จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,536



ผิวกายอันไร้จุดตำหนิและลื่นละมุนชวนให้นึกถึงถ้วยชามกระเบื้องเคลือบ


ยูร่าที่ปรากฏกายในสนามรบสามารถกุมหัวใจผู้ชมได้ตั้งแต่แรกพบ


แต่ถ้าพูดถึงยูร่า น้อยคนนักจะสนทนาเกี่ยวกับรูปลักษณ์


เพราะพวกมันมัวแต่ชื่นชมในความสามารถ


ปัง!!


เวทมนตร์สีเขียวหยกที่พุ่งเป็นเส้นตรงจะเปลี่ยนมอนสเตอร์ให้กลายเป็นเถ้าถ่านเสมอ ประหนึ่งการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ที่มีคุณสมบัติทะลุทะลวงและขอบเขตที่กว้างขวาง แถมเกือบทั้งหมดยังเป็นการเล่นงานจุดอ่อน ส่งผลให้พรคุ้มครองของยูดาห์แทบจะไร้ประโยชน์


มีอสูรเพียงจำนวนน้อยที่เอาชีวิตรอดจากการระดมยิงไปได้ แต่พวกมันก็มีชะตากรรมต้องตายบนเกาะอยู่ดี เพราะคลื่นเวทมนตร์สีเขียวหยกที่ฝังเข้าไว้ในดวงตายังคงแสดงผล


รูปแบบการต่อสู้ของยูร่าที่เน้นการยิงสลับกับเคลื่อนที่และใช้วิชาดาบ ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด


ตอนนี้ยูร่ากล้าใช้ ‘มิติขุมนรก’ ในเชิงรุกและคล่องแคล่วมากขึ้น จนถึงระดับที่สามารถนำไปเทียบกับชุนโป


“ทำได้ดีมาก! ที่เหลือพวกเราจัดการเอง!”


การที่ยูร่ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์เช่นนี้ได้ ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณการจัดสรร ‘เวร’ อย่างมีประสิทธิภาพ


คลื่นถาโถมจากฝั่งสัตว์อสูรยังมีมาอย่างต่อเนื่อง


แถมทุกครั้งยังเป็นสัตว์อสูรที่มีประเภทต่างกัน


กิลด์โอเวอร์เกียร์จะลดภาระของสมาชิกโดยการจัดสรรคนให้เหมาะกับประเภทของศัตรู


เป็นกลยุทธ์ที่สำเร็จได้ด้วยหยดเลือดและหยาดเหงื่อของเหล่ากุนซือ พวกมันระดมสมองกันจนค้นพบ ‘รูปแบบ’ ของประเภทมอนสเตอร์ที่จะปรากฏรวมถึงระยะห่างในแต่ละครั้ง และยังต้องขอบคุณทีมข้อมูลที่ช่วยกันลงพื้นเสี่ยงตายจนมีข้อมูลมหาศาลป้อนเข้ามาไม่ขาดสาย


พูดได้เต็มปากว่ากองกำลังพันธมิตรในปัจจุบันกำลังรวมใจเป็นหนึ่งเดียว พวกมันเคลื่อนไหวด้วยจิตใจและร่างกายเดียวกันเพื่อปกป้องความอยู่รอดของทวีป


สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะมีกริด


บุคคลเพียงหนึ่งเดียวที่แข็งแกร่งพอจะได้รับความไว้วางใจจากทุกคน แข็งแกร่งพอที่จะทำให้มนุษยชาติไม่กล้าแตกแยก


จากมุมมองนรก นั่นเป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี


“นับตั้งแต่อดีตกาล มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยความลุ่มหลงและไม่ไว้ใจใคร เป็นเรื่องง่ายที่จะโน้มน้าวให้แตกแยก… แต่ดูเหมือนว่าลูกไม้นั่นจะใช้ไม่ได้ผลกับทุกวันนี้แล้ว… อ๊บ”


เซพาเดียพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าฉงน


สงครามเหลือเวลาอีกสิบเอ็ดวัน


เมื่อครบกำหนด พลังเวทภายในขุมนรกจะเริ่มฟื้นตัว


จุดที่ถูกเซปาร์ฟันทำลายจะฟื้นฟูตัวเองกลับมา นรกและโลกจะแยกออกจากกันอีกครั้ง ประตูมิติที่เชื่อมระหว่างสองโลกจะถูกบังคับให้ปิด


ก่อนจะถึงเวลานั้น ดูเหมือนว่าคงเป็นการยากที่จะบรรลุเป้าหมายในการฆ่าเทพโอเวอร์เกียร์เพื่อบั่นทอนความแข็งแกร่ง


ปัญหาหลักอยู่ที่ความแตกต่างของพลัง


กองทัพมนุษย์แข็งแกร่งเกินไป แตกต่างจากที่พวกมันคาดคิดไว้มาก


โดยเฉพาะบุตรชายของเบริอาเช่และซิกแห่งเจ็ดมารที่คอยปักหลักในสนามรบสำคัญ พวกมันเป็นตัวปัญหา


“ทั้งที่ตายไปแล้วแต่ก็ยังสร้างปัญหาให้พวกเรา… ช่างเป็นนังตัวดีที่ดื้อรั้นและน่าขยะแขยงชะมัด… อ๊บ”


เบริอาเช่เป็นศัตรูโดยธรรมชาติของบาเอล


แตกต่างจากอาโมแรคที่ตอนแรกเห็นด้วยกับแผนของบาเอล เบริอาเช่ต่อต้านและพยายามขัดขวางมาตั้งแต่แรก


พรรณนาถึงความเป็นนรกอย่างนั้นอย่างนี้


‘ไอ้งั่งที่ยึดติดกับสิ่งที่ไม่มีประโยชน์’


“ดูเหมือนว่าการยึดครองที่นั่นจะเป็นไปไม่ได้”


เซพาเดียที่กำลังขบคิดพลางสบถ พลันได้สติกลับมาหลังจากได้ยินเสียง


มรดกของดันทาเลียน


ปราสาทผลึกที่กระจ่างใสและกำลังสะท้อนแสงไปทุกทิศ


ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่นรกผสานเข้ากับโลกจนดวงอาทิตย์ส่องแสงเข้ามา ผนวกกับการที่ผลึกดำถูกชำระล้างจนใส


เซพาเดียขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้


“อ๊บ… มันดูเป็นไปไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างเจ้ายังไงล่ะ”


เซพาเดียเหยียดหยันอย่างเย็นชา ดวงตาเผยความดูแคลนโดยไม่ปิดบัง


เป็นท่าทีที่แตกต่างไปจากช่วงแรกโดยสิ้นเชิง เซพาเดียเคยเผยสีหน้าโปรดปรานทุกครั้งที่อีกฝ่ายเข้าพบ


เซพาเดียเกลียดชัง


ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น


ทั้งที่บาเอลมอบอำนาจให้และออกคำสั่ง แต่แอ็กนัสกลับไม่ได้สร้างผลงานใดเป็นชิ้นเป็นอันเลยตลอดสงคราม


แอ็กนัสเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลที่ล้มเหลวและห่วยแตกที่สุดในประวัติศาสตร์


แย่ยิ่งกว่าเบ็ตตี้ที่บาเอลเคยหมดความสนใจเสียอีก


และอัปยศเมื่อพิจารณาว่า บาเอลได้มอบพลังบางอย่างของมาร์บาสให้ชายคนนี้


“ก็คงอย่างนั้น”


แอ็กนัสตอบเสียงเรียบ มันไม่แยแสท่าทีที่เปลี่ยนไปของเซพาเดียสักเท่าไร


ไม่สิ มันค่อนข้างชอบแบบนี้มากกว่า


แอ็กนัสเคยชินกับคำดูถูกมาทั้งชีวิต


นอกจากนั้นก็ยังเข้าใจหัวใจเซพาเดีย


ทันทีที่สงครามเริ่มขึ้น


แผนการของแอ็กนัสที่ต้องการฟื้นฟูเลเวลอย่างรวดเร็วด้วยการถล่มเมืองและสนามรบมีอันต้องถูกขัดจังหวะ


