จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,530
<ราคาหุ้นของโคเม็ตกรุปจะพุ่งสูงไปไกลแค่ไหน? >
ตัวเชื่อมต่อรุ่นที่ชื่อ DN941 หรือที่รู้จักกันในนาม ‘แคปซูลกริด’ ถูกจองหมดก่อนวางขายด้วยสถิติใหม่ของตลาดแคปซูลไฮเอนด์ ขณะเดียวกันก็มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศอย่างล้นหลาม
< (บทความ) เตรียมความพร้อมสำหรับเหนือมนุษย์>
เฉกเช่นการได้เห็นตัวเอกในภาพยนตร์ฮีโร่
คามิคิน บาเอล และไลฟาเอล – ผมลืมขีดจำกัดของมนุษย์ไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นกริดโค่นศัตรูในระดับหายนะเหล่านี้
อนาคตของมนุษย์ที่นำโดยกริด คงหนีไม่พ้นการเอื้อมไปถึงระดับเหนือมนุษย์
แต่ปัญหาก็คือ
พวกเราจะรับมือการสถานะเหนือมนุษย์ได้จริงหรือ?
ท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่กริดแสดงให้เห็นระหว่างการต่อสู้มิใช่สิ่งที่นักกีฬาสมัครเล่นจะทำได้ แถมยังมีภาระทางสมอง ผู้เชี่ยวชาญบางคนระบุว่าหากต้องการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของกริด ผู้เล่นจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงเทียบเท่านักขับเครื่องบินรบเป็นอย่างน้อย…
<ผู้เล่นทั่วโลกกำลังตาลุกวาว>
สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดนับตั้งแต่มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรเริ่มขึ้น คือฉากการต่อสู้ของกริดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ก็ต้องไม่ลืมกลุ่มผู้เล่าที่คอยปกป้องสมรภูมิที่ปราศจากกริด
ไล่ตั้งแต่ขุนพลของโอเวอร์เกียร์ที่ทั่วโลกรู้จักกันดีอยู่มา มาจนถึงกองทัพอาเรสและไฮแรงเกอร์ที่โดดเด่น รวมไปถึงผู้เล่นในเงามืดและคุณที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่…
ทุกคนต่างก็เป็นฮีโร่ของใครบางคน
<นรกและสวรรค์สมรู้ร่วมคิดกัน? >
มิคาเอลผู้แสร้งทำตัวเป็นสันตะปาปาเคยบอกใบ้พวกเรามาแล้วหนหนึ่ง
แอสการ์ดมิได้ทำดีกับมนุษย์อย่างไร้เงื่อนไข เรียกได้ว่าธาตุแท้ห่างไกลจากสิ่งที่พึ่งพาได้
เหตุการณ์ในคราวนี้คือเครื่องพิสูจน์อีกครั้ง
ในยามที่มนุษย์กำลังวิกฤตสุดขีด คมหอกของเทวทูตพุ่งตรงมายังกริด หาใช่เหล่าอสูร
และยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับหน่วยเงาโอเวอร์เกียร์ที่เป็นผู้รายงานข่าวกรองการอยู่เบื้องหลังของเทพยูดาห์
นรกอาจไม่ใช่ศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ
< (ข่าวด่วน) ตัวตนที่แท้จริงของมีร์>
ใครคือบุรุษผู้ปรากฏตัวออกมาช่วยกริดในยามคับขัน?
