จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,205



[บทกวีลำดับ 5 เสร็จสมบูรณ์!]


[ผลตอบแทนจากความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ระดับตัวตนของท่านเพิ่มขึ้น 1 ขั้น]


[จงชดเชยข้อบกพร่องของตัวท่านเองด้วยพลังชนิดใหม่]


[จงมองหาว่า ทักษะประจำคลาสของท่านชนิดใดถูกนำมาใช้งานน้อยครั้งกว่ามาตรฐาน]


[ระบบตระหนักว่า ท่านควรนำทักษะซึ่งถูกใช้งานน้อยครั้งกว่าค่ามาตรฐาน มารวมกันเป็นทักษะใหม่อันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น]


[ระบบ <ผสานทักษะ> ถูกเปิดใช้งาน]


[ค่าบารมีเทพเพิ่มขึ้น 1 แต้ม]


“หือ…!”


ทุกครั้งเมื่อระดับของเหนือมนุษย์ถูกพัฒนาขึ้นจากเดิม กริดมักได้รับรางวัลเป็นการเพิ่มพูนประสาทสัมผัส พลังเกี่ยวกับห้วงมิติ และการเสริมสมรรถภาพร่างกายอยู่เสมอ


จึงไม่แปลกหากชายหนุ่มจะเข้าใจว่า ตัวตนเหนือมนุษย์จะหมายถึง บุคคลซึ่งเหนือกว่ามนุษย์ปรกติในเชิงประสาทสัมผัสและพลังทางกายภาพเป็นหลัก


แต่ดูเหมือนนั่นจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน


‘เหนือมนุษย์ต้องแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ในทุกด้านโดยไม่มีข้อบกพร่อง…’


กริดหวนนึกถึงคำว่า ‘ตัวตนสมบูรณ์แบบ’ ในอธิบายของสมญานาม <นักสังหารเทพ>


เพื่อจะก้าวไปให้ถึงการเป็นตัวตนสมบูรณ์แบบโดยแท้จริง เราคงต้องสั่งสมระดับของเหนือมนุษย์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงขั้นสูงสุด…


‘ตัวตนสมบูรณ์แบบ… หมายถึงการสมบูรณ์แบบในทุกด้านโดยไม่มีข้อบกพร่องสินะ…’


<ผสานทักษะ>

เลือกทักษะซึ่งมีความถี่ในการใช้งานต่ำสุดจำนวนหลายทักษะ มาประกอบรวมกันเป็นทักษะใหม่หนึ่งชนิด

จำนวนคงเหลือ : 1/1

* จำนวนคงเหลือจะเพิ่มขึ้นเมื่อระดับของเหนือมนุษย์ถูกเลื่อนขั้น


“ไม่เลว”


กริดไม่เคยตระหนักถึงปัญญานี้มาก่อน


สำหรับชายหนุ่ม ทักษะจำนวนมากมิอาจถูกนำมาใช้งานได้บ่อยครั้งเนื่องจากติดข้อจำกัดหลายด้าน เช่นการสิ้นเปลืองทรัพยากร การมีระยะหน่วงนานเกินไป และการนึกไม่ถึงในบางสถานการณ์ ส่งผลให้กริดรู้สึกยินดีและเศร้าใจทุกครั้งเมื่อได้รับทักษะใหม่


มันเคยคิดว่า หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ บางทักษะจะไม่มีวันถูกหยิบมาใช้งานเลย และกลายเพียงเป็นขยะรกช่องหน้าต่างรายละเอียด


‘แต่ตอนนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว…’


ถึงแม้ทักษะใดมีจะประสิทธิภาพต่ำ แต่ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ เพราะปัจจุบันสามารถนำมาทักษะมาผสานกัน ส่วนเอฟเฟคใหม่จะเป็นเช่นไร ไว้ค่อยตรวจสอบประสิทธิภาพให้แน่ชัดในภายหลังอีกที


ไม่ว่าจะผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร แต่ระบบผสานทักษะก็นับเป็นประโยชน์ต่อกริดอย่างมาก


เหนือมนุษย์จะไปสิ้นสุดตรงไหนกัน…


ขณะชายหนุ่มครุ่นคิดหลายเรื่อง บรรยากาศรอบตัวเริ่มกลับคืนความสงบทีละนิด


ฉึบ.


