จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,336



บีบัน ลำดับเก้าของหอแห่งปัญญา


ในฐานะผู้คิดค้นวิชาดาบไร้เทียมทาน คงไม่เกินจริงไปนัก หากจะกล่าวว่าชายคนนี้คืออาจารย์ของมุลเลอร์


บีบันได้เจอกริดอีกครั้งหลังจากไม่ได้พบกันนาน


อดีตอริยดาบส่ายหน้าพลางวางผ้าขี้ริ้วลง


“เมื่อครั้งมาเยือนหอคอยคราวก่อน เจ้าได้เรียนรู้การบรรลุไปแล้วไม่ใช่หรือ?”


ถูกต้อง และนอกจากระบบบรรลุ ชายหนุ่มยังได้รับปราณดาบอนันต์เป็นของแถมจนแข็งแกร่งขึ้นมาก


สำหรับกริดที่เคยท่องไปทั่วโลกและได้พบผู้คนมากมาย เหล่าสภาหอคอยล้วนแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง


“ใช่ครับ”


“แล้วทำไม… เจ้าถึงแทบไม่พัฒนาขึ้นเลย?”


กริดรู้สึกราวกับถูกชกหน้า


มันทราบว่า ‘การพัฒนา’ ในความหมายของบีบันคือ ‘เลเวล’


หลังจากโค่นจอมอสูรสองตนในนรก เลเวลของกริดเพิ่มขึ้นอย่างมากจนกลายเป็น 421


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันยังครองอันดับหนึ่งของโลกอย่างเหนียวแน่น


แต่สำหรับสภาหอคอย ตัวเลขเพียงเท่านี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจอะไร


ถูกต้อง บีบันกำลังผิดหวังในตัวกริด


“ขอโทษด้วยครับ”


แน่นอน ชายหนุ่มค่อนข้างละอายใจ นั่นเป็นความรู้สึกจากก้นบึ้ง


กริดไม่ปฏิเสธว่า เลเวลของตนพัฒนาได้ช้าจนน่าตกใจ หากเทียบกับสภาพแวดล้อมและทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ในมือ


“…ขอโทษทำไม?”


บีบันส่ายหน้า


“ทุกคนมีพรสวรรค์ไม่เท่ากัน เจ้าแค่มีน้อยกว่าปรกติ… ใช่แล้ว ขาดไปแค่นิดเดียวเท่านั้น”


เฉกเช่นที่เคยเปลี่ยนจากครอเกลเป็นกริด ในไม่ช้า ตำแหน่งหัวแถวก็คงตกไปเป็นของคนอื่น


บีบันตระหนักถึงเรื่องนี้มาตลอด จึงคอยสาบานกับตัวเองว่า จะไม่ทำตัวสนิทสนมกับกริดมากเกินไปนัก


หอแห่งปัญญาต้องตัดขาดจากมนุษย์โดยสมบูรณ์ ห้ามออกไปพบปะคนทั่วไปนอกเหนือจากหัวแถวเด็ดขาด บีบันจึงเกรงว่า หากตนสนิทสนมกับกริดมากไป เมื่อถึงเวลาแยกจากกันจะต้องเสียใจภายหลัง


“แล้วลมอะไรพัดเจ้ามาที่นี่หรือ”


“ผมอยากทราบว่า สภาหอคอยคนใดคุ้นเคยกับแวมไพร์บ้าง…”


“แวมไพร์? ทำไมถึงได้สนใจเรื่องแวมไพร์ขึ้นมา?”


โดยไม่ต้องอธิบายยืดยาว เพียงกริดแสดงแหวนเอลฟิน·สโตน บีบันเริ่มเข้าใจสถานการณ์


“หลังจากลิ้มรสเลือดจนถึงจุดหนึ่ง เจ้าสามารถปลดผนึกแหวนวงนี้ได้ แต่แวมไพร์ด้านในกลับไม่ยอมตอบสนองการอัญเชิญ?”


