จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,541
“ฮื้อฮือ~ ฮื้อ~”
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยแสงดาวพราวพรายดูเปล่งปลั่งเป็นพิเศษในวันนี้
เหล่าเทวทูตต่างจ้องมองเวนิชที่กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุขด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์
คล้ายกับเป็นรอยยิ้มที่ออกจากก้นบึ้งจิตใจ
เวนิช เทพธิดาแห่งเงินตรา
มีมนุษย์เพียงน้อยคนที่กราบไหว้บูชาเธอ
นั่นเป็นเพราะคนจนเกลียดชังคนรวย คนรวยเพลิดเพลินไปกับความมั่งคั่ง และเหล่านักบวชต่างละซึ่งกิเลส
เป็นเรื่องยากที่จะมีใครเคารพศรัทธาในเงินตรา
เวนิชต้องอยู่อย่างเดียวดายเสมอ
ที่เธอยิ้มอย่างร่าเริงเป็นประจำเพราะต้องการกลบเกลื่อนความเหี่ยวเฉาและต่ำต้อย
อย่างไรก็ตาม วันนี้เธอดูมีความสุขโดยแท้จริง
มีความสุขยิ่งกว่าตอนที่ได้ยินเสียงสวดวิงวอนจากพ่อค้าที่จะเกิดขึ้นนานๆ ครั้งเสียอีก
เด่นชัดจนอดไม่ได้ที่จะสังเกตเห็น
“นี่!”
“…?”
“มือ!”
เพี้ยะ!
“…”
เวนิชถึงขั้น ‘ไฮไฟว์’ กับเทวทูตทุกตนที่เดินผ่าน
ต้นตอของความสุขที่ยากจะเก็บซ่อนคือสิ่งที่กำลังถืออยู่ในมือ
เคล็ดวิชาลับการใช้อาวุธคู่ที่เซราทุลเป็นผู้เขียน
นี่คือสิ่งที่กริดปรารถนา
เป็นโอกาสอันดีที่เวนิชจะได้ยกระดับค่าชื่อเสียง
‘ระดับตัวตนของเราต้องเพิ่มขึ้นมากแน่’
มีหลากหลายวิธีในการสั่งสมบารมีเทพ
วิธีที่ได้รับความนิยมคือการถูกมนุษย์กราบไหว้บูชาหรือไม่ก็สร้างชื่อเสียง แต่ทั้งสองวิธีเป็นเรื่องยากสำหรับเวนิช
นั่นคือเหตุผลที่เธอสร้างชุมชนทวยเทพทั่วโลกขึ้นมาโดยไม่จำกัดเฉพาะแอสการ์ด จากนั้นก็เปิดกิจการราชรถสุริยัน
เธอไม่แบ่งแยกเทพ
เวนิชปฏิบัติต่อลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่สนใจต้นกำเนิดหรือสังกัด
เธอค่อยๆ พัฒนาตัวเองอย่างเชื่องช้าแต่มั่นคงโดยการ ‘รับฝากขายสินค้า’ และเก็บค่าธรรมเนียม นอกจากนั้นยังเพิ่มชื่อเสียงด้วยการสร้างตำนานขณะค้าขายกับเทพที่โด่งดัง
แต่แน่นอน วิธีหลังเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แทบจะนับได้ด้วยนิ้วมือ
เพราะเทพที่ต้องการสินค้าโดยยอมแลกกับค่าชื่อเสียงส่วนมากมักเป็นเทพมนุษย์ แล้วคิดว่าการทำธุรกิจกับเทพมนุษย์จะมีเรื่องราวเป็นเช่นไร?