เมื่อรอยแยกบนกระดองเต่าดำปิดลง หมอกพิษเข้มข้นก็เริ่มเจือจาง ความดำมืดซึ่งปกคลุมท้องฟ้าเป็นเวลานานพลันมลายหาย


ท้องฟ้ากลับไปเป็นสีน้ำเงินงดงามอีกครั้ง


ฝันร้ายอันยาวนานจบลงเสียที


“…”


ในสภาพถูกกริดสัมผัสแก้ม ร่างของเทพเต่าดำเริ่มหดตัวลงทีละนิด


เทพโบราณ สิ่งมีชีวิตซึ่งเคยมีขนาดใหญ่มหึมายิ่งกว่าขุนเขาไท่ซาน ได้แปรสภาพกลายเป็นเต่าธรรมดาอันมีขนาดร่างกายเล็กยิ่งกว่ากริด แต่ยังเหลือหางอสรพิษหน้าตาน่ากลัวกำลังกระดิกไปมาอย่างเงียบสงบ


‘เทพโบราณ…’


แม้จะไม่เข้าใจสถานการณ์ดีนัก แต่เหล่าไฮแรงเกอร์ต่างยืนจ้องมองกริดและเต่าดำด้วยร่างกายสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม


พวกมันได้ตระหนักถึงความจริงเบื้องหลังของบทกวีมหากาพย์


ประการแรก ตำนานของทวีปตะวันออกเป็นความเท็จเกือบทั้งหมด


ประการสอง ผู้ปั้นแต่งตำนานเท็จขึ้นมาไม่ใช่ใครนอกจากยังบัน โดยเจ้าของตำนานดั้งเดิมคือเทพโบราณผู้พิทักษ์สี่ทิศ


ประการสาม ‘โลกอันใกล้ล่มสลาย’ ซึ่งถูกกล่าวถึงในบทกวีลำดับ 3 และ 4 ของกริด ความจริงแล้วหมายถึงโลกของทวีปตะวันออก โดยสาเหตุของการล่มสลายก็ไม่ใช่ใครนอกจากตัวยังบัน


‘…พวกเราเคยไม่รู้อะไรเลย จึงเอาแต่เต้นรำบนฝ่ามือของยังบันมาตลอด’


‘หรือต่อให้ทราบความจริง แต่พวกเราจะกล้าเป็นศัตรูกับเทพเชียวหรือ…’


‘ถึงกระนั้น กริดกลับต่อสู้ตามลำพังมาตลอด’


ไฮแรงเกอร์ทุกคนคือมนุษย์ ย่อมมีอุปนิสัยใจคอแตกต่างกันไป


ถึงทวีปตะวันออกจะถูกทำลาย แต่พวกมันส่วนใหญ่ก็มิได้แยแส แค่ส่วนน้อยเท่านั้นจึงจะรู้สึกสงสารหรือหดหู่


แม้หลายคนจะรู้จักเนื้อแท้ของยังบันและทราบถึงความเลวระยำ แต่พวกมันก็ยังคิดจะยืนฝ่ายเดียวกับยังบันด้วยสาเหตุแตกต่างกันไป


เดิมทีเคยเป็นเช่นนั้น


จนกระทั่ง…


“ฉันแค่ทำในสิ่งถูกต้อง”


ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ไฮแรงเกอร์ทุกคนยังคงมีลมหายใจอยู่ได้เพราะความช่วยเหลือจากกริด


พวกมันเริ่มทบทวนสถานการณ์อีกครั้ง


วิถีแห่งความถูกต้องซึ่งมนุษย์พึงกระทำ…


สำหรับโลกยุคปัจจุบัน การเป็นคนดีเกินไปย่อมทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ และการยึดถือคุณธรรมความถูกต้อง กลายเป็นค่านิยมล้าสมัย


สังคมสมัยใหม่มักดูแคลนผู้ยอมเสียสละตัวเองเพื่อส่วนรวม


ไฮแรงเกอร์ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น


จริงอยู่ อาจมีข้อยกเว้นในบางราย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไฮแรงเกอร์คือกลุ่มคนซึ่งถีบตัวเองมาถึงจุดสูงสุดได้ ด้วยการคำนวณและชั่งน้ำหนักผลประโยชน์ของตัวเองอย่างละเอียด


แต่สำหรับตอนนี้


ยอมขาดทุนสักครั้งก็คงไม่เสียหายอะไร…


“…กริด”


“…?”


“แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”


“แค่ครั้งนี้… ขอให้ฉันได้เป็นพลังให้นาย!”


“หือ…?”


“ถ้าเคยรับได้รับความช่วยเหลือ ก็ต้องทดแทนบุญคุณไม่ใช่รึไง!”