“ครับ”


“เฮ่อ… พวกยุงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขาดมารยาทมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”


ไม่ผิดจากที่กริดคาด บีบันผู้มีอายุยืนนับร้อยปี เคยมีความหลังบางอย่างกับแวมไพร์มาก่อน


ว่าแต่… เป็นแวมไพร์ตนใดกัน?


เมื่อเห็นกริดเผยสีหน้าตื่นเต้น บีบันชี้ไปยังเสื้อคลุมของชายหนุ่ม


“ตนที่ใช้ผ้าคลุมผืนนั้นห่มเวลานอน”


“อา… เฟนเรียร์…”


“เห็นว่าเป็นลูกคนโตหรือคนที่สามของเบริอาเช่นี่แหละ… ฝีมือไม่เท่าไร แต่ชอบทำตัวโอหังเกินเหตุ หากไม่ใช่เพราะแวมไพร์เป็นศัตรูกับจอมอสูร ข้าคงเชือดมันทิ้งไปนานแล้ว”


เป็นอย่างที่คิด…


หากมองเพียงผิวเผิน บีบันอาจดูเหมือนสภาหอคอยที่มักทำอะไรโดยไม่ใช้สมอง แต่ในความเป็นจริง ยอดฝีมือก็ยังเป็นยอดฝีมือ นอกจากต้องสู้กับมังกร สภาหอคอยยังต้องคอยสอดส่องจอมอสูร เพราะเป้าหมายสูงสุดของหอแห่งปัญญาคือการ ‘ปกป้องมนุษยชาติ’


“กว่าผมจะเอาชนะเฟนเรียร์ได้ ต้องอาศัยพวกพ้องจำนวนมาก แต่ท่านกลับจัดการได้ง่ายดาย…”


กริดมองไปทางบีบันด้วยสีหน้านับถือ


ได้ยินเช่นนั้น บีบันหัวเราะอย่างภูมิใจ


“ไม่มีสิ่งใดที่ดาบของข้าฟันไม่เข้าหรอกนะ”


ไม่มีสิ่งใดที่ดาบตัดไม่ได้


นั่นคือคำนิยามแรกสุดของคลาสอริยดาบ


กริดผุดข้อสงสัย


“ดาบของอริยดาบสามารถฟันมังกรหรือเทพได้ไหม?”


ฟันเทพหรือมังกร


ขึ้นอยู่กับความสำเร็จที่สั่งสมมาในอดีต เหนือมนุษย์สามารถกลายเป็นสุดยอดตัวตนอย่าง ‘นักล่ามังกร’ หรือ ‘ผู้สังหารเทพ’ ได้ทั้งสิ้น


แต่ขณะเดียวกัน สิ่งนี้ก็ยังหมายถึงขีดจำกัด


เหนือมนุษย์ต้อง ‘เลือก’ ว่าจะฟันเทพหรือมังกร ไม่ใช่ทั้งสอง ระบบคงไม่ยอมให้เหนือมนุษย์พัฒนาไปเป็นตัวตนที่สุดยอดเกินไป


เช่นนั้นแล้ว อริยดาบล่ะ?


บีบันมอบคำตอบ


“แน่นอน ข้าฟันได้ทั้งสอง”


“…!”


นี่คือวินาทีที่พิสูจน์ว่า อริยดาบคือคลาสสายต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด


ขณะกริดกำลังขนลุก บีบันเล่าต่อด้วยสีหน้าขื่นขม


“แต่การฟันนั้นเป็นคนละเรื่องกับการฆ่า หากจะมีใครสักคนทำอย่างหลังสำเร็จ ก็คงต้องเป็นอริยดาบที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่ามุลเลอร์”


บีบันมั่นใจมาก วิชาดาบที่ดีที่สุดในโลกคือวิชาดาบไร้เทียมทาน


หลักฐานยืนยันก็คือ เมื่อยอดอัจฉริยะอย่างมุลเลอร์สืบทอดไป เขาได้กลายเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา


อย่างไรก็ตาม กระทั่งเจ้าของวิชาอย่างบีบันก็ทำได้เพียง ‘ฟัน’ มังกร ไม่สามารถ ‘ฆ่า’ มังกรได้


จากสภาหอคอยทั้งหมด มีเพียงฮายาเตะคนเดียวที่สามารถฆ่ามังกร


หรืออีกนัยหนึ่ง การฟันกับการฆ่านั้นเป็นคนละเรื่อง


“หากผู้ใดคิดค้นวิชาดาบที่ดีกว่าวิชาดาบไร้เทียมทานสำเร็จและกลายเป็นอริยดาบ… เขาจะฆ่าได้ทั้งเทพและมังกร”


แต่คนเช่นนั้นจะมีอยู่จริงหรือ?


บีบันไม่เชื่อว่า โลกมนุษย์จะให้กำเนิดอริยดาบที่เหนือกว่ามุลเลอร์ได้


แต่ในทางกลับกัน กริดนึกถึงใครบางคนทันที


“ครอเกล”


“…?”


“บีบัน คนที่ท่านหมายถึง… ต้องเป็นครอเกลแน่”


“หืม…”


จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?


เด็กหัดฟันดาบผู้สูญเสียตำแหน่งหัวแถว และไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันตลอดหลายปีหลังจากได้เป็นอริยดาบ คนแบบนั้นจะทำอะไรได้?


บีบันซึ่งเตรียมโต้แย้ง พลันปิดปากสนิทหลังจากครุ่นคิด


มันฉุกคิดได้ว่า ครอเกลปฏิเสธการสืบทอดวิชาดาบไร้เทียมทานที่มุลเลอร์พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น


‘อย่าบอกนะ…’


บีบันยังจำได้ไม่ลืม สมัยครอเกลได้เป็นหัวแถวใหม่ ๆ ตนเคยประเมินอีกฝ่ายให้มีพรสวรรค์เหลือล้นจนแทบปราศจากจุดบอด


แต่ตอนนี้ มันกลับกำลังดูแคลนครอเกลเพียงเพราะ อีกฝ่ายไม่ประสบความสำเร็จทันทีหลังจากกลายเป็นอริยดาบ?


‘…บ้าน่า’


เมื่อบีบันตระหนัก มันเริ่มเย็นสันหลัง


‘ขนาดเรายังเหนือกว่าแพ็กม่าได้ ครอเกลต้องเหนือกว่ามุลเลอร์ได้แน่’


กริดมั่นใจมาก


มันหวนนึกถึงความจริงที่ว่า ครอเกลยังไม่เคยใช้วิชาดาบไร้เทียมทานเลยสักครั้ง และนั่นทำให้ชายหนุ่มขนลุก


‘เขารู้มาตั้งแต่แรกแล้ว… ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะก้าวข้ามมุลเลอร์’


นี่คือพรสวรรค์ที่แท้จริงของครอเกล


หัวใจกริดเริ่มเต้นระรัวเมื่อนึกถึงงานแข่งซาทิสฟายนานาชาติ


งานแข่งดังกล่าวไม่เคยอยู่ในหัวกริดมานานแล้ว เป็นได้เพียงกิจกรรมนันทนาการแสนน่าเบื่อ เพราะไม่ว่าตนจะลงรายการใด ก็จะคว้าเหรียญทองได้อย่างไร้ความตื่นเต้นเสมอ


การลงแข่งด้วยตัวเองกลายเป็นเรื่องเสียเวลา เพราะกริดสามารถให้พวกพ้องคนสำคัญอย่างขุนพลโอเวอร์เกียร์ เข้าแข่งแทนและกอบโกยลมหายใจเทพผู้พิทักษ์ได้เป็นจำนวนมาก


แต่เรื่องราวจะเปลี่ยนไปทันทีหากครอเกลกลับมาสูสีกับตนอีกครั้ง


สองบุคคลซึ่งฝีมือทัดเทียม การต่อสู้จะตื่นเต้นเร้าใจมากแค่ไหน?


ตนจะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้หรือไม่?


