จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,539
ลิ้นของเซพาเดียนั้นยาวมาก
ต่อพันรอบท่อนซุงหลายสิบท่อน ก็ยังเหลือความยาวอยู่อีกพอสมควร
หมายความว่าลิ้นที่รัดคอเลอราเฆ่ประหนึ่งแส้เป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของลิ้นทั้งหมด
“ข้ามีชีวิตอยู่มานาน อ๊บ”
ดวงตากลมโตของเซพาเดียจ้องไปทางลิ้นที่ขาด
มันตกอยู่ข้างเท้าเลอราเฆ่ กำลังดีดดิ้นไปมาราวกับโกรธเสียเต็มประดา ดูคล้ายกับปลิงตัวใหญ่หรือปลาดุก
“นายจนได้เห็นอริยดาบผู้สูงส่งลงมายังนรก อ๊บ”
เซพาเดียที่เป็นบริวารใกล้ชิดบาเอล คืออีกหนึ่งในตัวตนเก่าแก่
อาจเทียบไม่ได้กับอสูรต้นกำเนิดสามตนหรือจอมอสูรหลักเดียว แต่อย่างน้อยก็เกิดทันการล่มสลายของ ‘โลกเก่า’ และจุดเริ่มต้นของ ‘โลกนี้’
เป็นเรื่องธรรมดาที่จะได้เห็นอริยดาบหลายคน และตระหนักถึงเอกลักษณ์ที่มีร่วมกัน
พวกมันคลั่งดาบ
ทุกสิ่งที่ถือในมือจะถูกใช้งานเยี่ยงดาบ และเมื่อไม่มีสิ่งใดให้ถือ ร่างกายของมันจะกลายเป็นดาบ คนเหล่านี้อุทิศเวลาหลายสิบปีในการทำให้ดาบเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ
นอกจากนั้น หลังจากไปถึงจุดสูงสุดของวิชาดาบ พวกมันมีแนวโน้มที่จะละทิ้ง ‘รูปแบบ’ ดาบและฝึกซ้ำใหม่ตั้งแต่แรก เรียกได้ว่าเป็นผู้แสวงหาสัจธรรมแห่งดาบตัวจริง
ห่างไกลจากการเป็นวีรบุรุษหรือนักรบที่คนมักชอบพูดกัน
มีบางทฤษฎีกล่าวว่า มุลเลอร์ซึ่งถูกยกย่องให้เป็นอริยดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ จัดการกับจอมอสูรเฮลกาโอเพียงเพราะต้องการทดสอบว่า วิชาดาบของตน ‘เจ๋งพอ’ แล้วหรือยัง
และมนุษย์ที่โง่เขลาก็ยกย่องมุลเลอร์ให้เป็นวีรบุรุษ
อาจมีเพียงตัวมุลเลอร์ที่ทราบความจริง แต่นรกก็เลือกจะตีความเช่นนั้น
อริยดาบเป็นแค่คนบ้าที่สนใจแต่ตัวเอง
พวกมันมองว่าศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดนอกจากดาบล้วนไร้ค่า และยังไม่สนใจจะปราบอสูรที่ต่อสู้ตามสัญชาตญาณโดยไม่สนใจวิชา
นั่นคือเหตุผลที่อริยดาบไม่เคยลงนรก
ที่เล่ามาข้างต้นคือมุมมองและทฤษฎีจากชาวนรก
เป็นทฤษฎีซึ่งสร้างจากข้อเท็จจริงที่ว่า อริยดาบไม่เคยบุกนรกอย่างจริงจังแม้แต่คนเดียว
จากมุมมองของชาวนรก อริยดาบคนปัจจุบันเป็นพวกผ่าเหล่า
“ใครบางคนกล่าวไว้ว่า อุดมคติที่พวกอริยดาบมักไล่ตามเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงและไม่มีวันเอื้อมถึง พวกมันมักแก่ตายไปโดยที่ไม่รู้จักหนูหรือนก อ๊บ! เจ้าไปถึงจุดนั้นหรือยัง? ทำไมถึงลงมาที่นี่ กำลังจะบอกว่าตัวเองเจ๋งกว่ามุลเลอร์อย่างนั้นหรือ?”