“…”


กริดพลันกระอักกระอ่วนเมื่อได้ยินความต้องการของบรรดาไฮแรงเกอร์ มันยืนเงียบงันโดยไม่กล่าวสิ่งใดนานหลายวินาที


กริดย่อมทราบ ไฮแรงเกอร์แต่ละคนล้วนมีฝีมือยอดเยี่ยม


…แต่นั่นก็ยังไม่มากพอจะเอาชนะยังบัน


‘หากเลือกช่วยเราและเผชิญศึกหนักต่อจากนี้ ทุกคนคงได้เสียใจภายหลังแน่…’


ถ้อยคำมากมายกำลังเบียดเสียดในลำคอกริด


แต่สุดท้าย ชายหนุ่มเลือกกลืนพวกมันลงไป


ไฮแรงเกอร์ไม่ใช่คนโง่


‘พวกเขาคงรู้อยู่แก่ใจแต่แรกแล้วว่า ตัวเองจะต้องเสียใจในภายหลัง…’


แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคิดจะช่วยเรา


การยืนบนจุดสูงสุดของแต่ละสายอาชีพไม่ใช่เรื่องง่าย ทุกคนย่อมมีความปัจเจกและยึดถือในคุณธรรมแตกต่างกันไป


“…อยากทำอะไรก็เชิญ”


ขณะกล่าวกับไฮแรงเกอร์ กริดฉีกยิ้มกว้างพลางเผยสีหน้าอิ่มเอมหัวใจ


จากนั้น ชายหนุ่มหันไปมองเทพเต่าดำด้านข้างซึ่งกำลังแหงนหน้ามองตอบ


“ช่วยพาผมไปหาอีกครึ่งหนึ่งของคุณด้วย”


หงึก.


แทนคำตอบ เทพเต่าดำเริ่มเดินนำทุกคนไปยังทิศทางหนึ่ง


***


“ท่านอูซา (เทพพิรุณ) ต้องพอใจมากแน่”


ใครบางคนย่างกรายไปบนผืนน้ำแข็งแผ่นบาง


กึก. กึก.


ด้วยฝีก้าวบางเบาราวกับขนนก แผ่น้ำแข็งเบื้องล่างจึงไม่ปรากฏรอยแตกร้าว


“หากปราณวารีของเต่าดำถูกผนึก ท่านอูซาจะได้เป็นผู้กุมวารีแห่งชีวิตแต่เพียงผู้เดียว”


ยังบัน ‘มารุ’ กำลังก้าวเดินอย่างมั่นคงโดยไม่เสียสมดุลบนพื้นน้ำแข็งลื่น


การแต่งกายตรงข้ามยังบันคนอื่น มิได้สวมชุดรุ่มร่าม แต่เลือกเผยเนื้อหนังอันกำยำของร่างกายซึ่งผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก


เมื่อหันไปเห็นบองเดรกำลังฟื้นฟูมานาหลังจากใช้พลัง ‘ศูนย์องศาสัมบูรณ์’ มารุส่งยิ้มให้อีกฝ่าย


“ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาจะสามารถผนึกปราณวารีของเต่าดำได้ เจ้าคงฝึกฝนมาไม่น้อยกว่าจะถึงจุดนี้”


“ขอบคุณสำหรับคำชม”


บองเดรตอบพลางก้มศีรษะต่ำ


อีกฝ่ายคือเทพ


ถึงแม้จะเป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งในทางทฤษฎีคือภาพจำลองและกลุ่มก้อนสมองเทียมสำหรับประมวลผล แต่ตัวตนของยังบันก็มากพอจะสะกดข่มบองเดรจนสั่นกลัวจากก้นบึ้งจิตใจ


ไม่เพียงเท่านั้น มารุยังมีระดับสูงกว่ายังบันทั่วไปมาก บองเดรเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่า แม้แต่กริด แอ็กนัส หรือเฟคเกอร์ ผู้เคยทำให้ตนต้องอับอายขายหน้า ก็ไม่มีวันก้าวไปอยู่ในจุดเดียวกับมารุได้


‘เข้าใจแล้วว่าทำไม พวกจิตป่วยหลายคนถึงมองเห็นคุณค่าชีวิตของ NPC…’


ในหลายปีหลัง โลกเริ่มมีกลุ่มคนจิตป่วยผู้พยายามมอบความรักให้ NPC มากขึ้น


บองเดรยังจำได้ไม่ลืมว่า กริดถึงขั้นแต่งงานกับ NPC และมีลูกด้วยกันในเกม


ในตอนแรก มันไม่ค่อยเข้าใจนัก


จริงอยู่ บองเดรอาจมอง NPC เป็นพวกพ้องในบางกรณี แต่มันก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมคนอื่นถึงสามารถมองก้อนข้อมูลเป็นเพื่อนสนิท คนรัก หรือแม้กระทั่งเล่นพ่อแม่ลูกภายในเกม