กริดอยากให้วันนั้นมาถึงโดยเร็ว


แต่ก่อนอื่น มันต้องยืนยันเพื่อความแน่ใจ


> ครอเกลลงแข่งนานาชาติปีนี้ไหม?


กริดถามลงแชตกิลด์ สมาชิกตอบกลับในทันที


> ไม่อยู่ในรายชื่อผู้เข้าแข่ง


> เห็นว่าทีมสหรัฐกำลังปวดหัวเพราะเรื่องนี้


‘เป็นอย่างที่คิด’


กริดเผยใบหน้าเปี่ยมสุข


‘ครอเกลก็คงเบื่อการแข่งไร้สาระเหมือนกัน’


***


ในเวลาเดียวกัน บนทวีปตะวันออก


“…?”


ครอเกลที่กำลังค้นหาเทือกเขาคายา พลันชะงักฝีเท้าและมองกลับหลัง


จนกระทั่งตอนนี้ มันรู้สึกว่าสายตาที่ยังบันคอยจ้องมองมา ช่างมอบความอึดอัดเหนือคำบรรยาย


***


กริดและบีบันเดินด้วยกันไปตามทาง จุดหมายคือห้องพักส่วนตัวของสภาหอคอยลำดับ 4 เบ็ตตี้


บีบันมั่นใจว่าเบ็ตตี้ต้องช่วยกริดได้แน่


แต่ชายหนุ่มกลับเกิดความลังเล


‘ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบหน้าเรา’


ในการมาเยือนหอแห่งปัญญาเมื่อราวสองสามเดือนก่อน กริดสัมผัสได้ว่าเบ็ตตี้แตกต่างจากคนอื่น เธอมิได้แสดงความสนใจหรือชื่นชอบกริดเป็นพิเศษ คำทักทายมีเพียงการบอกชื่อและปิดประตูอัดหน้า อเบลลิโอ้ต้องขอโทษแทนและแก้ต่างว่าเธอเป็นคนขี้อาย


แต่ถึงอย่างนั้น… คนอายุร้อยปียังมีความอายหลงเหลือด้วยหรือ?


กริดรำพันพลางหันไปมองบีบันผู้มียางอายเป็นศูนย์ด้านข้าง


‘ชักประหม่าแฮะ…’


ชายหนุ่มค่อนข้างกังวล ยังไม่ปักใจเชื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมช่วย


เมื่อคนทั้งสองมาถึงประตูห้องเบ็ตตี้ กริดกลืนน้ำลายหนึ่งอึก


บีบันเคาะประตู


ไม่สิ ท่าทางราวกับกำลังทุบมากกว่าเคาะ


“เฮ้! ยัยแก่! มีแขกมาเยี่ยม!”


แอ๊ด~


ประตูเปิดแง้มเล็กน้อย


ขณะชะโงกศีรษะผ่านช่องว่างออกมา ดวงตาของเบ็ตตี้ยังคงกลมโตเช่นเดิม มอบความรู้สึกโดดเดี่ยวจาง ๆ


แต่ขณะเดียวกัน นั่นเป็นดวงตาที่งดงามมาก ทั้งกลมกลึงและมืดมิด


ลำพังรูปลักษณ์เพียงอย่างเดียว หญิงสาวงดงามจนดูเหมาะสมกับลอร์ดประหนึ่งกิ่งทองใบหยก กริดอยากได้ลูกสะใภ้แบบเบ็ตตี้


“มาทำอะไร”


ขณะเปล่งเสียงถาม เบ็ตตี้จ้องกริดที่กำลังโค้งศีรษะคำนับ


บีบันตอบแทน


“เธอไม่ได้ยินเสียงของวิญญาณแวมไพร์ที่กำลังพูดอยู่หรือ”


เบ็ตตี้ก้มมองมือกริด


“หมายถึงเด็กคนนี้?”