ความสนใจของเซพาเดียจดจ้องมายังครอเกลเพียงคนเดียว
มันไม่ได้สนใจเลอราเฆ่ที่เพิ่งถูกปล่อยตัวและหายใจหอบ ไม่สนใจเฟคเกอร์และคาซิมที่กำลังช่วยพยุงเธอ
ท่าทีดังกล่าวค่อนข้างแปลกประหลาดในสายตาแอ็กนัส
จริงอยู่ที่อริยดาบคือบุคคลสำคัญ และครอเกลก็มีฝีมือยอดเยี่ยม แต่หากพูดกันในแง่ความสำเร็จ เลอราเฆ่ยังโดดเด่นกว่ามากอยู่ดี
ตัดเรื่องที่เลอราเฆ่ไร้พ่ายจนกระทั่งไม่กี่วันก่อนออกไป
แม้ปัจจุบันจะอ่อนแอ แต่ก็เป็นเป้าหมายที่ควรระวังมากที่สุด
จึงเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าทำไมเซพาเดียคือสนใจครอเกลมากกว่าหล่อน
‘อริยดาบพิเศษขนาดนั้นเชียว?’
แอ็กนัสที่เก็บซ่อนความสงสัย แอบออกคำสั่งกับลันเทียร์
นี่คือสถานการณ์ที่ประกันชีวิตของมันถูกใช้งานในวินาทีที่ครอเกลปรากฏตัว
มันไม่มีเวลาเหลือเฟือเหมือนเซพาเดีย
ณ ปัจจุบัน ทักษะเอาตัวรอดสองชนิดที่เหลืออยู่คือ ‘กลายเป็นอันเดด’ และ ‘เสียงเย้ยหยันของเบนทาโอ’
แอ็กนัสต้องบรรลุผลลัพธ์ในสักเรื่องให้ได้ เพราะหากคราวนี้ยังพลาดท่าอย่างไร้ค่า จุดยืนที่กำลังสั่นคลอนจะเลือนหายไปในพริบตา
‘อย่างน้อยก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้บาเอลยอมมอบภารกิจอีกครั้ง’
นับตั้งแต่มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรเริ่มขึ้น
แอ็กนัสทำพลาดแม้กระทั่งภารกิจสังหารหมู่ง่ายๆ ที่บาเอลมอบให้
จากนั้น ท่าทีของบาเอลได้เปลี่ยนไปมากหลังจากมันพ่ายแพ้กริดกลับมา บาเอลเย็นชากับแอ็กนัสจนเกือบจะเป็นการละเลย
แอ็กนัสหวนนึกถึงจุดจบของ ‘เบ็ตตี้’ ผู้ล้มเหลว นี่เป็นเรื่องที่ได้ฟังมาจากเซพาเดีย
กล่าวกันว่าบาเอลจะทิ้งของเล่นที่มันหมดความสนใจไปอย่างไม่ไยดี
‘ไม่สำคัญว่าเราจะถูกทิ้งหรือไม่’
ไม่สิ ใจจริงมันอยากถูกทิ้งมากกว่า
จากเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น ความเกลียดชังโลกในใจแอ็กนัสบรรเทาลงไปหลายส่วน
ความอบอุ่นที่เคยหลงลืมไปพร้อมกับการตายของอดีตคนรัก มันกลับมาสัมผัสได้อีกครั้งจากยูเฟอมิน่า
แอ็กนัสในปัจจุบันมิได้ปรารถนาพลังสำหรับต่อสู้กับคนทั้งโลกตามลำพัง และไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับการคืนชีพที่เป็นไปไม่ได้ให้คนรัก
มันอยากสัมผัสประสบการณ์แบบเดียวกับกริดที่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกับตน แต่พัฒนาการในช่วงหลังกลับหยุดลงเพราะชายที่ชื่อเฟคเกอร์
นั่นหมายความว่า หากต้องการบรรลุเป้าหมายของตน อันดับแรกต้องเอาชีวิตให้รอดจากการไล่ล่าเสียก่อน
จึงยังไม่ถึงเวลาที่ควรถูกบาเอลทอดทิ้งเป็นของเล่น
แอ็กนัสในปัจจุบันช่างไร้พลัง
หากถูกทอดทิ้ง มันจะต้องกลับไปในชีวิตบนโลกในฐานะคนอ่อนแอเหมือนกับในอดีต และชะตากรรมเดียวที่รออยู่คือการถูกเหยียบย่ำ
‘และเพื่อไม่ให้ถูกทอดทิ้งในตอนนี้…’
อันดับแรกคือการสร้างผลงานให้ได้มากที่สุดเพื่อรักษาจุดยืน
ครอเกลคือเป้าหมายที่สมบูรณ์แบบ
อริยดาบ
สำหรับคนที่เคยเห็นความยอดเยี่ยมของกริด ครอเกลนั้นยังไม่เท่าไร
แม้ประวัติศาสตร์อันยาวนานและตัวตนที่ยิ่งใหญ่จะยกย่องเทิดทูนอริยดาบ แต่จะครอเกลจะเหนือกว่าผู้สืบทอดแพ็กม่าเชียวหรือ?