อย่างไรก็ตาม บองเดรในปัจจุบันเริ่มตาสว่าง


หลังจากถูกยังบันสะกดข่มจิตใจเต็มไปด้วยความหวาดผวา บองเดรเริ่มเข้าใจความรู้สึกของกลุ่มคนจิตป่วยขึ้นมาบ้าง กลุ่มคนผู้แยกแยะระหว่างความจริงกับเกมไม่ออก


‘นี่เป็นแค่เกมจริงหรือ’


ทำไมถึงสมจริงและน่าหวาดหวั่นเช่นนี้…


วันดีคืนดี อาจมีอุกกาบาตสักลูกพุ่งชนโลก และทำให้ความจริงกับเกมไม่สามารถแยกออกจากกันได้อีก พร้อมเปลี่ยนสามัญสำนึกของผู้คนไปตลอดกาล


ขณะบองเดรครุ่นคิดถึงอนาคตซึ่งมนุษย์มิอาจแยกแยะความจริงกับภาพลวงตา มันสัมผัสได้ว่า มานาของตนเด้งกลับมาเต็มหลอดอีกครั้ง


พร้อมกันนั้น ระยะหน่วงของเวทมนตร์ศูนย์องศาสัมบูรณ์ถูกรีเซตทันที


ต้องขอบคุณพรจากเทพ


เป็นเพราะยันต์ซึ่งอารึมมอบให้บองเดร อัตราการฟื้นฟูมานาตามธรรมชาติจึงเพิ่มขึ้นจากปรกติราวสามเท่า พร้อมกับได้รับบัฟสุดมหัศจรรย์อย่าง ‘เมื่อมานาเด้งเต็มหลอด ระยะหน่วงหลังใช้ของเวทมนตร์จะถูกรีเซต’


ทันใดนั้น สายตาของเหล่ายังบัน รวมไปถึงมารุและอารึม ต่างหันมาจ้องบองเดรอย่างพร้อมเพรียง


ขณะถูกกดดันโดยสายตาจำนวนมาก บองเดรรีบร่ายเวทมนตร์แบบ ‘คู่ขนาน’ สองชนิดพร้อมกัน


‘เยือกแข็ง’ และ ‘ศูนย์องศาสัมบูรณ์’


บองเดร ผู้บรรลุศาสตร์การร่ายเวทขนานเป็นลำดับสี่ของโลก สามารถกระทำในสิ่งทะเยอทะยาน อย่างการดัดแปลงให้ศูนย์องศาสัมบูรณ์กลายเป็นทักษะวงกว้างด้วยการผสานเข้ากับเวทมนตร์เยือกแข็ง


นี่คือเหตุผลว่าทำไม ราชาวัลฮัลล่า อาเรส จึงรีบดึงตัวบองเดรไปเข้าร่วมกองทัพ


แกร่ก!


แกร่ก แกร่ก! แกร่ก!


ความชื้นในบรรยากาศโดยรอบพลันแข็งตัวโดยไม่มีข้อยกเว้น ผิวน้ำรอบอ่างถูกปกคลุมด้วยแผ่นน้ำแข็งบางอย่างทั่วถึง


เมื่อเห็นบองเดรเริ่มอิดโรยจากการสูญเสียค่าเรี่ยวแรงมหาศาล สีหน้าของอารึมเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นทันที


“เร็วเกินคาด…”


ณ อ่างน้ำซึ่งเธอกำลังนั่ง ด้านล่างมีซากศพจำนวนหลายสิบกำลังนอนในท่าเหยียดตัวตรง


สภาพศพคล้ายกับมัมมี่อายุหลายร้อยปี


โดยสมัยยังมีชีวิต พวกมันทุกคนเคยเป็นนักพรตผู้เชี่ยวชาญด้านพลังน้ำแข็ง


ก่อนบองเดรจะมารับงานแช่งแข็งปราณวารีของเต่าดำ นักพรตเหล่านี้เคยทำมาก่อน


***


“เมื่อไรจะเริ่มสักที!”


ณ ทางระบายน้ำใต้ดินอันเต็มไปด้วยบรรยากาศหนาวเย็นกัดถึงกระดูก


แม้จะได้ยินการรบเร้าอย่างร้อนรนจากเฒ่าดาบมาร ฮวางกิลดงกลับทำเพียงแหงนหน้ามองเพดานซึ่งมีเกล็ดน้ำแข็งย้อยโดยไม่กล่าวสิ่งใด


“เริ่มสักทีเถอะ! ก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป!”