ท่ามกลางคำถามจากทุกฝ่าย มีรายงานจากผู้เล่นนิรนามคนหนึ่งซึ่งอ้างว่าโลดแล่นอยู่ในทวีปตะวันออกมานาน
ตัวตนที่แท้จริงของมีร์คือยังบัน
ยังบันคือกลุ่มคนที่คอยข่มเหงผู้เล่นในทิศตะวันออกทุกวิถีทาง
ในอดีตพวกมันเคยมีประวัติการสร้างภารกิจล่อช่างตีเหล็กไปฆ่าครั้งใหญ่จนเกิดความปั่นป่วนไปทั่วโลก…
(ข้าม)
…จึงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า สถานะความสัมพันธ์ระหว่างยังบันกับกริดคือศัตรู
ความช่วยเหลือจากมีร์อาจตีความได้ว่าเป็นการจับมือครั้งใหม่
แต่บางคนตั้งข้อสงสัยว่า มีร์อาจมาเยือนทวีปตะวันตกเพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของนรกและแอสการ์ด
<ชินยองวูได้รับเลือกให้เป็นบุคคลทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโลกสี่ปีซ้อน>
<มูลค่าของกริดกำลังทะยานฟ้า… บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกต่างเสนอเช็คเปล่าให้กริดเพื่อหวังดึงตัว>
<ปาฏิหาริย์ที่เกิดจากความสำเร็จร่วมของกริดและ SA กรุปกำลังดึงเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาในเกาหลีใต้>
<รัฐบาลเกาหลีใต้ตกรางวัลให้กับกริด, นายชินยองวู, อันประกอบไปด้วย 1. เครื่องราชอิสริยาภรณ์วัฒนธรรม, 2. เครื่องราชอิสริยาภรณ์อุตสาหกรรมบริการ, 3. เครื่องราชอิสริยาภรณ์มูกูฮวา, โดยกล่าวว่า ‘พวกเราให้เท่าที่จะให้ได้แล้ว’ >
<ท่าทีของประชาชนค่อนข้างเย็นชา ทำไมต้องให้กริดที่วุ่นวายอยู่แล้วเดินทางไปมาด้วย? มีผู้คนจำนวนหนึ่งรวมตัวประท้วงที่หน้าบลูเฮาส์>
<การมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ได้จุดประกายให้ปัญหาเดิมกลับมาถูกถกเถียงอีกครั้ง เหรียญไร้ค่าเหล่านี้ยังมีประโยชน์อันใดกับยุคสมัยใหม่? >
<หรือประธานาธิบดีจะได้ยินเสียงจากประชาชน? เขากล่าวว่า ‘ถ้าคุณยองวูปรารถนาสิ่งใด ผมจะพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อทำให้เป็นจริง’ >
<แม้แต่ฝ่ายค้านก็ยังไม่คัดค้าน… กริดทำให้ขั้วอำนาจทางการเมืองสามัคคีกันได้>
ในประเทศเกาหลีใต้กำลังเร่าร้อนอย่างที่ไม่เคยเป็น
ใครหลายคนพากันตั้งคำถามว่า ชาวเกาหลีจะยังตื่นเต้นในระดับเดียวกันหรือไม่หากทีมฟุตบอลคว้าแชมป์โลก หรือสองเกาหลีรวมเป็นหนึ่งโดยไม่ต้องหลั่งเลือด?
ฉายาขำขัน ‘สาธารณรัฐประชาชนกริด’ ที่ตั้งโดยสื่อบางกลุ่มเริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายและไม่มีใครคัดค้าน
เป็นท่าทีที่ต่างไปจากเมื่อครั้งกริดพาเกาหลีใต้คว้าแชมป์โลกการแข่งซาทิสฟายนานาชาติ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้
กริดได้พิสูจน์แล้วว่าตนคือตัวแทนและผู้พิทักษ์ของมนุษยชาติในอีกโลกหนึ่งตามว่าซาทิสฟาย
เมื่อเทียบกับการยกระดับสถานะประเทศเกาหลี อิทธิพลที่กริดสร้างไปทั่วโลกนั่นยิ่งใหญ่กว่าหลายเท่า
สื่อทั่วโลกกำลังวิเคราะห์และชื่นชมผลงานอันโดดเด่นของกริด
เป็นเสียงตอบรับในเชิงบวกโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ประเทศ และวัฒนธรรม
โดยเฉพาะภาพที่กริดพยายามปกปิดบาดแผลบนหน้าด้วยหัตถ์เทวะและแผลบนตัวด้วยผ้าคลุม