นั่นเพราะทุกครั้งที่ขึ้นไปยังโลกมนุษย์ มันจะถูกเฟคเกอร์ไล่ฆ่าด้วยความฉับไวและแม่นยำ เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้งมากจนแอ็กนัสอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า บนร่างกายของตนมีเครื่องติดตามตัวถูกฝังอยู่หรือไม่


ด้วยเหตุนี้ พัฒนาการของแอ็กนัสจึงไม่เป็นไปตามที่คิด แถมยังเคยถูกห้ามล็อกอินเนื่องจากตายติดต่อกันหลายครั้ง


อันที่จริง แอ็กนัสไม่ได้โกรธ


‘คนอ่อนแอก็ต้องถูกเหยียบย่ำเป็นธรรมดา’


เป็นสัจธรรมที่มันได้เรียนรู้ตั้งแต่ยังเด็ก


ความอัปยศที่มันกำลังเผชิญในตอนนี้ถือเป็นสิ่งปรกติอย่างมาก


เป็นผลกรรมจากการที่เคยความเคียดแค้นให้ผู้คนสมัยตระเวนทำลายล้างทุกสิ่งอย่างไม่เลือกหน้าราวกับหมาบ้า สมัยยังหมกมุ่นอยู่กับการคืนชีพให้คนรักที่ไม่มีวันเป็นจริง และเมื่อสิ่งนั้นย้อนกลับมาทำร้าย แอ็กนัสก็ไม่แข็งแกร่งพอจะต้านรับ เรื่องมันก็แค่นี้


ท่ามกลางความเงียบ


“ข้าพร้อมแล้ว”


เป็นเสียงของอสูรที่คลานออกจากกระจกบานเล็กบนมือเซพาเดีย


ออริโอล


อสูรที่แอ็กนัสรู้จักเป็นอย่างดี


คุณสมบัติพื้นฐานของมันคือการเดินทางข้ามมิติผ่าน ‘วัตถุสะท้อนแสง’ แต่มนุษย์เรียกมันว่าอสูรกระจก


‘จริงสิ… อาจแทรกซึมเข้าไปในปราสาทผลึกดำได้ถ้ายืมพลังของเจ้านี่’


ตอนนี้เลอราเฆ่หลบหนีไปกบดานอยู่ที่ปราสาทผลึกดำ


ราชาผู้ยึดครองดินแดนในนรกไปกว่าครึ่งขณะที่อสูรตนอื่นออกไปทำสงคราม


แม้จะอยู่แค่ลำดับสิบ แต่ก็โด่งดังด้วยตำนานไร้พ่าย กระทั่งเซพาเดียก็ยังลังเลที่จะจัดการกับเธอ


แต่ตอนนี้เรื่องราวเปลี่ยนไปแล้ว


เลอราเฆ่สูญเสียตำนานไร้พ่ายขณะบุกรุกคลังวิญญาณของคามิคิน นอกจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อเสียง เลอราเฆ่ยังน่าจะสูญเสียระดับตัวตนไปบางส่วนด้วย


ปัจจุบันจึงไม่น่าจะมีพลังอำนาจในการต่อต้านทัณฑ์นรกจากเซพาเดีย


“ไม่มีเวลาแล้ว… รีบแทรกซึมเข้าไป ฆ่าเลอราเฆ่และช่วงชิงบริวารกับอาณาเขตมา… อ๊บ”


เมื่อเซพาเดียส่งสายตา ออริโอลพยักหน้ารับและใช้พลัง


แอ็กนัสรู้สึกคล้ายกับถูกดูดเข้าไปในบางสิ่ง


เมื่อได้สติอีกครั้ง มันพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอาคารที่ไม่เคยเห็นมาก่อน