การค้าขายกับเทพที่โด่งดังถึงขั้นรู้จักไปทั่วโลกคือสิ่งที่ดีสำหรับเวนิชเสมอ แต่โดยทั่วไปแล้วเทพเหล่านั้นมักไม่มีสิ่งที่ปรารถนา เป็นเหตุให้พวกมันไม่ใช้บริการราชรถสุริยัน
แต่เทพเซราทุลแตกต่างออกไป
มันถือเป็นลูกค้ารายใหญ่อันดับหนึ่งของเวนิช ด้วยเคล็ดวิชาลับที่เซราทุลจัดหา ราชรถสุริยันจึงมีหมวดหมู่ของสินค้ามากขึ้น
‘แต่อันที่จริง มันก็ไม่มากไปกว่าการเพิ่มหมวดหมู่’
ช่างโชคร้ายที่เคล็ดวิชาลับของเซราทุลนั้นยากจะขายออก
เซราทุลจัดหาสินค้ามาวางขายในราชรถสุริยันเพียงเพื่อสนองความโอ้อวดของตัวเอง
ราคาต่อหน่วยสูงมากเนื่องจากเซราทุลคัดเลือกทักษะที่ดีที่สุดมาจัดแสดงในร้านค้า
และในเมื่อเป็นสินค้าคุณภาพสูงสุด ต่อให้เทพทั่วไปต้องการซื้อก็คงไม่มีปัญญาจ่าย
แต่วันนี้
ในที่สุดเคล็ดวิชาลับของเซราทุลก็จะขายออก
เป็นการสั่งจองในกรณีพิเศษ
เรียกได้ว่าเป็นกำไรที่เทียบเท่าการค้าขายนานกว่าหนึ่งร้อยปี
ยิ่งไปกว่านั้น เป้าหมายในคราวนี้คือเทพโอเวอร์เกียร์
แม้จะเป็นหน้าใหม่ แต่ก็เป็นตัวเอกในเหตุการณ์ใหญ่อยู่เสมอ แถมยังประสบความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์มากมายจนเปรียบได้กับหุ้นที่ราคากำลังพุ่งทะยาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่มนุษย์
ทันทีที่ตำนานการเป็นแม่ค้าคนกลางระหว่างเทพโอเวอร์เกียร์กับเซราทุลถูกเขียนขึ้น ค่าบารมีเทพของเวนิชจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
‘นี่สินะ… ได้เกิดใหม่ในการค้าขายเพียงครั้งเดียว!’
ตรงข้ามกับรูปลักษณ์ที่งดงาม เวนิชเคยเผชิญความยากจนข้นแค้น
สำหรับเธอ วลี ‘ได้เกิดใหม่ในการค้าขายเพียงครั้งเดียว’ เป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยและน่าตื่นเต้นอย่างมาก
ทั้งที่เป็นเทพแห่งเงินตราก็ตาม
“ลูกค้าผู้มีเกียรติเอ๋ย! เจ้ารอนานไหม ในที่สุดข้าก็มาหาพร้อมกับสิ่งที่เจ้าปรารถนา!”
ปัจจุบัน โลกกึ่งกลางกำลังอยู่ในภาวะสงครามเนื่องจากการรุกรานของกองทัพอสูร
พวกมันล้วนแล้วแต่เป็นอสูรที่แฝงไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
แต่ถึงอย่างนั้น ถิ่นของเทพโอเวอร์เกียร์ก็ยังสงบสุขเหมือนเช่นเคย
ถ้าพูดถึงราชาโอเวอร์เกียร์ย่อมต้องหมายถึงกรุงไรน์ฮาร์ท
แต่ต่างจากสถานที่อื่นบนโลก ที่นี่แทบไม่มีร่องรอยของสงคราม
ถึงจุดที่สามารถเชื่อได้ว่า ฝ่ายอสูรจงใจหลีกเลี่ยงการบุกโจมตีที่นี่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง กรุงไรน์ฮาร์ทมีบางสิ่งที่ทำให้บรรดาอสูรซึ่งเก่งกาจด้าน ‘ประเมินพลัง’ ต่างก็หวาดระแวง
และสิ่งที่ว่าคือกริดผู้กำลังยืนตรงหน้าเธอ
ชายคนนี้คือแกนนำสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์ยับยั้งการรุกรานจากอสูร
‘ระดับตัวตนเพิ่มขึ้นอีกแล้ว’
เวนิชเพิ่งพบกริดไปได้ไม่นาน
คนทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลกันและทำการค้าขายด้วยความราบรื่น
สำหรับแอสการ์ด นี่เป็นการทรยศ แต่เวนิชมิได้แยแส
เพราะสิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของเธอคือสายสัมพันธ์ระหว่างทวยเทพ มิใช่แอสการ์ด
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งผ่านมาแค่สิบวัน
กระทั่งมนุษย์ยังมองเป็นช่วงเวลาแสนสั้น นับประสาอะไรกับเทพอย่างเวนิช
กริดเปลี่ยนไปหลังจากไม่ได้พบกันแค่อึดใจเดียว
สีสันที่แผ่ออกจากร่างกายยิ่งทวีความชัดเจน
‘เขาทำได้ยังไง’
เหล่าทวยเทพที่มีชีวิตเป็นนิรันดร์โดยกำเนิดย่อมไม่เข้าใจ
มนุษย์ตรงหน้าตนต้องผ่านประสบการณ์อันเข้มข้นเพียงใด?