จิตวิญญาณอันสูงส่งที่ไม่ต้องการให้ทุกคนเป็นกังวล เทียบได้กับหัวใจของเหล่ายอดนักรบในอดีต
เกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดดได้เพราะกริด
เชื่อเสียงในเวทีโลกเพิ่มเป็นเท่าตัว ดัชนีทางเศรษฐกิจทะยานขึ้นในแนวตั้ง
เพียงเพราะบริษัทยักษ์ใหญ่ของนานาชาติพยายามเข้าถึงและตีสนิทกับกริด
ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองเหตุผลที่ทำให้กริดตกเป็นเป้าความคลั่งไคล้ของผู้คนทั่วโลก
***
‘ชักชินแล้วสิ’
สีหน้าชินยองวูยังคงสงบนิ่งขณะหลีกหนีจากความวุ่นวายและล็อกอินเข้าซาทิสฟาย
ชายหนุ่มผ่านช่วงเวลาที่รู้สึกตื่นเต้นหรือเป็นกังวลกับความคาดหวังจากผู้คนมาแล้ว
โลกแห่งความจริงกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
การใช้ชีวิตโดยไม่ต้องคอยแบกรับความหวังหรือผู้คนถือเป็นเรื่องน่ายินดีเสมอ
โลกที่ชินยองวูต้องเค้นสมองคิดจนถึงขีดสุดมีแค่ซาทิสฟายก็เพียงพอ
[เทพโอเวอร์เกียร์ปรากฏกาย]
“…”
ใบหน้ากริดพลันแข็งทื่อทันทีที่เชื่อมต่อสำเร็จ
ข้อความกิลด์ซึ่งจะปรากฏขึ้นทุกครั้งหลังจากตนออนไลน์ค่อนข้างทำให้ชายหนุ่มหนักใจ
คล้ายกับเป็นการย้ำเตือนถึงหน้าที่
เป็นความกดดันที่หนักหนากว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์มูกูฮวาเสียอีก
<กุญแจลึกลับ (1) >
กุญแจที่ไม่ทราบประโยชน์การใช้งาน
เป็นงานฝีมืออันวิจิตรจนมนุษย์ไม่สามารถลอกเลียนแบบ
เป็นการยากที่จะประเมินคุณค่า ท่านควรลองทดสอบด้วยตัวเองว่าสิ่งนี้คือลาภก้อนโตหรือไม่
น้ำหนัก: 0
หนึ่งในรางวัลที่ได้จากขับไล่ไลฟาเอลกลับไป
รางวัลที่เหลือเป็นพวกสมญานาม เลเวลจำนวนมาก และระดับตัวตน
เป็นรายการรางวัลที่น่าทึ่งมากเมื่อพิจารณาว่ากริดฆ่าไลฟาเอลไม่สำเร็จ
เป็นความสำเร็จระดับเดียวกับการล่าบอสพิเศษหลายครั้งรวมกัน
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่ทันสังเกต
เลเวลของกริดเพิ่มกว่าห้าสิบระดับภายในระยะเวลาเพียงสิบนาทีนับตั้งแต่โค่นคามิคินจนถึงขับไล่ไลฟาเอล
จนถึงจุดที่กริดอดสงสัยไม่ได้ว่า: การไม่มี ‘ช่วงเลเวลนรก’ คือสิ่งที่ดีแล้วหรือ?
‘หรือระบบอยากให้ผู้เล่นพัฒนาตัวเองได้เร็ว?’
เลเวลช่วงปลายสามร้อย
ที่นั่นคือช่วงเลเวลนรกซึ่งยากจะข้ามผ่าน
แต่หลังจากเลเวลสี่ร้อยเป็นต้นมา ค่าประสบการณ์ที่ต้องการในแต่ละเลเวลใกล้เคียงกันมากจนแทบไม่แตกต่าง
เมื่อพิจารณาว่าทุกคนจะฆ่ามอนสเตอร์ได้เร็วขึ้นเนื่องจากระบบการตื่นของค่าสถานะและการเพิ่มทักษะใหม่ ระดับความยากในการเก็บเลเวลได้ลดลงจากช่วงปลายสามร้อยหลายเท่า
ตอนแรกอาจยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้กริดรู้แล้ว
‘โลกกำลังเติบโต’
อสูรระดับสูงและเทวทูต
ศัตรูใหม่ๆ ที่เริ่มปรากฏตัวบนโลกกึ่งกลางมีระดับสูงกว่าเมื่อก่อนอย่างเทียบไม่ติด
ไม่ผิดนักหากจะบอกว่าชีวิตประจำวันของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปมากถ้าเทียบกับสมัยที่เจ็ดดยุคยังถูกมองว่าแข็งแกร่งที่สุด
ดังนั้น ผู้เล่นต้องแข็งแกร่งขึ้น
“ส…สวัสดี หัวหน้า”
ขณะกริดกำลังเดินไปบนถนนหินที่อาบแสงแดดอันอบอุ่น
“ฮูเร็น?”