เบ็ตตี้ทราบตัวตนของแหวนเอลฟิน·สโตนทันที


ราวกับเธอตระหนักได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกริดเมื่อหลายเดือนก่อน


“ช…ใช่ครับ”


ในวันแรกที่คนทั้งสองพบกัน หญิงสาวเพียงบอกชื่อของตัวเองและปิดประตูหนี ท่าทีแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นโดยสิ้นเชิง


เธอเป็นใคร? เหตุใดถึงคุ้นเคยกับแวมไพร์เป็นอย่างดี และทำไมถึงสังเกตเห็นแหวนเอลฟิน·สโตนได้ทันที?


ขณะกริดกำลังสงสัยแกมคาดหวัง เบ็ตตี้กล่าว


“เข้ามา”


“ครับ”


“บีบัน เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”


“หือ? ทำไมถึงได้เย็นชากับข้านัก!”


“ไม่ทำไม… แค่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”


“…”


เบ็ตตี้ปิดประตูใส่หน้า ทิ้งให้บีบันแหกปากตามลำพังบนทางเดินยาว


สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่เป็นเพื่อนคือผ้าขี้ริ้ว


วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่น่าหดหู่สำหรับอดีตอริยดาบสุดแข็งแกร่ง


***


“เจ้าแตกต่างจากไม่กี่เดือนก่อนมาก… สั่งสมระดับตัวตนได้ไม่เลว”


ไม่เหมือนกับบีบันสมองทึบ เบ็ตตี้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวกริดได้มากมาย


บีบันอาจแสดงท่าทีผิดหวังในด้านเลเวล แต่เบ็ตตี้กลับทึ่งในระดับของเหนือมนุษย์ ที่กริดสั่งสมเพิ่มจากเดิมภายในเวลาไม่กี่เดือน


“ครับ ก็ทำนองนั้น…”


ด้านในไม่เหมือนที่กริดจินตนาการไว้เลย


ชายหนุ่มนึกว่าห้องนี้จะตกแต่งด้วยสไตล์เจ้าหญิงสีสันสดใส แต่ในความเป็นจริง บรรยากาศกลับค่อนข้างอึมครึมและหม่นหมอง กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยคละคลุ้งเข้มข้น มิใช่กลิ่นอันหอมหวานอย่างที่ควร


แทนที่จะเป็นตุ๊กตา สิ่งที่เรียงรายอยู่เต็มห้องกลับเป็นหุ่นกายวิภาคของบรรดามอนสเตอร์และอสูรหลายชนิด มิใช่ร่างของสัตว์เล็กอย่างนก กิ้งก่า กบ หรือสัตว์เลื้อยคลานทั่วไป


มุมหนึ่งเต็มไปด้วยหุ่นกายวิภาคของสิ่งมีชีวิตสองเท้าคล้ายมนุษย์ จำนวนไม่ต่ำกว่าห้าสิบตัว


ภาพตรงหน้าค่อนข้างสยดสยอง แม้แต่กริดที่เคยสังหารมอนสเตอร์และอสูรมานับไม่ถ้วน ก็ยังอดสั่นกลัวมิได้


อย่างไรก็ตาม การแสดงสีหน้ารังเกียจนับว่าเสียมารยาท หลังจากเหลือบไปเห็นก้อนเวทมนตร์ทรงกลมที่คอยให้ความสว่างภายในห้อง กริดตัดสินใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที


“คงเป็นจอมเวทสินะครับ ถึงสามารถใช้เวทแสงได้พร้อมกันหลายสิบดวงเช่นนี้”


“นั่นมิใช่เวทมนตร์”


“…?”


ดูไม่เหมือนภูตแสงสักเท่าไร…


ขณะกริดกำลังสับสน เบ็ตตี้อธิบาย


“ทั้งหมดคือดวงวิญญาณ”


“…หือ?”


เบ็ตตี้ชำเลืองไปทางหุ่นกายวิภาค


“วิญญาณของพวกมัน”


“…”


ความคิดที่อยากได้เธอมาเป็นลูกสะใภ้ พลันอันตรธานหายในพริบตา


เบ็ตตี้กล่าวแนะนำตัวกับกริดที่กำลังยืนเกร็ง


“ข้าคือผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลคนแรก”


“…?!”