แอ็กนัสมั่นใจว่าไม่ใช่
ครอเกลอาจสร้างผลงานไว้มากมาย แต่ก็ยังดูซอมซ่อหากเทียบกับกริด
แอ็กนัสหาได้เกรงกลัวอริยดาบครอเกล
มันมองว่าการที่เซพาเดียคอยหวาดระแวงอริยดาบนั้นถือเป็นเรื่องดี
หากตนฝากบาดแผลฉกรรจ์ไว้บนร่างครอเกลได้ เซพาเดียจะต้องกลับมาโปรดปรานอีกครั้งแน่
‘โปรดปราน… เราเป็นเด็กที่โหยหาความรักรึไงนะ’
แอ็กนัสที่กำลังยิ้ม สนทนากับลันเทียร์ที่ซ่อนตัวในเงา
ตัวตนที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดหลังจากแอ็กนัสยอมสละทุกสิ่ง
ตัวตนที่เก่งกาจขึ้นหลายเท่าด้วยความช่วยเหลือจากบาเอล ทำการเล็งอาวุธไปยังหัวใจครอเกล
‘ไม่ต้องกดดัน เราเอาชนะครอเกลไม่ได้อยู่แล้ว แค่ทำให้บาดเจ็บหนักก็พอ’
—!
ความมืดแผ่ขยายออกจากความว่างเปล่าด้านหลังครอเกล
เป็นลันเทียร์ที่แทรกตัวผ่านเงาและกระโจนออกมา
ปราศจากสัญญาณเตือนและสุ้มเสียงทุกชนิด
แต่ครอเกลตอบสนองได้ทันที
มันยกดาบขึ้นปัดมีดสั้นที่พุ่งมาทางท้ายทอย
ไม่สิ คำว่า ‘ปัด’ ยังไม่ถูกต้องสักเท่าไร
ทันทีที่สัมผัสกับดาบครอเกล มีดสั้นของลันเทียร์ถูกแยกออกเป็นสองส่วน
“…!”
อัศวินความตายแสดงอารมณ์ผ่านแสงที่สว่างขึ้นในเบ้าตา
แสงในดวงตาลันเทียร์กำลังลุกโชนราวกับไฟป่า นี่เป็นการแสดงความตกตะลึง
ทางด้านแอ็กนัสกำลังประหลาดใจยิ่งกว่า
‘สวนกลับอัตโนมัติ?’