พวกมันไม่มีทางทราบเพราะเอาแต่มองจากที่สูง
ในทางกลับกัน กริดทราบดีกว่าใครทั้งหมด
เพราะมันเคยปีนขึ้นมาจากจุดล่างสุดซึ่งต่ำกว่านี้ไปไม่ได้แล้ว
วันเวลาของมันทั้งยาวนานและมืดมนถึงขีดสุด
“สินค้า? อ้อ… เคล็ดวิชาลับของเทพสงครามสินะ”
กริดกำลังอยู่นอกโรงตีเหล็ก
มันยืนหันหลังให้กับเตาหลอมยักษ์ที่ดูคล้ายป้อมปราการ ร่างกายแผ่ความร้อนสูงตลอดเวลา กลิ่นเหงื่อลอยโชยไปตามสายลม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันไม่ได้ออกมาเพื่อรอต้อนรับเวนิช
กริดย้ายตัวเองมาที่นี่ก่อนเธอจะลงมาเยือน
อากัปกิริยาขณะตอบสนองต่อคำว่า ‘สินค้า’ ก็ค่อนข้างเฉยเมย
บรรยากาศรอบข้างทำให้เวนิชเริ่มกังวล
แต่เธอยังพยายามคิดบวกพลางสวมรอยยิ้มบนใบหน้า
“…ใช่แล้ว นี่คือสินค้าที่เจ้ารอคอยมานาน! สินค้าสุดพิเศษ! เจ้าจะต้องชอบแน่ เป็นเคล็ดวิชาลับที่เทพสงครามสร้างขึ้นด้วยความทุ่มเท!”
เวนิสไม่ได้เล่ารายละเอียดให้เซราทุลฟัง
นั่นเพราะเซราทุลเกลียดชังกริด
เธอจึงต้องปกปิดตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าผู้เสนอซื้อเคล็ดวิชาลับแบบสั่งทำ
เซราทุลเองก็มิได้ตะขิดตะขวงใจ
มันคือเทพสงคราม
ไม่มีเหตุผลให้ต้องถามถึงลูกค้า เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่คนทั่วโลกจะปรารถนาเคล็ดวิชาลับจากมัน
ดังนั้น การค้าขายจึงเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
ใช่แล้ว
เวนิชเชื่อว่าธุรกิจของเธอประสบความสำเร็จในวินาทีที่เซราทุลตอบตกลง
และเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องรอการยืนยันจากฝั่งกริด
“อา…”
สีหน้าของกริดที่รับเคล็ดวิชาลับเทพสงครามไปอ่าน ปราศจากความยินดีโดยสิ้นเชิง
หัวใจเวนิชเริ่มดำดิ่ง
ดวงตากริดที่กวาดไปทั่วเคล็ดวิชาลับค่อยๆ ทวีความเย็นชา
และความกังวลของเธอก็กลายเป็นจริง
“คุณภาพต่ำกว่าที่คิดไว้มาก… ยังกับของปลอม”
“หา?”
“รับไป ฉันไม่ซื้อ”
“จ…เจ้าพูดอะไรออกมา…! นี่คือเคล็ดวิชาลับการใช้อาวุธคู่ของเซราทุลเชียวนะ! เป็นสินค้าที่เจ้าต้องการ! ข้าจัดหามาให้อย่างถูกต้อง!”
“ถูกต้องอะไร? ฉันแค่ต้องการเคล็ดวิชาลับสำหรับใช้อาวุธคู่ และแสดงความคิดเห็นว่าถ้าเป็นของเซราทุลก็ ‘อาจ’ จะดี แต่ไม่เคยพูดว่าจะซื้อเคล็ดวิชาลับของเซราทุลอย่างแน่นอน”
“หา…? เจ้ากำลังเล่นตลกอะไร? ทำไมจู่ๆ ถึงใจร้ายกับข้านัก!!”
“เล่นตลก? ฉันแค่ไม่ชอบสินค้า ถ้าใช้งานแล้วไม่ตรงตามความต้องการเธอจะรับผิดชอบไหม?”
