอลอีกหรือ?”


“ไม่เลยสักนิด อ่อนแอกว่าจอมอสูรหลักเดียวทุกตน ถึงจะมีพลังมากมายเพียงใด แต่ถ้าไม่มีสมองก็เปล่าประโยชน์”


“แล้วทำไมบรรดาจอมอสูรถึงเพิกเฉยต่อสตริโอ้?”


แม้แต่จอมอสูรหลักเดียวก็สามารถพลาดท่าเสียชีวิตได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือเฮลกาโอ และนั่นทำให้ดวงวิญญาณของเฮลกาโอต้องเร่ร่อนภายในขุมนรก


เช่นนั้นแล้ว วัฏจักรการคืนชีพจะไม่เกิดความเสี่ยงหรอกหรือ ในเมื่อมีสตริโอ้คอยดูดกลืนดวงวิญญาณเร่ร่อนตลอดเวลา


เหตุใดจอมอสูรเหล่านั้นถึงไม่ทำอะไรสักอย่างกับสตริโอ้?


“ถึงจะเหลือแต่ดวงวิญญาณ จอมอสูรทุกตนสามารถควบคุมดวงวิญญาณได้อย่างอิสระ ไม่มีทางถูกสตริโอ้กลืนกิน”


“อา…”


คนที่สามารถขยับดวงวิญญาณได้ตามใจชอบ ไม่ได้มีแค่บราฮัมสินะ


“นอกจากนั้น สตริโอ้ยังสนใจเพียงโลกมนุษย์ จึงแทบไม่ก่อความวุ่นวายในนรก บรรดาจอมอสูรไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวสักเท่าไร”


“แบบนี้นี่เอง…”


กริดพลันเย็นสันหลังเมื่อหวนนึกถึงดวงตาของสตริโอ้ที่จ้องมองโลกมนุษย์ผ่านรอยแยกขุมนรก ชายหนุ่มเริ่มหนักใจ แผนการล่าสตริโอ้ของตนชักไม่ราบรื่นอย่างที่คิด


‘สงสัยยังเร็วเกินไปที่จะเล็งหัวใจของเทพอสูร’


หมายความว่า กริดสามารถมุ่งมั่นเก็บเลเวลได้โดยไม่ต้องนึกเสียดายภายหลัง ค่อยกลับมาจัดการสตริโอ้ในเวลาที่ตนพร้อมก็ยังไม่สาย


หลังจากตัดสินใจได้ ชายหนุ่มโค้งศีรษะคำนับเบ็ตตี้อย่างนอบน้อม


“ขอบคุณที่ช่วยเหลือครับ”


“อา”


“แล้วก็… ผมจะจัดการบาเอลให้ได้ในสักวัน”


ว่ากันตามตรง กริดค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับสิ่งที่กล่าวออกไป


อย่างตนจะไปมีน้ำยาอะไรจัดการบาเอลได้?


หรืออย่างน้อย ตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นหนทาง


ขณะกริดเริ่มหน้าแดง เบ็ตตี้เผยรอยยิ้ม


เป็นยิ้มแรกที่ชายหนุ่มได้เห็นจากอีกฝ่าย


“ข้าขอเอาใจช่วย… ถ้าติดขัดเรื่องใดก็มาปรึกษาได้”


ความตายของบาเอลย่อมหมายถึงความตายของเบ็ตตี้ เพราะเธอเป็นอมตะด้วยสถานะผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล


นั่นคือสิ่งที่เบ็ตตี้ปรารถนามาตลอด


[ค่าความสัมพันธ์กับสภาหอคอย ‘เบ็ตตี้’ เพิ่มขึ้น 30 หน่วย]


“ขอตัวก่อนครับ…”


ตนเป็นฝ่ายถูกช่วยเหลือ แต่ค่าความสัมพันธ์กลับเพิ่มขึ้น?


เธอต้องโดดเดี่ยวเพียงใด จึงจะตื่นเต้นกับคำสัญญาเล็กน้อยเช่นนี้?


ด้วยอารมณ์ซับซ้อน กริดหวนนึกถึงโครงกระดูกสีขาวของเบ็ตตี้ พลางทวีความเกลียดชังต่อบาเอล


‘เราต้องกำจัดมันให้ได้’


กริดยังไม่ลืมเสียงร้องโหยหวนของดวงวิญญาณแพ็กม่า และยิ่งไม่ลืมเสียงหัวเราะอย่างสะใจของบาเอลในเวลานั้น


เมื่อเดินออกจากห้องเบ็ตตี้พลางสาบานในใจ ชายหนุ่มพลันสะดุ้ง


“ไม่ได้พบกันเสียนาน”


บุรุษผมทอง


ชายรูปงามผู้มีบรรยากาศสง่างามกำลังยืนรอกริด


“สวัสดีครับ ท่านฮายาเตะ”


กริดคุกเข่าลงหนึ่งข้าง


อีกฝ่ายคือประมุขของหอแห่งปัญญาและนักล่ามังกร ขณะเดียวกันก็ยังเป็นอาจารย์ผู้ถ่ายทอดปราณดาบอนันต์ให้ตน กริดย่อมสำนึกในบุญคุณเป็นล้นพ้น


ฮายาเตะจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาเอ็นดู


“ได้พบเทพสงครามแล้วสินะ… แถมยังเป็นตัวจริง”


ฮายาเตะคือสุดยอดเหนือมนุษย์ที่สามารถมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวกริดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


“ท่านรู้จักซือโหยวด้วยหรือ”


“ข้าสัมผัสถึงการจ้องมองของเขาได้ตลอด”


“จ้องมอง…?”


“สายตาที่จ้องมองข้า… จากตรงนั้น”


เพดานหอคอย


ไม่สิ กล่าวให้ชัดคือ ฮายาเตะกำลังชี้ไปยังท้องฟ้าเหนือเพดาน


จะต้องทรงพลังขนาดไหนกัน ถึงสามารถสัมผัสสายตาของเทพที่จ้องมองลงมาจากสวรรค์


ขณะกริดกำลังทึ่งมากกว่าชื่นชม ฮายาเตะยื่นข้อเสนอ


“ข้าอยากมอบหมายงานให้ทำ พอจะมีเวลาไหม”


“แน่นอนครับ”


จริงอยู่ที่กริดอยากอัปเลเวล แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธภารกิจตรงหน้า


โดยเฉพาะงานแรกที่ฮายาเตะมอบให้ ของรางวัลย่อมสมน้ำสมเนื้อ


‘เราจะตอบรับทุกเงื่อนไข ต่อให้ไม่มีรางวัลก็ตาม’


กริดยังไม่ลืมหน้าที่ของ ‘หัวแถว’


แทนที่จะเอาแต่ขอความช่วยเหลือจากสภาหอคอย ตนต่างหากที่ต้องทำให้โลกมนุษย์สงบสุข ด้วยการสะสางงานตามที่สภาหอคอยสั่ง


นี่คือนิยามของหัวแถว


‘…เดี๋ยวนะ’


กริดผุดคำถามใหม่ในใจ


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าแอ็กนัสได้เป็นหัวแถว?


‘โลกคงยุ่งวุ่นวายไม่น้อย…’


ชายหนุ่มพลันตระหนักถึงภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงของตน

______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,804
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/


Comments

  1. ถ้าแอ็กนัสได้เป็นหัวแถวบอกได้คำเดียวว่า"ชิบหาย"

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00