จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,537
จะมีสักกี่คนที่เส้นชีวิตเป็นเส้นแบนราบ?
คนส่วนมากมีเส้นชีวิตแบบผันผวน
โดยเฉพาะ
เส้นชีวิตของชายหนุ่มเปรียบได้กับรถไฟเหาะตีลังกา ผ่านมาแล้วทั้งสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุด
ได้เผชิญกับเหตุการณ์หลากหลายรูปแบบจากหลายมุมมอง และได้พบเจอผู้คนหลากหลายบุคลิกจากแตกต่างมุมมอง
วิสัยทัศน์ย่อมถูกขัดเกลา
‘ราชาขุนเขามีนิสัยอ่อนโยนผิดคาด’
กริดครุ่นคิดขณะเดินขึ้นไปบนเนินเขาสูงชัน
ภูเขาที่ก่อตัวจากหิน
ยากที่จะพบหญ้าสักต้น
เป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่มีชะตากรรมอื่นนอกจากต้องทุกข์ทรมานจากความยากจน
แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีชนเผ่าอาศัยอยู่ที่นี่ได้นานนับพันปี
เป็นข้อพิสูจน์ว่าผู้ปกครองสูงสุดมิได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวแม้แต่น้อย
สายตาของเหล่าผู้พิทักษ์ที่กำลังย่างกรายคืออีกหนึ่งเครื่องพิสูจน์
ไม่มีใครหวาดกลัวผู้ปกครอง
‘นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาพาเรามาทางนี้’
ออกซิเจนจางลงอย่างรวดเร็ว
อาจจะดูเหมือนทุกคนกำลังเดินวนอยู่กับที่ แต่ในความเป็นจริง ทุกคนกำลังเดินขึ้นที่สูง
อย่างไรก็ตาม กริดทราบดี
ปลายทางที่ทุกคนกำลังเดินไปไม่มีราชาขุนเขา
เพราะแม้จะฟื้นฟูความทรงจำเกี่ยวกับเกรเนียร์กลับมา ซีดานก็ไม่เคยพูดเรื่องการขาดออกซิเจน
‘พวกมันไม่คิดจะพาแรนดี้ไปหาราชาขุนเขา… แต่เป็นการลวงไปกิน’
กล่าวคือ ต่อให้คนเหล่านี้โลภ แต่ก็จะไม่ถูกทวยเทพลงโทษตามหลัง
กริดอาศัยสภาพแวดล้อมในการวิเคราะห์อุปนิสัยของราชาขุนเขา
อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น
ไม่ว่าราชาขุนเขาจะมีนิสัยเช่นไร จุดประสงค์กริดก็ไม่เปลี่ยนไป
กริดต้องการพลัง และราชาขุนเขาก็ดำรงชีวิตด้วยการล่าตำนานและเทพ
ทั้งสองฝ่ายมีชะตากรรมต้องห้ำหั่นกัน บางทีการต่อสู้อาจเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วินาทีที่ได้พบหน้า
‘แรนดี้ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว’
ลมหายใจแรนดี้เริ่มติดขัด
นับตั้งแต่มาอยู่กับกริด ฝ่าเท้าของเธอก็เหยียบย่ำแต่ผืนดินราบเรียบของมนุษย์มาตลอด จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับตัวให้เข้ากับดินแดนสันโดษ
[สัตว์เลี้ยงของท่าน ‘แรนดี้’ เริ่มหายใจถี่ขึ้น ส่งผลให้สมาธิ การตัดสินใจ และประสิทธิภาพกล้ามเนื้อลดลง, พลังชีวิตจะลดลงอย่างต่อเนื่อง]
ขณะอาการของแรนดี้เริ่มเลวร้าย
“อา… ค่อยสบายตัวหน่อย”
ผู้พิทักษ์ที่หยุดเดินตรงริมหน้าผาเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย
ด้านล่างหน้าผาสามารถมองเห็นเมฆ และดวงอาทิตย์ที่เพิ่งขึ้นก็ยังอยู่ระดับต่ำกว่าสายตา
ที่นี่สูงกว่าระดับน้ำทะเลนับหมื่นเมตร เป็นความสูงที่ชนพื้นเมือง ไม่สิ เป็นความสูงที่ไม่มีมนุษย์คนใดกล้าข้ามไป
แต่ในขณะเดียวกัน ที่นี่คือโลกของผู้พิทักษ์
สายตา ลมหายใจ ความผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ และอีกมากมาย
เหล่าผู้พิทักษ์เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกแง่มุม แตกต่างจากท่าทีที่แสดงให้เห็นตอนอยู่กับชาวเขา
‘ที่ราบต่ำผนึกพลังของพวกมันไว้สินะ’
แต่อันที่จริง การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก
อาจแตกต่างกันในแง่ค่าสถานะพอประมาณ
พวกมันแค่ควบคุมลมหายใจได้ดีขึ้น ร่างกายเบาลงเล็กน้อย แต่สถานการณ์ค่อนข้างแย่เมื่อประเมินว่าแรนดี้เองก็อ่อนแอลงด้วย
‘เป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้แรนดี้สัมผัสถึงความแตกต่าง’
ไม่ผิดจากที่คิด
เปรี้ยง!!