กริดสำรวจใบหน้าของคนที่พบกันโดยบังเอิญและยืนยันว่าเป็นฮูเร็น ความคิดมากมายถูกสลัดออกไปจากสมองทันทีพร้อมกับยกมุมปากยิ้ม
ออร่ามาสเตอร์ ฮูเร็น
ศิษย์ที่ปิอาโร่หวงแหนมากเป็นพิเศษ ถึงกับยกย่องไว้ว่า ‘ชายคนนั้นมีศักยภาพไร้สิ้นสุด’
แม้ในปัจจุบันจะไม่แยแสภารกิจประจำคลาสและเอาแต่ทำนา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฮูเร็นแข็งแกร่งมาก ถ้าจะกลายเป็นตำนานก็คงไม่น่าแปลกใจสักเท่าไร
“ได้ยินว่าในที่สุดนายก็ได้ครอบครองอักขระแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
อันที่จริง กริดไม่อยากจัดอันดับผลงานของพวกพ้อง
หน้าที่ของทุกคนสำคัญในแบบฉบับตัวเอง
สงครามจะยากขึ้นมากถ้าใครสักคนไม่ยอมทำงานของตัวเองอย่างสุดฝีมือ
แต่ก็ยากจะปฏิเสธว่าความสำเร็จของฮูเร็นนั้นยิ่งใหญ่จนน่าทึ่ง
ลอเอลคาดการณ์ว่าฮูเร็นน่าจะกำจัดกองทัพอสูรไปมากถึงสามกองตามลำพัง
หากไม่ใช่เพราะมัน สถานการณ์ฝั่งห้วงนรกและหมู่เกาะเบเฮ็นคงตกที่นั่งลำบากมากกว่านี้
แถมยังเป็นความสำเร็จที่เกิดจากชาวนาเพียงคนเดียว
ลอเอลกล่าวว่า ตำราพิชัยสงครามจำนวนมากรวมถึงของซุนวูล้วนกล่าวถึงความสำคัญของเสบียง
สรุปคือ กองทัพในอุดมคติคือกองทัพที่กินอิ่ม นอนหลับ และติดอาวุธคุณภาพสูง
นั่นคือเหตุผลที่กองทัพของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ทรงพลังเป็นอย่างมาก
ยุทธภัณฑ์สงครามถูกแจกจ่ายจากเมืองหลวงด้วยฝีมือกริดและเหล่าช่างตีเหล็ก อาหารและน้ำไม่เคยขาดเพราะฝีมือปิอาโร่และชาวนา แผนการรบที่ให้ความสำคัญกับเสบียงเป็นอันดับแรกของลอเอลจึงไม่ต่างอะไรกับการติดปีกให้กองทัพ
นั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่กริดชื่นชอบฮูเร็นมาก
เพียงแต่เพิ่งมีโอกาสได้พูดต่อหน้า
ฮูเร็นแบ่งออร่าออกเป็นประกายเล็กๆ และห่อหุ้มร่างกายไว้ประหนึ่งชุดคลุมแสง
ทั้งที่ชายคนนี้เอาแต่ให้ความสำคัญกับรูปร่างออร่ามาตลอด นั่นหมายความว่าฮูเร็นในปัจจุบันได้พัฒนาไปอีกขั้น
‘เป็นรูปแบบการต่อสู้ที่คาดเดาไม่ได้เลย… ไม่ว่าจะตั้งรับหรือป้องกัน’
ออร่าที่กระจายเป็นอนุภาคแสง
จะมีสักกี่ตัวตนบนโลกที่สามารถรับมืออนุภาคแสงจำนวนมหาศาลซึ่งมีพลังโจมตีคงที่?