แอ็กนัสจ้องครอเกลจากด้านหน้ามาตลอด
มันย่อมสังเกตเห็น
ในการตอบสนองของครอเกลเมื่อครู่ ขั้นตอนการ ‘ตระหนักถึง’ ถูกลัดข้ามไป
หลักฐานคือการที่ดวงตายังคงจดจ้องเซพาเดียไม่กะพริบ
เซพาเดียส่ายหน้า
“อริยดาบคืออริยดาบวันยังค่ำ อ๊บ”
อาณาเขตดาบ
ทักษะติดตัวที่มีโอกาสสูงในการตรวจจับและ ‘ปัดป้อง’ การโจมตีด้วยอาวุธมีคมทุกชนิดภายในขอบเขต
อันที่จริง ทักษะชนิดนี้ไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด
ไม่ใช่แค่อริยดาบ แต่เหล่ายอดฝีมือในทุกสาขาล้วนสามารถสร้างอาณาเขตของตัวเองหากก้าวไปถึงจุดสูงสุด
แต่สาเหตุที่อาณาเขตอริยดาบน่ากลัวเป็นพิเศษ ก็เพราะมันคอมโบกับคุณสมบัติ ‘ตัดทุกสิ่ง’
หมายความว่าไม่ควรไปแลกดาบกับอริยดาบด้วยประการทั้งปวง
ดาบของอริยดาบจะทำลายทุกสิ่งที่ปะทะ การโจมตีด้วยของมีคมแบบสุ่มสี่สุ่มห้าจึงรังแต่จะสร้างความเสียหาย
เรื่องราวคงแตกต่างออกไปหากอาวุธที่ใช้โจมตีทำจากวัสดุซึ่งไม่ถูกตัดหรือค่าคงทนเป็นอนันต์ แต่นั่นก็ไม่ควรนำมาพูดถึงเพราะวัสดุประเภทดังกล่าวหากได้ยากมาก
‘อะไรกัน…’
ความคิดแอ็กนัสหยุดลงทันที
เพราะมันพบว่าดาบที่ครอเกลตวัดไป ‘ปัด’ มีดสั้นลันเทียร์ ได้ตัดขอมือลันเทียร์ในจังหวะเดียวกัน
ท่ามกลางความตะลึงงัน
“พลังแห่งไอเท็มยังไงล่ะ”
ครอเกลสารภาพเถรตรง
อีกหนึ่งเหตุผลที่ครอเกลก้าวเข้าสู่ขอบเขตสุดท้ายของอริยดาบได้เร็วเหนือความคาดหมาย
[เทวภัณฑ์ชิ้นใหม่ของเทพโอเวอร์เกียร์ปรากฏ]
[เทวตำนานของเทพโอเวอร์เกียร์ถูกเขียนเพิ่ม]
[อริยดาบครอเกลกลายเป็นส่วนหนึ่งของเทวตำนานนี้]
[ค่าสถานะทุกชนิดของสาวกศาสนจักรเทพโอเวอร์เกียร์เพิ่มขึ้น 10 แต้มเป็นการถาวร ค่าความชำนาญดาบเพิ่มขึ้นเล็กน้อย]
นั่นคือการพัฒนาไปถึงเกรดมิธของดาบเสือขาว
ฉูดดดดด—!
โลหิตพวยพุ่งจากลำคอแอ็กนัส
การลอบสังหารของลันเทียร์อาจดูเป็นภัยคุกคาม แต่ร่างกายลันเทียร์นั้นเปราะมาก จึงเป็นธรรมดาที่จะถูกเก็บเป็นคนแรก
***
มือที่แห้งเหมือนกับต้นไม้แก่
กริดสัมผัสได้ถึงร่องรอยของโบราณกาล
กริดมิอาจสลัดหลุดจากฝ่ามือที่ยึดติดแขนตนราวกับมีรากงอก ทั้งที่ตามปรกติแล้วมันจะให้ความเคารพตัวตนจากอดีตและผู้สูงอายุเสมอ
ทันใดนั้นเอง
[เทวภัณฑ์ชิ้นใหม่ของเทพโอเวอร์เกียร์ปรากฏ]
[เทวตำนานของเทพโอเวอร์ถูกเขียนเพิ่ม]
[ท่านสัมผัสถึงอริยดาบครอเกลในเทวตำนานของท่าน]
[นับแต่นี้ไป ท่านจะได้รับพรจากดาบ คุณสมบัตินี้จะคงอยู่ตราบเท่าที่ท่านยังสายสัมพันธ์กับครอเกล]
กริดที่ได้สติกลับมาเปิดปากพูด
“ทั้งที่สัมผัสถึงการรุกรานจากกองทัพอสูร แต่นายยังเอาแต่เก็บตัวอยู่ในภูเขา แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าภูเขาลูกนี้ต้องตกอยู่ในอันตรายหากโลกกึ่งกลางพ่ายแพ้กองทัพอสูร?”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าราชาขุนเขาถือกำเนิดขึ้นในยุคสมัยโบราณกาล มันมีตัวตนเพื่อภูเขา คอยปกป้องทุกชีวิตบนภูเขา และยังเรียนรู้ที่จะเคารพความกล้าหาญของผู้อื่น
แต่มันเจ๋งขนาดนั้นเลยหรือ?