ผู้พิทักษ์หันหลังกลับมาและประเคนลูกเตะใส่ทันที ซึ่งนั่นไม่ได้รวดเร็วอะไรนัก แต่แรนดี้เองก็ตอบสนองไม่ทัน และเมื่อพลาดโอกาสชักดาบในจังหวะที่เหมาะสม เธอจึงทำได้เพียงยืนปักหลักใช้แขนป้องกันด้วยความประหลาดใจ
“ข้าบอกแล้ว! ความแตกต่างมันแค่กระดาษแผ่นบางเท่านั้น!”
เหล่าผู้พิทักษ์แหกปากด้วยความยินดีปรีดา
มันหดขากลับพร้อมกับบิดเอวเป็นแนวเฉียงจากพื้น ตามด้วยการใช้หัวไหล่กระแทก ดูเหมือนกับท่าชาร์จของทหารโล่ไม่มีผิด
แรนดี้ถูกปิดกั้นการมองเห็นด้านหน้าโดยสมบูรณ์
เธอไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหมุนตัวหลบโดยใช้ขาข้างหนึ่งเป็นแกน
ผู้พิทักษ์อ่านออก
ซ้าย ขวา และบน
พวกมันขว้างขวานดักแรนดี้ล่วงหน้าเพื่อปิดทุกช่องทางการหลบหลีก
ฉึก!
ขวานพุ่งปักหน้าอกแรนดี้ที่เลือกเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้าย เธอกัดฟันทนต่อความเจ็บและแรงกระแทก แต่ก็เลี่ยงการเสียสมดุลทางร่างกายไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช้การเสียหลักที่ร้ายแรง เธอยังยืนปักหลักสองเท้าได้แม้จะคืนสมดุลไม่เต็มร้อย
แต่สำหรับผู้พิทักษ์การเสียหลักเพียงแค่นี้ถือเป็นช่องว่างใหญ่หลวง
โครม!
ผู้พิทักษ์ตัวหนึ่งจับศีรษะแรนดี้โขกกับพื้น ส่วนผู้พิทักษ์คนอื่นตามสับด้วยขวาน
การโจมตีของทั้งสี่สอดประสานไร้รอยต่อ ราวกับพวกมันใช้ร่างกายเดียวกัน
‘ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนสภาพแวดล้อม…’
จะบอกว่าเป็นพลังการเรียนรู้ก็ไม่ผิด
ค่อนข้างน่าชื่นชมที่พวกมันสามารถเอาชนะแรนดี้ได้หลังจากความพ่ายแพ้เพียงครั้งเดียว
ดูเหมือนว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับยังบันสวมคัด
‘ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ต่อ’
โครม!!
“…!?”
“…!!”
แรนดี้ไม่เคยยอมแพ้ไม่ว่าจะตกที่นั่งลำบากมากเพียงใด
สีหน้าของผู้พิทักษ์ที่ประเคนลูกเตะพลางหัวเราะเยาะเธอที่พยายามดิ้นรนจนถึงที่สุด พลันแปรเปลี่ยนเป็นแข็งทื่อ
นั่นเพราะมีบางสิ่งตกลงมาจากฟ้าและกระแทกใส่ศีรษะของหนึ่งในพี่น้อง
เป็นก้อนโลหะสีทองดำ
อุกกาบาตจากอวกาศ?