ทันใดนั้น ฮวางกิลดง ผู้ไม่ยอมแบ่งเสื้อขนหมีแสนอบอุ่นให้อีกฝ่ายสวม หันไปกล่าวกับเฒ่าดาบมารด้วยสีหน้าและน้ำเสียงลุ่มลึก


“รออีกสี่ครั้ง หากเกิดภาวะน้ำแข็งฉับพลันครบสี่ครั้งเมื่อไร พวกเราจะเริ่มลงมือทันที”


“ทำไมต้องสี่ครั้ง?”


พวกมันเริ่มจับจังหวะได้ ภาวะอากาศเย็นเฉียบฉับพลันจะเกิดขึ้นทุก ๆ สามนาที


หมายความว่า ภายใต้สภาพอากาศเลวร้ายยิ่งกว่าขั้วโลกเหนือเช่นนี้ เฒ่าดาบมารต้องทนความหนาวไปอีกไม่ต่ำกว่า 15 นาที ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยเมื่อประเมินว่ามันไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าสำหรับต้านทานอากาศหนาว


“เมื่อถึงตอนนั้น เต่าดำจะสัมผัสถึงอันตรายและลืมตาตื่นขึ้น ถึงแม้เทพเต่าดำจะถูกผนึกภายในอัญมณี แต่ก็ยังหยั่งถึงอันตรายภายนอกได้ประมาณหนึ่ง”


เมื่อกล่าวจบ ฮวางกิลดงนำมือทั้งสองข้างเข้าไปซุกในเสื้อขนหมีตัวหนา


พลางฉีกยิ้มกว้างและกล่าว


“ขณะเกิดความโกลาหล พวกเราจะลอบเข้าไปขโมยอัญมณีเต่าดำออกมา”


“…”


ยิ่งสนิทสนม ชายคนนี้ก็ยิ่งขาดความเกรงใจ


หลังจากใช้หางตาชำเลืองฮวางกิลดงผู้ไม่ยอมแบ่งเสื้อขนหมีมาให้สวม เฒ่าดาบมารตัดสินใจหันไปมองยังเส้นทางซึ่งพวกตนใช้เดินมา


‘ป่านนี้ด้านบนคงถูกทำลายราบคาบแล้ว’


ก่อนจะลอบแทรกซึมลงมาในทางระบายน้ำใต้ดิน เฒ่าดาบมารเห็นกลุ่มแรงเกอร์ทยอยมารวมตัวกันภายในเมืองเฉาจื่อ


พวกเขาถูกยังบันหลอกใช้ และตอนนี้อาจไม่มีใครรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว…


‘ต้องขอโทษด้วย… แต่ฉันเองก็ช่วยอะไรพวกนายไม่ได้มากนัก คงต้องปล่อยให้รับรู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของยังบัน จะได้ไม่กล้ามาเหยียบทวีปตะวันออกอีก’


ขณะเฒ่าดาบมารกำลังภาวนาให้ไฮแรงเกอร์ปลอดภัย เสียงของฮวางกิลดงดังแว่ว


“กำลังมองหาทางหนีเผื่อไว้หรือ”


“เปล่า แค่กำลังมองว่าพวกเราเดินมาจากทางไหน พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”


“…แต่พวกเราไม่ได้มาจากทางนั้น”


***


ในเวลาเดียวกัน เขตรอบนอกเมืองเฉาจื่อ


บราฮัมในสภาพบาดเจ็บยับเยิน ทิ้งตัวนั่งลงด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย


มันพยายามใช้เวทมนตร์รักษาแขนขวาซึ่งถูกกระบี่ฟันจนเกิดแผลฉกรรจ์ พลางขมวดคิ้ว


“เฮ่อ…”


ปัญหาสำคัญของเราคือ ดวงวิญญาณได้รับความเสียหายโดยตรงถึงสองครั้ง ส่งผลให้อ่อนแอลงจากสมัยก่อน…


ขณะบราฮัมกำลังขยะแขยงในความอ่อนหัดของตัวเอง มันนำเสื้อคลุมมังกรครามเปื้อนเลือดจำนวนเจ็ดตัวออกมาวางเรียงราย


▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 4 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,595

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/


Comments

  1. 👍👍👍
    ขอบคุณ​มาก​ๆ​ครับ​

    ReplyDelete
  2. ฮวากิลดงคือ..กวนตีนจัดๆ 555+

    ReplyDelete
  3. บราฮัมตึงเกิ๊นนน ขนาดอ่อนแอลงนะนิ

    ReplyDelete

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00