ไม่เลย
ก็แค่คนขลาดที่เอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในภูเขาตามลำพัง
กริดเลิกนับถือราชาขุนเขา อีกฝ่ายสมควรที่จะถูกตั้งคำถาม
“แม้กระทั่งตอนนี้ ผู้คนจำนวนมากก็ยังคอยต่อสู้เพื่อโลก พวกเขายอมสละชีวิตในต่างแดนเพื่อปกป้องบ้านเกิดและบุคคลอันเป็นที่รัก… คิดว่าพวกเขากล้าหาญเช่นนี้ได้เพราะแข็งแกร่งกว่านาย?”
“…”
“อย่าเอาแต่หมกมุ่นอยู่แค่โลกใกล้ตัว โลกใบนี้กว้างใหญ่และเชื่อมถึงกันหมด… หากต้องการปกป้องเกรเนียร์จริง จงออกไปสู้เพื่อผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นเคารพและศรัทธาเกรเนียร์จากก้นบึ้ง”
การมาเยือนเกรเนียร์ของกริดมีสองจุดประสงค์
อันดับแรก ครอบครองหนังสือเปลี่ยนคลาสของซีดาน
อันดับที่สอง โค่นราชาขุนเขาและช่วงชิงระดับตัวตน
นั่นคือแผนที่ถูกวางขึ้นก่อนจะได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของราชาขุนเขา
แต่ตอนนี้มันรู้จักอีกฝ่ายดีพอแล้ว
แผนการจึงเปลี่ยนไป
“ตอบคำถามมา”
หมับ
ในคราวนี้ กริดเป็นฝ่ายคว้าข้อมือราชาขุนเขา
แม้จะยืนร่างจากไอรีน แต่มือของเธอก็เต็มไปด้วยหนังด้านไม่ต่างกัน
นี่คือร่องรอยแห่งความพากเพียรของไอรีน
แม้แต่สตรีบอบบางอย่างเธอก็ยังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยโลก
เป็นเพราะกริดทราบว่าไอรีนและพวกพ้องของตนกำลังกระจายตัวต่อสู้ตามนรกและทั่วโลก มันจึงแวะมาหาราชาขุนเขาได้อย่างสบายใจ
“ออกไปท่องโลกกับฉัน ถ้านายต้องการปกป้องเกรเนียร์ตลอดไป นี่คือสิ่งที่ต้องทำ”
“…”
สีหน้าแววตาของราชาขุนเขาที่จ้องกริดบรรจงเปลี่ยนไปอย่างพิถีพิถัน ท่าทีคล้ายกับกำลังมอบเป็นเรื่องเหลวไหล
มันเกิดจากภูเขาและต่อสู้เพื่อภูเขา
ดังนั้นคำพูดของกริดที่กล่าวว่า การต่อสู้เพื่อโลกคือการทำเพื่อภูเขา จึงฟังดูค่อนข้างเหลวไหล
แต่ก็มีบางส่วนที่เข้าหู
มันจึงกระอักกระอ่วน
“…เมื่อหลายร้อยปีก่อน มีช่วงหนึ่งที่ข้าต้องสูญเสียระดับตัวตนไปมากมาย”
อดีตกาลที่ย้อนกลับไปแสนนานปรากฏขึ้นในการมองเห็นของกริด
“ข้าเกิดความกังวลว่าตัวเองอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องเกรเนียร์ จึงออกไปสู่โลกภายนอกเพื่อล่าระดับตัวตน”
ฉากการเดินเตร็ดเตร่ไปบนพื้นดินของราชาขุนเขานั้นค่อนข้างน่าอดสู แตกต่างจากปัจจุบันที่แม้จะแห้งกรอบแต่ก็ยังแข็งแกร่ง ราชาขุนเขาในอดีตดูทรุดโทรมสถานหนัก
บุคคลที่ราชาขุนเขาได้พบในเวลานั้น มอบความรู้สึกอันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเกรเนียร์เสียอีก