พวกมันเผยสีหน้าตกตะลึงสุดขีดเมื่อเห็นหนึ่งในพี่น้องคอหักในสภาพหวาดเสียวและมีบาดแผลเต็มตัว
บาดแผลเหล่านั้นเกิดจากหัตถ์เทวะสามสิบข้างที่โผล่ออกมากวัดแกว่งดาบค้อน
เฉกเช่นแรนดี้ พวกมันเองก็สืบทอดค่าสถานะไปจากกริด
“นี่มัน… พลังอันยิ่งใหญ่”
ผู้พิทักษ์ที่รีบถอยอย่างลนลาน อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด
พวกมันจดจ้องแรนดี้ที่ถูกหัตถ์เทวะคุ้มครอง ราวกับอีกฝ่ายเป็นสัตว์ประหลาดอันน่าสะพรึง
‘อาวุธที่ยอดเยี่ยมพวกนี้คืออะไร?’
อาวุธทุกชิ้นที่หัตถ์เทวะถือล้วนทรงคุณค่า แถมยังมีเทวภัณฑ์ที่กริดใช้งานบ่อยอย่างดาบมังกรเพลิงและดาบอัสนีฯ
ในทางกลับกัน ขวานในมือผู้พิทักษ์ค่อนข้างห่วย
เป็นเพราะอารยธรรมของเกรเนียร์ไม่เคยพัฒนาไปไหน
‘ดูยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ในคลังสมบัติราชาขุนเขาเสียอีก…’
เหล่าผู้พิทักษ์เริ่มผ่อนคลายความกังวล ดวงตาเปี่ยมล้นไปด้วยความโลภ
มนุษย์ที่ควบคุมมือลอยได้
ทุกคนกำลังตื่นเต้นเมื่อจินตนาการว่าจะได้กินเหยื่อรายนี้และช่วงชิงบารมีเทพรวมถึงสมบัติทั้งหมดมาเป็นของตน
“คิดไม่ผิด ตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่ได้สังเวยให้ราชาขุนเขา!”
“บางทีคราวนี้อาจถึงเวลาเปลี่ยนผู้ปกครองแล้วก็ได้”
พวกมันพูดถึงการทรยศอย่างหน้าไม่อาย
ครึ่งเทพที่เกิดจากมนุษย์และราชาขุนเขาได้รับอิสระล้นเหลือ พวกมันไม่ถูกบีบบังคับให้ต้องเคารพพ่อแม่หรือเจ้านาย
เป็นแค่ความแตกต่างทางวัฒนธรรม หรือเป็นโศกนาฏกรรมที่เกิดจากนิสัยอันอ่อนโยนของราชาขุนเขา?
‘ความสุขในชีวิตราชาขุนเขาคืออะไรกันแน่’
บนโลกใบเล็กแห่งนี้ ดินแดนซึ่งรายล้อมไปด้วยลูกหลานที่เลวกว่าสัตว์
มันกำลังฝันถึงสิ่งใด?
หลังจากนึกทบทวนดูใหม่ กริดพบว่าตนยังไม่รู้จักผู้ช่วงชิงเทวตำนานดีพอ
ทราบเพียงว่า พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขโมยระดับตัวตนของคนอื่นไปเพิ่มให้ตัวเอง แต่ไม่เคยทราบหลักการหรือจุดประสงค์ของพฤติกรรม
“…”
ครุ่นคิดสักพัก กริดพลันเย็นสันหลังวาบ
คำถามที่ผุดขึ้นส่งเดชทำให้มันนึกทบทวนอีกครั้ง
ราชาขุนเขาเป็นคนอ่อนโยนจริงหรือ?
เป็นไปได้ไหมว่า การที่ไม่ฉกฉวยประโยชน์จากชนพื้นเมืองและไม่เข้มงวดกับเหล่าทายาท ทั้งหมดเป็นเพราะมันไม่สนใจไยดี?