เบ็ตตี้ถอดเสื้อคลุมที่ค่อนข้างหลวม เผยให้เห็นร่างกายอันน่าตกตะลึง


นอกเหนือจากส่วนศีรษะ ลำคอ และร่างกายท่อนล่าง เกือบทั้งหมดล้วนเป็นโครงกระดูกสีขาว


ไม่ใช่คำเปรียบเปรยว่าผอมแห้งเหมือนกระดูก แต่เป็นกระดูกจริง ๆ


“ข้าคือความล้มเหลว เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยง และนั่นคือเหตุผลที่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำการวิจัยให้พ้นจากสายตาบาเอล”


“…”


“ข้ารู้จักทุกซอกมุมของวิญญาณเป็นอย่างดี”


เบ็ตตี้สวมชุดกลับ เหยียดแขนที่สวมถุงมือ แบมือรอรับบางสิ่ง


กริดพลันสะดุ้ง รีบยื่นแหวนเอลฟิน·สโตนไปทางอีกฝ่าย


เบ็ตตี้กล่าวต่อ


“แวมไพร์ทายาทจะกลับมาคืนชีพได้อีกครั้งเหมือนกับจอมอสูร หรือกล่าวได้ว่า ถึงแม้พวกเขาจะสูญเสียร่างเนื้อ แต่ก็ยังมีโอกาสกลับมาคืนชีพได้ในสักวัน… ด้วยเหตุนี้ เขาจึงดื้อรั้นและขัดขืนเจ้า”


เบ็ตตี้เริ่มร่ายยาวเมื่อเข้าเรื่องที่ตนถนัด


จากนั้น เธอถามกริดด้วยความสนใจ


“อยากควบคุมเด็กคนนี้โดยสมบูรณ์ใช่ไหม”


“ใช่ครับ”


“อยากยืมพลังของเด็กคนนี้เพื่อต่อกรกับบาเอลในอนาคตใช่ไหม?”


เบ็ตตี้ทราบดี บาเอลคือบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะคาดเดาว่า สักวันมนุษยชาติต้องทำสงครามเพื่อกำจัดบาเอล


และนั่นคือเหตุผลที่เบ็ตตี้เต็มใจช่วยเหลือ


หญิงสาวเข้าร่วมกับหอแห่งปัญญาเพื่อหลบซ่อนจากสายตาบาเอล ขณะเดียวกันก็เฝ้ารอวันที่วีรบุรุษจะถือกำเนิด


วีรบุรุษผู้เกิดมาเพื่อจัดการบาเอลแทนเธอ


“ใช่ครับ”


“ตกลง ฉันจะทำลายความหวังสุดท้ายของเด็กคนนี้”


เบ็ตตี้เริ่มดึงวิญญาณเอลฟิน·สโตนออกจากแหวน คล้ายกับเป็นการฝืนดึงด้วยพลังทางกายภาพมากกว่าเวทมนตร์


เสียงกรีดร้องสุดโหยหวนของวิญญาณเอลฟิน·สโตน ดังกังวานไปทั่วห้องจนทำให้กริดเย็นสันหลัง


ขณะนิ้วของเบ็ตตี้เริ่มฉาบด้วยแสงสว่างสีขาว เธอชี้ปลายนิ้วไปทางดวงวิญญาณเอลฟิน·สโตนที่เริ่มปรากฏตัว


“ข้าจะทำลายวัฏจักรการคืนชีพของเด็กคนนี้”


ทันใดนั้น


> กริด! อย่า! ไม่! ท่านกริด! ได้โปรด! ข้าขอสวามิภักดิ์!


เสียงแหกปากอย่างร้อนรนของเอลฟิน·สโตน แวมไพร์ผู้ต่อต้านการอัญเชิญอย่างแข็งกร้าวตลอดหลายปี กำลังโหยหวนไปทั่วห้องวิจัยอันน่าขนลุกของเบ็ตตี้


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,802
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00