ปราสาทผลึกดำที่ถูกยกย่องให้เป็นป้อมปราการสุดแกร่ง… ถูกบุกรุกง่ายดายขนาดนี้เชียว…


พลังของออริโอลที่แม้แต่มือขวาของบาเอลก็ยังให้การยอมรับ เรียกได้ว่าไร้เหตุลผโดยสิ้นเชิง ชื่อเสียงของมันไม่ได้เกินตัวเลยสักนิด


“ไอ้ลูกหมา…”


เลอราเฆ่ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่ง ดวงตาเบิกโพลงด้วยความปั่นป่วน


มาดอันสง่างามและน่าเกรงขามของราชาผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ไม่หลงเหลืออีกต่อไป


นี่คือวินาทีที่ข้อสงสัยที่ว่าเธออ่อนแอลงหรือไม่ ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ


“ในตอนที่ข้าไม่อยู่ เจ้าสร้างปัญหาข้ามหน้าข้ามตาข้าไปมาก… อ๊บ มันจบแล้วเลอราเฆ่ เจ้าล้ำเส้นที่ไม่ควรข้าม”


“เส้น? เจ้าก็มีเส้นกับเขาด้วยหรือ? ช่างน่าขัน ลูกน้องของบาเอลที่พยายามล้มล้างกฎเกณฑ์เก่าของนรกทิ้ง… มีเส้นแบ่งดีชั่วกับเขาด้วย…”


เลอราเฆ่ชะงักคำพูดกลางคัน เพราะลิ้นที่ยาวและยืดหยุ่นของเซพาเดียตวัดออกมารัดคอเธอไว้ เป็นการลงมือด้วยความเฉียบขาดและแม่นยำจนหมดสิทธิ์ตอบโต้โดยสิ้นเชิง


“เจ้า… สักวัน บาเอลก็จะ…”


ผิวพรรณสีชมพูของเลอราเฆ่เปลี่ยนเป็นม่วงน้ำเงิน เธอพูดได้ไม่กี่คำก็สำลัก ลมหายใจเริ่มขาดห้วง


แต่ถึงอย่างนั้นเลอราเฆ่ก็ยังยิ้มได้ ดูเหมือนเธอจะชอบใจสีหน้าอันหมองหม่นของเซพาเดีย


แอ็กนัสอัญเชิญกองทัพใหญ่ทันที


แม้แต่ห้องขนาดใหญ่ก็ไม่เพียงพอที่จะรองรับประชากรอันเดดจำนวนมหาศาล กองทัพคนตายบางส่วนจึงล้นออกไปนอกหน้าต่าง


โครม!!


ขณะแอ็กนัสสัมผัสได้ว่ามีสิ่งกำลังเข้าใกล้ ประตูห้องที่ปิดสนิทก็ปลิวกระเด็นทันที อสูรผิวแดงและซัคคิวบัสจำนวนหนึ่งกรูเข้ามาภายใน


ในตำแหน่งด้านหลังอัศวินความตาย คำถามผุดขึ้นบนใบหน้าแอ็กนัสที่กำลังหันไปทางอีกฝ่าย


นั่นเพราะชื่อของซัคคิวบัสทุกตัวจะมีคำนำหน้าว่า ‘ของกริด’ อยู่ด้วยเสมอ


‘ฝึกมอนสเตอร์ให้เชื่อง’


เก่งไปทุกด้านเลยรึไง? ขอบเขตอยู่ตรงไหน? แอ็กนัสมิอาจคาดเดาได้เลย


“เจ้าช่างอ่อนแอ”


ออริโอลจ้องแอ็กนัสที่กำลังเผยสีหน้าตกตะลึง


นั่นเพราะอันเดดของแอ็กนัสถูกซัคคิวบัสและอสูรผิวแดงฆ่าตายอย่างง่ายดาย


แอ็กนัสพ่นหายใจเหยียดหยัน


“ก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่”


ทันใดนั้นเอง


ฉึก!