ในมหาสงครามที่ผ่านมา ฮูเร็นเพียงคนเดียวสามารถจัดการจอมอสูรไปสองตัว
ฮูเร็นอาจถ่อมตัวว่าตนโชคดีได้พบจอมอสูรกระจอก แต่จากการกะเกณฑ์ด้วยสายตาของกริด ชายคนนี้แข็งแกร่งพ่อที่จะดวลกับจอมอสูรหลักยี่สิบแบบตัวต่อตัวได้สบาย
ไม่สิ เป็นการยากที่จะวัดพลังด้วยสายตา
เขาเพิ่งครอบครองอักขระ…
“แสดงความยินดี… นั่นสินะ”
ฉันเพิ่งได้ในสิ่งที่นายมีมันมาหลายปี…
ฮูเร็นปิดปากโดยไม่ได้กล่าวประโยคนั้นออกไป
การเปรียบเทียบของตนอาจทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเอาได้
“…ช่างเถอะ นายทำงานได้ดีมาก”
สงครามยังไม่จบ
กองทัพอสูรยังคงรุกรานโลกแม้กระทั่งในตอนนี้
แต่เมื่อเทียบกับในตอนแรก ปริมาณของพวกมันลดลงจากเดิมมาก แถมความฮึกเหิมก็ยังต่ำ
มนุษย์เริ่มปรับตัว
การรุกรานของจอมอสูรเริ่มกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว การทั้งทีมล่าสัตว์อสูรไม่ต่างอะไรกับการตั้งทีมเก็บเลเวลในสมัยก่อน ทุกคนสลัดความกลัวที่เป็นเพียงผิวเผิน แถมยังต่อด้วยอย่างมีระบบและเทคนิค
มีโอกาสสูงมากที่กริดจะไม่ต้องออกหน้าด้วยตัวเองอีก
บางทีเมื่อสงครามจบลง ทุกคนอาจแข็งแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด
มีรายงานว่ามนุษย์เสียชีวิตไปแล้วกว่าหนึ่งในห้า แต่คนที่เหลืออยู่ก็จะยิ่งแข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หรือกล่าวได้ว่าการเสียสละของพวกเขามิได้สูญเปล่า
“ฉันอาจเจองานหนักมาบ้าง แต่ของนายหนักกว่ามาก… จริงสิ ฉันมีของขวัญเตรียมไว้ให้ หวังว่านายจะชอบนะ”
กริดไม่เคยสร้างไอเท็มให้ฮูเร็นเป็นพิเศษมาก่อน
ต้องไม่ลืมว่าตัวฮูเร็นมีขีดจำกัด
มันใช้ออร่าเป็นทั้งอาวุธและชุดเกราะ ด้วยธรรมชาติเช่นนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องถูกตีกรอบประเภทของยุทธภัณฑ์
เป็นเหตุผลที่ทำให้กริดรู้สึกผิดมาตลอด
ทุกครั้งที่ได้ยินฮูเร็นประสบความสำเร็จ กริดจะรู้สึกผิดประหนึ่งตนเป็นหัวหน้าไม่ดีที่หลอกใช้ลูกน้อง
และนั่นคือสาเหตุที่กริดศึกษาวิธีสร้างเสื้อและรองเท้าหนังเพื่อฮูเร็นโดยเฉพาะ
“ของขวัญอะไร…”
ฮูเร็นเกาศีรษะด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน นั่นทำให้กริดสัมผัสถึงความเหินห่าง
เขาคงไม่ชอบหน้าเราสินะ...
ฮูเร็นที่เดินนำหน้ากล่าวขณะกริดรำพันกับตัวเอง
“ฉันจะได้อุปกรณ์ทำฟาร์มใช่ไหม? ถ้าเป็นจอบเล็กสักเล่มคงเยี่ยมไปเลย…”
“…”
ไว้คราวหน้าจะสร้างอุปกรณ์ทำฟาร์มให้นะ
กริดที่สาบานกับตัวเองเริ่มผุดข้อสงสัยบางอย่าง
ตอนแรกมันกำลังเดินไปหาไอรีน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ปลายทางของกริดคือโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์
เป็นคนละทิศโดยสิ้นเชิงกับทุ่งนาซึ่งเป็นถิ่นของฮูเร็น
แต่ทำไมฮูเร็นถึงกำลังเดินไปในทิศเดียวกับกริด
“นายกำลังจะไปไหน”
ฮูเร็นที่พึมพำเกี่ยวกับจอบเล็กมาสักพักเริ่มตื่นจากภวังค์
“วิหารของหัวหน้า”
“นายจะเข้าร่วมศาสนจักรเทพโอเวอร์เกียร์?”
ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองค่อนข้างกระอักกระอ่วน
หากไม่มีสะพานเชื่อมที่ชื่อปิอาโร่ เกรงว่ากริดกับฮูเร็นคงไม่ได้มาเดินข้างกันเช่นนี้
กริดไม่เคยโน้มน้าวให้ฮูเร็นเข้าศาสนา เพราะมองว่าอีกฝ่ายสามารถสร้างประโยชน์ได้โดยไม่เข้าร่วม
เพียงแค่เสียดายเล็กน้อย
ฮูเร็นจะได้รับสิทธิประโยชน์มากมายหากตัดสินใจเข้าร่วมโบสถ์โอเวอร์เกียร์ ลำพังค่าสถานะก็เพิ่มมากโข
“หือ? ฉันเข้าตั้งแต่วันแรกแล้ว เมื่อก่อนไม่มีศาสนา ก็เลยเข้าร่วมโบสถ์โอเวอร์เกียร์ได้ทันที”
“จริงหรือ…?”
“ใช่… เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ฉันภูมิใจในเกมนี้… ใครต่อใครต่างก็ชื่นชมในคุณธรรมของหัวหน้า”
“ฮะฮะ…”
กริดฉีกยิ้มกว้าง มันรู้สึกว่าระยะห่างสั้นลงเล็กน้อย
ฮูเร็นอธิบายสถานการณ์
“ฉันกำลังไปวิหารเพื่อพบกับภรรยาของหัวหน้า… ลอเอลบอกให้มาช่วยปกป้องเธอ”
คาซิม เฟคเกอร์ และหัวกะทิของหน่วยเงาถูกส่งไปจัดการกับคดี ‘อสูรกระจก’
ภารกิจคุ้มกันไอรีนจึงตกเป็นของซาลิเอล แต่ถึงอย่างนั้นลอเอลก็ยังไม่วางใจ
‘ซาลิเอลและฮูเร็น…’
ไอรีนจะต้องปลอดภัยแน่
กริดหันไปถามฮูเร็นด้วยความรู้สึกเชื่อมั่น
“นายคงยุ่งมาก… ขอบคุณที่แบ่งเวลามาช่วย”
“หือ? ป้อมปราการที่ฉันสร้างขึ้นสามารถสกัดกั้นสัตว์อสูรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้ก็เลยว่างมาก… จริงสิ ฉันได้รับอนุญาตให้ทำนาในแปลงดอกไม้ของวิหารด้วย”
ใบหน้าเคอะเขินของฮูเร็นค่อยๆ กลายเป็นเคร่งขรึม ดวงตากลับไปสดใสเหมือนในอดีต
สหรัฐอเมริกา
สีหน้าแววตาของมันกลับไปมั่นใจเหมือนกับตอนที่เป็นตัวแทนชาติมหาอำนาจของโลก
สงครามทำให้มันตระหนักว่าตนมิได้อ่อนแอ
“ฉันรู้ดีว่าภรรยาสำคัญกับหัวหน้าแค่ไหน ต่อให้ถูกบาเอลจู่โจม ฉันก็จะยื้อไว้จนกว่าหัวหน้าจะมา”
“…ขอบใจ”
กาลเวลาและเหตุการณ์สามารถสร้างสายสัมพันธ์ได้
การที่ชาวโอเวอร์เกียร์ได้สนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณมหาสงคราม
กริดเองก็ออกเดินทางได้อย่างวางใจ
เป้าหมายอันดับหนึ่งในตอนนี้คือการรวบรวมสมุดเปลี่ยนคลาสของอดีตตำนาน
______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059 ★ ★ จบบริบูรณ์ ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ
Comments
Post a Comment