“อึก…! ฮึก…!”
เป็นเพราะเธอตาโตหรืออย่างไร
เวนิชแสดงอารมณ์ได้ค่อนข้างชัดเจนเลยทีเดียว
ดวงตาที่กำลังสั่นระริก รวมถึงการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้า เผยให้เห็นถึงความโกรธ อับอาย สับสน และเศร้าเจือปนกัน
‘ทำไมหน้าตาน่าสงสารถึงดูเข้ากับเธอขนาดนี้…’
ไม่มีใครปฏิเสธว่าเวนิชเป็นเทพธิดาที่งดงาม แต่เธอกลับดูดีขึ้นกว่าเดิมในยามที่ยิ้มขื่นขมเหมือนคนจะร้องไห้
‘ท่าไม่ดีแล้ว…’
กริดที่ผงะไปสักพัก รีบดึงสติกลับมาจดจ่อ
มันกังวลว่าอาจมีพลังบางชนิดระเบิดออกจากร่างเวนิชกะทันหัน
“ได้โปรด… อย่าใจร้ายกับฉันเลย ซื้อมันไปเถอะนะ… อย่าแกล้งฉันแบบนี้”
“…”
แสงดาวในดวงตากลงกลึงของเวนิชกำลังสั่นระริก คล้ายกับน้ำตาและน้ำมูกเตรียมพรั่งพรูออกมาทุกเมื่อ
ทำเอาชายหนุ่มนึกถึงภาพของหญิงสาวผู้เป็นเสาหลักในการหาเลี้ยงครอบครัว
ภาพลักษณ์ดังกล่าวเข้ากับเวนิชอย่างน่าประหลาดจนกริดอดสงสัยไม่ได้ว่านั่นอาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของเธอ
‘ไม่น่าจะใช่ เป็นไปไม่ได้’
จากบรรดาความเชื่อของมนุษย์ เทพแห่งเงินตราไม่ใช่กระแสหลัก
แต่ถึงอย่างนั้น การจะเปรียบเปรยว่าเวนิชเป็นเสาหลักที่คอยหาเลี้ยงครอบครัวตามลำพัง คงไม่เหมาะสมกับเทพแห่งแอสการ์ดสักเท่าไร
หรือนี่จะเป็นอิทธิพลจากพลังบางอย่างของเธอ? อาจเป็นทักษะจำพวกยั่วยวน…
กริดที่ค่อนข้างมั่นใจ กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“ฉันไม่คิดจะซื้อสินค้าที่ไม่เหมาะสมกับราคา คิดว่าทางนี้เป็นไอ้งั่งรึไง”
เมื่อเห็นว่าเวนิชยังคงไม่เลิกราโดยง่าย กริดตัดสินใจแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของทักษะถืออาวุธคู่ที่ได้รับจากราชาขุนเขา
“…”
เวนิชถึงกับหมดคำพูด
แม้จะต้องดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นความยากจน แต่เธอก็เป็นเทพ
ต่อให้ไม่เคยเรียนวิชาต่อสู้ ก็มีสายตาสำหรับประเมินที่เฉียบแหลมเพียงพอ
“เข้าใจแล้ว… ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับสินะ”
เวนิชที่เฝ้ามองกริดรำดาบอย่างเงียบงันสักพัก บรรจงพยักหน้าเชื่องช้าพลางกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาไม่หยุด
“ทักษะอาวุธคู่ของเจ้ายอดเยี่ยมกว่าเคล็ดวิชาลับเทพสงครามสินะ… ฮะฮะ… ฮะฮะ”
“…??”
เธอหัวเราะเหมือนกับคนอกหักเป็นด้วยหรือ?