ออริโอลที่ปรี่เข้าไปหากลุ่มอสูรผิวแดงและซัคคิวบัส ถูกบดขยี้โดยบางสิ่งที่มืดมิดจนร่างกายทรุดลงไป


เป็น ‘ยมทูต’ ที่กำลังยืนทับร่างออริโอลซึ่งนอนหมอบอยู่กับพื้นในท่ากบตาย


“เฟคเกอร์…”


นี่เฟคเกอร์ตามมาฆ่าตนถึงในนรกเลยหรือ


บางสิ่งที่เปียกชื้นและน่ารังเกียจพุ่งผ่านแก้มแอ็กนัสผู้กำลังยืนยิ้มอย่างขื่นขม


เป็นลิ้นของเซพาเดีย


เฟคเกอร์เปลี่ยนตำแหน่งเพื่อหลบหลีกการโจมตีที่พุ่งประหนึ่งหอก


ในเวลาเดียวกัน ออริโอลลุกขึ้นมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำเพราะโทสะ


“ข้าสัมผัสถึงสายตาของเจ้าได้สักระยะแล้ว… เป็นแค่มนุษย์แต่คิดไล่ตามข้า? กล้าขนาดนี้เชียว?”


“…”


เฟคเกอร์ทำเพียงสำรวจสถานการณ์โดยไม่ตอบโต้


มันไล่ตามอสูรกระจกมาจนถึงที่นี่ แต่กลับได้พบเจอสถานการณ์ไม่คาดฝัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดความประหลาดใจ


แต่แน่นอน ภายนอกเฟคเกอร์ยังคงดูสุขุม มันไม่ใช่คนที่จะลนลานจนทำพลาดเพียงเพราะเรื่องราวดำเนินไปไม่ตรงตามแผน


> คาซิม พวกเราควรช่วยเลอราเฆ่ก่อน


เลอราเฆ่คือพันธมิตรอย่างไร้ข้อกังขา


เป็นเพราะเธอ คณะเดินทางหลายชีวิตจึงหลบหนีจากเอลิกอสมาได้อย่างปลอดภัย ขณะเดียวกันก็ยังคอยช่วยอำนวยความสะดวกให้ยูร่าและครอเกลขณะกวาดล้างขุมนรกระหว่างสงคราม


กิลด์โอเวอร์เกียร์ประเมินคุณค่าและศักยภาพของเลอราเฆ่ไว้สูงมาก แถมยังรู้สึกขอบคุณในสิ่งที่เธอทำ


คาซิมในเงาเฟคเกอร์ตอบ


> เข้าใจแล้ว


นักลอบสังหารทั้งสองเปลี่ยนเป้าหมาย


พวกมันพุ่งผ่านอสูรกระจกอย่างไม่แยแสก่อนจะกระโดดออกจากเงาเซพาเดีย จากนั้นก็ชักมีดสั้นออกมาแทงใส่ลิ้นยาวที่กำลังรัดคอเลอราเฆ่


ปัญหาเริ่มจากตรงนี้


เมือกบนลิ้นของเซพาเดียทำให้มีดลื่น


โดยไม่รีรอ อสูรกระจกพุ่งประชิดตัวสองนักลอบสังหารด้วยเงาสะท้อนบนมีด จากนั้นก็กระหน่ำโจมตีอย่างหนักหน่วง


เฟคเกอร์และคาซิมที่หลบไม่พ้นต่างได้รับบาดเจ็บ ภายในใจเริ่มเกิดความรู้สึกอับอาย


‘อันตราย…’


ภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยสักเท่าไร


ในที่สุดพวกมันก็แกะรอยเส้นทางของอสูรกระจกได้อย่างยากลำบาก แต่โชคร้ายที่ปลายทางเป็นนรก


แถมยังต้องเชิญหน้ากับบริวารของบาเอล สถานการณ์ปัจจุบันไม่ต่างอะไรกับหายนะ แนวคิดเรื่องแพ้ชนะจึงไม่มีอยู่ในหัวตอนนี้เลย


ขณะทั้งสองกำลังจำลองผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด


“มนุษย์! เจ้ามาสายนะ!”