นั่นทำให้ชายหนุ่มนึกถึงรีเบคก้า
มหาเทพผู้มักเฉยเมยต่อความตายของเทวทูตและความปรารถนาของผู้คน
หากราชาขุนเขาเป็นแบบเธอ ก็มีโอกาสสูงที่ระดับตัวตนของราชาขุนเขาจะสูงกว่าที่กริดคาดคิดไปมาก
‘…ใจเย็นก่อน นั่นยังเป็นแค่การคาดเดา’
แม้ว่าราชาขุนเขาจะมีนิสัยเหมือนมหาเทพ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าระดับตัวตนของมันใกล้เคียงมหาเทพ แบบนั้นตีตนก่อนไข้เกินไป
กริดที่เริ่มคลายความกังวล ได้ยินเสียงกริดร้องดังมาจากแรนดี้
แม้จะถูกคุ้มครองโดยหัตถ์เทวะ แต่เธอก็ยังบาดเจ็บเพิ่มเติม
เหล่าผู้พิทักษ์ซึ่งกลับมายังที่ราบสูงและได้ฟื้นคืนความแข็งแกร่ง แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกมันคู่ควรกับการเป็นครึ่งเทพ
เฉกเช่นยังบันที่ปกครองทวีปตะวันออกในฐานะผู้แข็งแกร่ง พวกมันค้นพบจุดอ่อนของหัตถ์เทวะและฉกฉวยเพื่อโจมตีแรนดี้
ดีบัฟที่แรนดี้ได้รับรุนแรงชนิดที่สามารถทำให้ถึงตาย
เมื่อขาดแคลนออกซิเจน ความคล่องตัวของแรนดี้ก็เริ่มถดถอยอย่างเห็นได้ชัด
กริดยังคงเฝ้ามองอย่างเงียบงัน เพียงหยุดการเย็บปักและเปลี่ยนมาใช้เตาหลอมพกพากับค้อนและทั่งแทน
เนื่องจากสร้างเสื้อคลุมให้โครงกระดูกหนึ่งเสร็จแล้ว ลำดับถัดไปจึงเป็นการสร้างดาบเล่มใหม่
‘เป็นเรื่องดีที่ช่องสวมใส่อุปกรณ์เพิ่มขึ้นหลังจากยึดร่างซิก’
หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์คือการที่พวกมันสามารถสวมใส่ไอเท็ม แต่ก็ยังถูกจำกัดจำนวนช่องเอาไว้ โดยล่าสุดโครงกระดูกหนึ่งเพิ่งได้รับเพิ่มอีกสองช่อง
เมื่อพิจารณาถึงประสิทธิภาพของไอเท็มฝีมือกริด ช่องสวมใส่ไอเท็มนับว่ามีมูลค่ามหาศาล มากพอจะทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เหมือนกับแรนดี้
อ๊ากกกกกก!!
“อะไรกัน…?”
กริดมักใช้แรนดี้เป็นเกราะเนื้อ
โดยเฉพาะการต่อสู้ในระดับสูง
ยิ่งศัตรูที่กริดเผชิญหน้าแข็งแกร่ง จำนวนครั้งที่แรนดี้ต้องตายก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่ากริดไม่สบายใจ เนื่องจากแรนดี้เป็นสัตว์เลี้ยง ความตายของเธอจึงไม่ใช่การตายในเชิงความหมาย แต่ถ้าเป็นการตายอย่างเปล่าประโยชน์ กริดก็อดไม่ได้ที่จะทุกข์ใจ
ชายหนุ่มไม่ต้องการให้แรนดี้ตาย และหวังเป็นอย่างยิ่งกว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติมากเพียงใด เธอก็จะยิ่งแสดงฝีมือได้เฉิดฉายมากเท่านั้น
เป็นเหตุผลให้กริดสร้างเกราะตัวนั้น
เกราะที่จะเปลี่ยนค่าความเสียหายสะสมให้กลายเป็นค่าสถานะเมื่อพลังชีวิตของผู้สวมลดลงจนถึงจุดหนึ่ง
คุณสมบัติเช่นนี้นับว่าหาได้ทั่วไป เหล่านักรบคลั่งใช้กันเป็นว่าเล่น
วิดีโอของอาสึกะที่ติดอาวุธกริดและฆ่าบอสเลือดเต็มด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวหลังจากสะสมค่าความเสียหายมาเป็นเวลานาน ครั้งหนึ่งเคยเป็นวิดีโอที่ติดอันดับ #1 ในมาแรงไปทั่วโลก
และค่าสถานะของแรนดี้ย่อมสูงกว่าอาสึกะ
อาวุธและชุดเกราะที่กริดสร้างให้แรนดี้ก็ยอดเยี่ยมกว่าของอาสึกะ
“คึ… อึก…”
ผู้พิทักษ์ที่เคยบาดเจ็บสาหัสจากก้อนละโมบเมื่อครู่
ดาบของแรนดี้แทงใส่หัวใจมันอย่างเลือดเย็น จนกระทั่งอีกฝ่ายกลายเป็นแสงสีเทา
นี่คือศักยภาพของแรนดี้ที่กริดคาดหวัง
“เหลวไหลสิ้นดี…!”