มุลเลอร์
อริยดาบในช่วงเวลาดังกล่าว
ราชาขุนเขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
มันลงจากเขาในสภาพอ่อนแอเนื่องจากสูญเสียระดับตัวตน โดยที่ศัตรูเป็นอริยดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสูสีจึงไม่เกิดขึ้น
ราชาขุนเขารู้สึกสิ้นหวังราวกับทุกสิ่งกำลังจะจบลง
มันหลับตารอคอยความตายอย่างเงียบงัน
แต่สิ่งที่มุลเลอร์ยื่นมาหามันคือฝ่ามือ มิใช่คมดาบ
“คุณลงจากภูเขาเพื่อที่จะปกป้องมันใช่ไหม? เป็นความกล้าหาญที่น่ายกย่องมาก”
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?
มุลเลอร์ยอมยกระดับตัวตนบางส่วนให้ราชาขุนเขา กระทั่งยอมมอบตำนานไร้พ่ายให้อีกฝ่าย โดยตำนานดังกล่าวสืบสานมาจนถึงปัจจุบันในนามเทวตำนานไร้พ่าย
‘เขายังดูหนุ่ม… ถ้าเทียบกับช่วงอายุ… หมายความว่ามุลเลอร์เพิ่งจะมีชื่อเสียงหลังจากยกระดับตัวตนบางส่วนให้ราชาขุนเขา? กระนั้นก็ยังถูกยกย่องให้เป็นอริยดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยสภาพดังกล่าว?’
“เทพโอเวอร์เกียร์”
หน้าจอที่กำลังฉายวิดีโอจากอดีตพลันแตกกระจัดกระจาย
เสียงเรียกของราชาขุนเขาปลุกให้กริดตื่นจากภวังค์
“เจ้าพูดถูก… ดังที่เจ้าว่าไว้ เป็นเพราะข้าออกจากภูเขา ในภายหลังจึงได้รับการยอมรับจากมุลเลอร์… แต่ก็อย่างที่เห็น หากออกจากภูเขาเมื่อไร ตัวข้าจะอ่อนแอและไม่แข็งแกร่งเท่ากับที่เจ้าคาดหวัง ดังนั้นข้าจะบอกที่อยู่ของมนุษย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นพลังให้เจ้าแทนข้าได้”
“…!!”
กริดพลันเย็นสันหลังวาบ
มนุษย์คนที่ราชาขุนเขากำลังพูดถึง
“อริยดาบมุลเลอร์…?”
“…? เปล่า ผ่านมานานแล้วหลังจากข้าที่ได้พบกับมุลเลอร์ และเนื่องจากข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย จึงไม่ทราบว่าชายคนนั้นพักอาศัยอยู่ที่ใด อาจจะตายไปแล้วก็ได้… ถึงจะเชื่อได้ยากว่าคนแบบนั้นจะตายก็เถอะ”
“…แล้วกำลังพูดถึงใคร?”
“มนุษย์ที่ชื่อเครย์เชอร์ หากไม่นับมุลเลอร์ เขาอาจเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยได้ยินชื่อ แน่นอนว่าข้าไม่ได้นับรวมเหล่าพวกพ้องเจ้าหรือคนที่สาบสูญทางประวัติศาสตร์”
“เครย์เชอร์? อดีตสันตะปาปา?”
“ใช่ เจ้าก็รู้จักสินะ… ตอนนี้เขามีภารกิจสำคัญในการผนึกบางสิ่ง แต่ข้ารู้วิธีคืนชีพให้เขา”
“หมอนั่นน่ะหรือ… ขอผ่าน”
กริดรีบปฏิเสธทันควัน
Comments
Post a Comment