เวนิสพยักหน้าให้กริดที่กำลังยืนตกตะลึงก่อนจะเหาะกลับขึ้นไปบนฟ้า หยาดน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่ของเธอโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่องสะท้อนแสงจันทร์จนดูเหมือนทางช้างเผือกขนาดย่อม
[ซีดานรู้สึกสงสารเทพธิดา]
[ฮัคเซ่นเคารพการตัดสินใจของกริด มันแสดงความเห็นว่า วิชาที่ดีกว่าเท่านั้นจึงจะอยู่รอด]
[ไฟโวล์ฟเริ่มเข้าใจว่า เหตุใดสุดยอดอาคมถึงสาบสูญไปตามกาลเวลา]
[ฮัคเซ่นแสดงความโกรธ]
‘เรื่องนี้ต้องขอบคุณราชาขุนเขา’
กริดที่ตระหนักถึงความสำคัญของหนังสือทักษะจากราชาขุนเขา เผยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
ทักษะเกรดเลเจนดารีสามชนิดและเกรดมิธหนึ่งชนิด
จากบรรดาทั้งหมด เกรดมิธคือทักษะถืออาวุธคู่
และนั่นทำให้กริดที่ไม่ต้องการสูญเสียค่าชื่อเสียงเพื่อซื้อเคล็ดวิชาลับจากเซราทุลเป็นทุนเดิม มองว่าการพบพานราชาขุนเขาคือโชคชะตา
บางทีราชาขุนเขาอาจเห็นจุดอ่อนของกริดและคัดสิ่งนี้มาให้
นอกจากนั้น หนังสือทักษะเกรดเลเจนดารีอีกสามเล่นก็ล้วนมีประโยชน์กับกริด
แต่มีอยู่หนึ่งเล่มที่ค่อนข้างน่าผิดหวัง
เป็นทักษะติดตัวที่จะแสดงผลเมื่อพลังชีวิตต่ำกว่า 30%
สามารถนิยามได้ว่าเป็น ‘ร่างมืด’ เวอร์ชันใหม่ ประสิทธิภาพของมันทรงพลังถึงเพียงนั้น
แต่ปัญหาคือ ทักษะจะทำงานก็ต่อเมื่อพลังชีวิตลดต่ำกว่า 30%
เขตแดนพายุเพลิงเทพ พลังดูดเลือด และคุณสมบัติจากไอเท็ม
กริดมีหลายปัจจัยที่ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิต
คงเป็นการยากที่จะบรรลุเงื่อนไขพลังชีวิต 30% ในสถานการณ์ที่พลังชีวิตกริดเพิ่มพูนประหนึ่งดื่มโพชันตลอดเวลา
‘ค่อยๆ คิดไปก็แล้วกัน’
แต่ก่อนอื่น มันต้องทำความคุ้นเคยกับทักษะถืออาวุธคู่
กริดที่ถือดาบหนักกูเซลและดาบมังกรเพลิง เริ่มฝึกฝนเพื่อสร้างความคุ้นชินอีกครั้ง
***
“อา… เกือบสมบูรณ์แล้ว”
เซราทุลที่ฟื้นฟูร่างกายด้วยความช่วยเหลือจากเหล่าเทวทูต ตรวจสอบอาการของตัวเองอีกครั้ง
ยอดเยี่ยม
ร่างกายเบาหวิว จิตใจแจ่มใส
การเขียนเคล็ดวิชาลับและหมั่นฝึกฝนวิชาระหว่างฟื้นตัว ช่วยให้ร่างกายกลับเป็นปรกติได้เร็วขึ้นมาก
‘มีเทพบางตนถึงกับยอมสละทุกสิ่งในชีวิตเพื่อแลกกับเคล็ดวิชาลับของเรา… อา… สายตาทุกคู่กำลังจ้องมองมาที่เรา’
แปะ
หนังสือเล่มหนึ่งตกลงตรงหน้าเซราทุลที่กำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม
เป็นเคล็ดวิชาลับที่มันเขียนขึ้นขณะพักฟื้น เนื้อหาเกี่ยวกับการถืออาวุธคู่
“…มีอะไร?”
เซราทุลมองไปยังทางเข้าวิหาร
เวนิสกำลังยืนอยู่ที่นั่น
เธอพูดเข้าประเด็น
“เอามาคืน”
“…?”
เป็นการยากที่เซราทุลจะเข้าใจในทันที เพราะเหตุการณ์มิได้เชื่อมต่อกันแม้แต่น้อย
เวนิชตอกลิ่ม
“ลูกค้าบอกว่าไม่ต้องการ”
“…เพราะอะไร?”
“คิดเอาเองสิ”
เป็นท่าทีที่เย็นชาซึ่งหาได้ยาก
เซราทุลทำได้เพียงจ้องมองแผ่นหลังเวนิชผู้เดินจากไป
มันรู้สึกถึงความอัปยศอย่างบอกไม่ถูก
สงสารเวนิชมากกกกกก
ReplyDelete