อสูรผิวแดง ‘แกลนท์’ ตะโกนเสียงดังด้วยสีหน้าซื่อตรงต่อความรู้สึก


กึก


ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเงียบเชียบที่ดังจากโถงทางเดินด้านนอกประตูที่พัง


ความสนใจของเซพาเดีย เฟคเกอร์ คาซิม และแอ็กนัสต่างพุ่งไปยังทิศทางดังกล่าวตามสัญชาตญาณ


ฉึบ!


ลิ้นขอเซพาเดียถูกตัดขาด


กองทัพอันเดดสูญเสียร่างกายท่อนบนและล้มระเนระนาดเป็นกลุ่มใหญ่


ประกันชีวิตอมตะของแอ็กนัสทำงานทันที


“นายบอกให้คอยดูแลชั้นหนึ่งเอาไว้ไม่ใช่หรือ”


ลมหายใจของชายคนนี้สงบนิ่ง ทั้งที่ปราณดาบรอบกายกำลังเกรี้ยวกราดประหนึ่งคลื่นยักษ์


ไม่ใช่ใครนอกจากอริยดาบครอเกล ผู้ย่างกรายเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ลอเอลที่ประเมินว่าโลกกึ่งกลางคงยังไม่มีอันตรายไปอีกสักพัก ตัดสินใจส่งครอเกลมาคอยคุ้มกันเลอราเฆ่


และนั่นทำให้ครอเกลเกิดความรู้สึกประหลาด


คล้ายกับตนถูกปฏิบัติเหมือนเป็นสมาชิกโอเวอร์เกียร์คนหนึ่ง


‘ก็ไม่แย่นักหรอก’


ดาบเสือขาวในมือครอเกลคำรามกึกก้องขณะปลดปล่อยวิชาดาบไร้เทียมทาน ปราณดาบไร้สีสะบั้นทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่านจนขาดเป็นสองท่อน


อาวุธประเภทเติบโตที่ใช้ชีวิตร่วมกับอริยดาบมานานหลายปีจนมีคุณสมบัติตรงตามอุดมคติครอเกล ศักยภาพของมันยิ่งถูกจุดระเบิดครั้งใหญ่เมื่อได้รับการปรับแต่งครั้งแรกจากเทพโอเวอร์เกียร์


นอกจากนั้น ครอเกลสั่งสมประสบการณ์มานับไม่ถ้วน


หนึ่งปีที่ล้มลุกคลุกคลานกับการท้าสู้มีร์บนทวีปตะวันออก


ประสบการณ์ที่พรั่งพรูอย่างไม่ขาดสายในมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร


เป็นสัญญาณการถือกำเนิดเทวภัณฑ์ชิ้นใหม่ของเทพโอเวอร์เกียร์ภายใต้ความร่วมมือจากอริยดาบ


***


ทรัพย์สิน ชื่อเสียง และสายสัมพันธ์ที่มีค่า


กริดครอบครองมันทั้งหมดแล้ว ตอนนี้เป้าหมายในอนาคตของมันจึงชัดเจน


สันติภาพและความยั่งยืน


ในอดีต มันโหยหาพลังเพื่อปกป้องคนสำคัญ รวมถึงพลังที่ช่วยในการไขว่คว้าอนาคต


แต่ปัจจุบัน กริดต้องการช่วยเฮ็กเซเทียและดวงวิญญาณของแพ็กม่า รวมถึงปกป้องไม่ให้โลกนี้ถูก ‘รีเซต’ และสร้างใหม่


นั่นคือเหตุผลที่กริดมายังเกรเนีย


ผู้ช่วงชิงเทวตำนาน


จากบรรดาเป้าหมายที่กริดพอจะเอื้อมถึงในปัจจุบัน นี่คือปลาตัวใหญ่ที่สุด แถมยังรับประกันว่าจะได้ของรางวัลเป็นหนังสือเปลี่ยนคลาสเกรดเลเจนดารี