ครึ่งเทพมิได้เป็นอมตะ
เหล่าผู้พิทักษ์รู้เรื่องนี้ดีที่สุด
พวกมันที่ปกป้องราชาขุนเขามานานนับพันปี ย่อมเคยเห็นความตายของเหล่าทวยเทพมานับไม่ถ้วน
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความประหลาดใจเจือสยดสยอง
[ราชาขุนเขาแห่งเกรเนียร์ปรากฏกาย]
[ภูเขาขนาดใหญ่ที่หยั่งรากลึกลงไปในดิน ตอบสนองต่อเจตจำนงของผู้ปกครอง]
ครืนนนนนนน…
คล้ายกับเกิดแผ่นดินไหว ยอดเขาสูงตระหง่านทั้งสามค่อยๆ พังถล่ม
เหล่าหัตถ์เทวะช่วยกันยกร่างแรนดี้มาไว้ข้างกริด ขณะที่เหล่าผู้พิทักษ์กำลังห้อยตัวลงมาจากหินเพื่อหลีกเลี่ยงการร่วงหล่น
กริดเก็บเตาหลอม ทั่ง ค้อน และอุปกรณ์อื่นกลับเข้าไปในช่องสัมภาระพร้อมกับเงยหน้า
ชายผมขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์หินมหึมาที่สร้างโดยเศษยอดเขาที่พังทลาย
สภาพผอมซูบหนังติดกระดูก แก้มไม่มีเนื้อ ผิวหนังปริแตก ริมฝีปากแห้งประหนึ่งพร้อมฉีกขาดและเลือดไหลได้ทุกเวลา
ไม่เข้ากับสมญานามอย่างผู้ช่วงชิง ผู้ล่า หรืออะไรทำนองนั้นเลยสักนิด ถ้าจะให้เรียกว่าผู้หิวโหยคงจะเหมาะกว่า
แต่ไม่ว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไร ต้องไม่ลืมว่านั่นเป็นเพียงรูปกายภายนอก
กริดสั่นสะท้านเล็กน้อย
[สายตาของราชาขุนเขากำลังตรวจสอบท่าน]
[ข้อมูลทักษะและเวทมนตร์บางชนิดที่ท่านครอบครองถูกเปิดเผยแก่ราชาขุนเขา ความเสียหายของทักษะและเวทมนตร์ที่กระทำต่อราชาขุนเขาจะลดลง 80%, โอกาสโจมตีจุดอ่อนและคริติคอลลดลง 50%]
[เป้าหมายมีระดับตัวตนสูงกว่าท่าน ท่านต้านทานล้มเหลว]
“เทพโอเวอร์เกียร์? คิดอยู่แล้วว่าเจ้าต้องมาหา”
[เสียงของราชาขุนเขาสะท้อนกึกก้อง สมดุลของร่างกายท่านมีปัญหา ค่าต้านทานธาตุทุกชนิดจะลดลง]
[ราชาขุนเขาเคยกลืนกินตำนานและเทวตำนานมามากมาย และช่วงชิงพลังบางส่วนมาเป็นของตัวเอง]
[พลังแห่งเทวตำนานที่ไม่มีวันตายได้ทำให้ราชาขุนเขาคงกระพัน ราชาขุนเขาสามารถลบล้างความเสียหายทุกประเภท]
“เจ้ามาหาข้าด้วยความปรารถนาใด”
[คำถามของราชาขุนเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งผู้ล่า]
แล้วพลังแห่งผู้ล่าคือสิ่งใด?
นิยามของมันต้องไม่ฟังดูไม่เป็นมิตรแน่นอน
กริดไม่แตกตื่น มันเดาได้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
หากปล่อยให้แรงกดดันถาโถมจิตใจ มันจะถูกกินทันที
เช่นเดียวกับเหยื่อรายอื่นที่เคยมาที่นี่
เป็นความรู้พื้นฐานที่ใครต่อใครก็ทราบกันดี
กริดพูดไปตามปรกติ
ไม่สั่นกลัว น้ำเสียงเป็นไปอย่างห้าวหาญ
“ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนาย”
…บ้าจริง ไม่สำเร็จแน่
ราชาขุนเขามิใช่ศัตรูของมวลมนุษย์ตั้งแต่ต้น เช่นนั้นแล้วจะสู้กันไปทำไม?
ในเมื่อเป็นผู้ช่วงชิงเทวตำนาน นั่นก็เท่ากับการเป็นศัตรูของแอสการ์ดด้วยไม่ใช่หรือ? เป็นการดีที่จะเปลี่ยนให้ศัตรูของศัตรูมาเป็นมิตร
‘เจ้านี่เสียสติไปแล้ว…’
ผู้พิทักษ์จ้องกริดด้วยสีหน้าตกตะลึงสุดขีด
นั่นเพราะเป็นเหลวไหลที่ ‘คนรับใช้’ จะพูดแทรกในบทสนทนาของเจ้านาย
ท่าทีของทางฝั่งอดีตตำนานก็ไม่ต่างกันมากนัก
[ฮัคเซ่นจ้องคุณด้วยใบหน้าสับสน]
[ไฟโวล์ฟตำหนิคุณที่มัวแต่ทำตัวเหลวไหลแทนที่จะเอาเวลาไปสร้างจักรกลเวทมนตร์]
[ซีดานไม่เข้าใจสถานการณ์]
ท่ามกลางความวุ่นวาย
“ไร้มารยาท! ข้าจะสั่งสอนให้เองว่าไม่ใช่ใครก็ได้ที่มีสิทธิ์พูดกับท่านราชาขุนเขา!!”
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งตะโกน
มันพบว่าพัฒนาการที่แปลกประหลาดเช่นนี้คือโอกาส
เป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นจากความผิดข้อหาพยายามขโมยเหยื่อ
ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสสำหรับกริด
ฉึบ
ชายหนุ่มชักดาบจันทราดับด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
มันต้องการพิสูจน์ว่า พลังคงกระพันจะไม่มีวิธีแก้ทางเลยจริงหรือ
‘บางที มันอาจเป็นแค่ทักษะที่จำกัดจำนวนครั้ง’
ในซาทิสฟาย มีบางตัวตนที่คงกระพัน
คนเหล่านั้นจะ ‘ไม่ตาย’
ส่วนใหญ่พบเห็นได้บ่อยกับ NPC ในหมู่บ้านเริ่มต้นที่คอยแนะนำสิ่งต่างๆ ในเกมให้ผู้เล่น
ผู้ช่วงชิงเทวตำนานมีคุณค่าเทียบเท่า NPC เหล่านั้นเชียว?
กริดแน่ใจว่าไม่ใช่
ชายคนนี้แทบไม่เคยออกไปเผชิญโลกภายนอก คงเป็นการยากที่จะมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องหลัก
กล่าวคือ NPC อย่างราชาขุนเขาเป็นประเภทที่ ‘จะตายไปก็ไม่เสียดาย’
“…!”
ใบหน้าเหล่าผู้พิทักษ์พลันขาวซีด
สตรีผู้ที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นแค่คนรับใช้ของมนุษย์ กลับสามารถสะบั้นคอของหนึ่งในพี่น้องพวกมันด้วยการฟันครั้งเดียว
ถึงจะเห็นต่อหน้าต่อตาก็ยากที่จะทำใจเชื่อลง
ริมฝีปากแห้งกรอบของราชาขุนเขากระตุกแผ่วเบา มุมปากยกโค้งจนเกือบจะเป็นยิ้ม
“ดุดันใช้ได้… ทำเอานึกถึงมหากาพย์สักบทที่ลอยเข้ามาในความคิด”
[ซีดานสัมผัสถึงการจ้องมองจากราชาขุนเขาและเกิดอาการแข็งทื่อ]
“ข้าเข้าใจความปรารถนาของเจ้าแล้ว… ตกลง ถ้าปืนขึ้นมานั่งบนนี้ได้ ข้ายอมเป็นเพื่อนเจ้าหนึ่งวัน”
Comments
Post a Comment