‘แรนดี้ทำได้ดีกว่าที่คิดแฮะ…’


กริดได้รับข้อมูลจำนวนมากตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา


เป็นผลมาจากการที่ความทรงจำของซีดานค่อยๆ ฟื้นฟูทีละนิดขณะปืนขึ้นยอดเขา


ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชายหนุ่มได้ทราบถึงการมีอยู่ของผู้พิทักษ์ และทราบว่าหากตนต้องการพบราชาขุนเขา ก็ต้องถูกยอมรับจากอีกฝ่ายเสียก่อน


‘เราจะได้ออมแรงไว้สู้กับราชาขุนเขาทีเดียว’


เมื่อได้ทราบว่าเหล่าผู้พิทักษ์ถือกำเนิดจากราชาขุนเขาและหัวหน้าเผ่ารุ่นแรก คงไม่ผิดนักหากจะจำแนกพวกมันให้เป็นครึ่งเทพ


ในตอนนั้น กริดเดาว่าอีกฝ่ายคงมีฝีมือทัดเทียมยังบันสวมคัดระดับล่าง และตนคงต้องลงมือด้วยตัวเองเพื่อให้ได้เข้าพบราชาขุนเขา


ทว่า พัฒนาการของเรื่องราวกลับแตกต่างจากที่จินตนาการ แรนดี้เหนือกว่าอย่างขาดลอย


ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้พิทักษ์เหล่านี้มีฝีมือแค่ระดับ ‘ยังบันกลางๆ’ ซึ่งอ่อนแอกว่าการัมเสียอีก


แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรนดี้แข็งแกร่งมาก


เมื่อกล่าวถึงทักษะ ‘เลียนแบบ’ แรนดี้จะมีข้อจำกัดอยู่มากมาย


แต่เธอสามารถทลายขีดจำกัดได้ด้วยตัวเอง


แม้จะใช้ไปแค่ไม่กี่ทักษะ แต่แรนดี้กลับรับมือการโจมตีจากผู้พิทักษ์ได้สบาย


การตัดสินใจ การเลือกใช้ร่างกาย อาวุธ และสภาพแวดล้อม ทั้งหมดพัฒนาขึ้นจากความชื่นชมในตัวกริด


นี่คืออิทธิพลจากค่าสติปัญญาจำนวนมหาศาล


หากนับเพียงไหวพริบด้านการต่อสู้ แรนดี้ในปัจจุบันแข็งแกร่งทัดเทียม NPC ยอดนักรบแถวหน้าของซาทิสฟายไปแล้ว


‘ดูการควบคุมร่างกายนั่นสิ… เธอยอดเยี่ยมกว่าเราในตอนที่ไม่ได้ใช้ประสาทสัมผัสเทียมเสียอีก’


[ซีดานอธิบายอีกครั้งว่า ถ้าต้องการเข้าพบราชาขุนเขา ท่านต้องถูกยอมรับโดยผู้พิทักษ์เสียก่อน]


[ซีดานอธิบายอีกครั้งว่า ถ้าต้องการเข้าพบราชาขุนเขา ท่านต้องถูกยอมรับโดยผู้พิทักษ์เสียก่อน]


ซีดานเอาแต่พูดในเรื่องเดิม


กริดเอียงคอเล็กน้อยเป็นนัยว่าทราบแล้ว แต่ซีดานก็ยังไม่หยุดพูด


[ซีดานอธิบายอีกครั้งว่า ถ้าต้องการเข้าพบราชาขุนเขา ท่านต้องถูกยอมรับโดยผู้พิทักษ์เสียก่อน]


“ฉันรู้แล้วน่า… อะ?”


กริดเริ่มเข้าใจว่าทำไมซีดานถึงเอาแต่ย้ำคิดย้ำทำ


นั่นเพราะหลอดพลังชีวิตของผู้พิทักษ์กำลังจมก้น


การต่อสู้เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ แต่อีกฝ่ายกลับหายใจรวยรินเต็มที


“…การฆ่าก็เหมือนกับการทำให้ทุกคนยอมรับไม่ใช่หรือ?”


[ซีดานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ]


[ฮัคเซ่นแนะนำให้เลื่อนการเอาชีวิตผู้พิทักษ์ออกไปก่อน]


“อา…”


เมื่อพิจารณาว่าผู้พิทักษ์อาจเป็นสายสัมพันธ์เดียวของราชาขุนเขา กริดมองว่าสมเหตุสมผล


ชายหนุ่มที่ตัดสินใจได้ ส่งสัญญาณไปหาแรนดี้ผ่านสายตา


จากนั้น ความรุนแรงก็หยุดลง


แม้แรนดี้จะบาดเจ็บค่อนข้างหนัก แต่ ‘เหล่า’ ผู้พิทักษ์ต่างล้มลงไปคลานบนพื้นกันหมดแล้ว โดยที่แรนดี้ยังคงยืนเต็มสองเท้าด้วยท่าทีผ่อนคลาย


ชนพื้นเมืองต่างกำลังตกตะลึงสุดขีด ส่วนผู้พิทักษ์เผยสีหน้าท่าฉุนเฉียว


บางคนทำราวกับว่า ความแตกต่างของพลังห่างเพียงกระดาษบางหนึ่งแผ่น


เป็นท่าทีที่น่าขบขัน แต่ในขณะเดียวกันก็พอเข้าใจได้


แรนดี้ไม่ได้กำราบพวกมันอย่างราบคาบจนดูน่าสมเพช


ผ่านไปสามสิบนาทีเต็ม แต่ไม่มีใครถูกฆ่าตายแม้แต่คนเดียว


ค่าสถานะของกริดครึ่งหนึ่งจะถูกสืบทอดมายังแรนดี้ นอกจากนั้นบนร่างกายเธอยังสวมใส่ไอเท็มคุณภาพสูงที่กริดบรรจงสร้าง


แต่กลับยังไม่เพียงพอที่จะปิดบัญชีครึ่งเทพสี่ตนภายในเวลาอันสั้น


ช่างเถอะ แค่นี้ก็เหลือเฟือ…


“ตกลง… ในเมื่อพวกเราสี่คนมิอาจรับมือเจ้าคนเดียวไหว จะมอบโอกาสให้ได้เข้าพบท่านราชาขุนเขา… ตามข้ามา”


เส้นทางที่ช่วยให้ได้พบกับราชาขุนเขาถูกเปิดออก


นอกจากนั้น


[สัตว์เลี้ยงของท่าน ‘แรนดี้’ กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาพัฒนาตัวเองที่ยังเป็นปริศนา ตอนนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด]


หรือจะเป็นเพราะว่า แรนดี้ซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นมอนสเตอร์ ประสบความสำเร็จในการเอาชนะครึ่งเทพสี่คนอย่างน่าอัศจรรย์?


การเปลี่ยนแปลงบางอย่างใกล้จะเกิดขึ้นกับแรนดี้


กริดเดินตามเธอไปอย่างเงียบงัน


ชายหนุ่มแปลงโฉมเป็นไอรีนด้วยหน้ากากหนัง


มันไม่อยากทำตัวโดดเด่น จึงเลือกที่จะปลอมตัวเป็นคนธรรมดา (?) เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องปวดหัวก่อนจะได้พบกับราชาขุนเขา


เหล่าผู้พิทักษ์ที่เดินนำหน้าต่างหันมาจ้องกันอย่างมีเลศนัย


‘ถึงแม้พวกเราจะแพ้อย่างเฉียดฉิวแค่กระดาษบางแผ่นเดียว’


‘แต่นั่นเป็นเพราะเรายังไม่รู้จักของอีกฝ่ายดีพอ… ถ้าได้สู้กันอีกครั้ง ข้ามั่นใจว่ามีโอกาส’


‘และในท้ายที่สุด พวกเราก็ได้ลิ้มรสบารมีเทพ’


ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รู้ว่าแรนดี้เป็นแค่เบ๊


______________

ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

Post a Comment

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00