จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,534



วัฒนธรรมพิสดารถือเป็นเรื่องปรกติสำหรับโลกใบนี้


มีดินแดนมากมายที่โลกเอื้อมไปไม่ถึง ยิ่งสถานที่ดังกล่าวปิดตายเพียงใดก็ยิ่งมากพิสดารเป็นเงาตามตัว


‘โลกช่างเต็มไปด้วยความไม่ปรกติ…’


ชนพื้นเมืองของภูเขาเกรเนียร์ผิดปรกติในทุกประตู


ผิวหนังปกคลุมไปด้วยหนังสัตว์ประหลาด ประดับตกแต่งด้วยกะโหลกของพวกมัน


เป็นชุดที่เหมาะกับท่าทีที่พยายามถลกหนังมนุษย์ทั้งเป็น


กริดเผชิญหน้าพวกมันด้วยความเยือกเย็นพลางตระหนักถึงความกว้างใหญ่ของโลกผ่านชนเผ่าป่าเถื่อน


“อ…อะไรกัน…?”


ในทางกลับกัน ชนพื้นเมืองกำลังตกตะลึงสุดขีดประหนึ่งถูกฟ้าผ่ากลางวันแสก


แตกต่างจากกริดผู้เคยพานพบหลายแง่มุมของโลกมาแล้ว


พวกมันเป็นแค่คางคกในบ่อ


สำหรับผู้ที่เชื่อว่าเกรเนียร์คือโลกทั้งใบ เตือนตนเหนือมนุษย์เช่นกริดคือสิ่งที่ยากจะทำความเข้าใจ


“ฉันดูเหมือนอะไร?”


“…”


ชายผู้ปรากฏกายอย่างกะทันหันและคว้าหนึ่งในพวกพ้องไป


ไม่มีใครตอบคำถามกริด บรรยากาศผ่านไปอย่างเงียบเชียบ


หลายคนถูกสะกดด้วยปราณพลังงานสีส้มที่แผ่ออกจากร่างเทพโอเวอร์เกียร์


แสงสว่างที่เป็นราวกับดวงดาวอาทิตย์ยามเช้าและกลางวันช่างดูศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง


เทพเสด็จเยือน เทพกำลังพิโรธ และอีกมากมาย


ขณะเหล่าชนเผ่ากำลังเรียบเรียงความรู้สึกเป็นคำพูด


“นี่เจ้า!!”


สตรีผู้ห่อหุ้มศีรษะด้วยกะโหลกแหกปากส่งเสียง เป็นการตะโกนกลบเกลื่อนอาการสั่นกลัวที่ดังจนทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน


ในฐานะหัวหน้าเผ่าธารน้อย เธอกำลังหวาดกลัว


ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากผู้บุกรุกนิรนามปรากฏกาย


สายตาของชนเผ่ากลับจ้องมองด้วยความอิจฉา เป็นสายตาแบบเดียวกับเมื่อครั้งได้เห็นองครักษ์แห่งราชาขุนเขา


สิ่งที่ไม่ควรเกิดกำลังจะเกิด


“เจ้านั่นใช้เล่ห์กลที่น่ารังเกียจ! มันเป็นราชาของผีร้าย!! รีบปิดปากอุดหูเดี๋ยวนี้!! ถ่างตาให้ชัดและใช้หอกแทงใส่มัน!!”


หัวหน้าเผ่าตะโกนสั่งเสียงดัง


เธอมิได้แยแสพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในมือกริด


ชีวิตของคนอื่นมิได้สลักสำคัญขนาดนั้น


ชนเผ่าต้องดำรงชีวิตและเอาตัวรอดท่ามกลางภูเขาที่แห้งแล้ง สิ่งเดียวที่หวงแหนคือชีวิตของตัวเอง


“ย๊ากกกก!”


ชนเผ่าธารน้อยล้วนเชื่อฟังคำสั่งหัวหน้า


นั่นเพราะหัวหน้าเผ่ามีอำนาจในการเลือกแจกจ่ายน้ำผึ้งหายากที่ต้องรวบรวมจากหน้าผาและนมแพะแสนล้ำค่า


ทางเดียวที่จะทำให้ชีวิตพวกตนดีขึ้นคือการเชื่อฟังคำของเธอ


ฉึบ


กริดแบ่งออกเป็นสองร่าง


ไม่ใช่เวทมนตร์ที่ยิ่งใหญ่อะไร


แค่การอัญเชิญแรนดี้


ร่างโคลนแห่งป่าลึกลับ


เป็นเพราะแพ็กม่ายินยอม เธอจึงสามารถลอกเลียนแบบรูปลักษณ์และทักษะของแพ็กม่าและคงสภาพไว้ได้นานหลายปี


หมายความว่าแรนดี้เชี่ยวชาญการใช้พลังระดับตำนานก่อนที่จะได้พบกริด


และหลังจากมาอยู่กับกริดก็ยิ่งพัฒนาฝีมืออย่างต่อเนื่อง


มาถึงจุดที่ไม่เพียงเธอจะคัดลอกรูปลักษณ์กริด แต่ยังคัดลอกค่าสถานะของกริดได้มากถึง 50%


กล่าวคือ


“อ๊ากกกกก!!”


“อั่ก!”


ศัตรูที่กริดได้เผชิญหน้าในระยะหลังมักแข็งแกร่งเหนือจินตนาการ


ส่งผลให้กริดใช้งานแรนดี้ไม่มากไปกว่าโล่เนื้อ และนั่นก็ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มประเมินเธอไว้ต่ำ


เพียงแต่ศัตรูเก่งกาจเกินไป


อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นสถานการณ์ที่เผชิญหน้ากับศัตรูอ่อนแอ (?) ลำพังแรนดี้คนเดียวก็เหลือเฟือ


“มนต์ดำ…?! เจ้าผีร้ายนั่นใช้มนต์ดำ! ชั่วร้ายเกินไปแล้ว… แค่ก…!”


ชนเผ่าล้มไปลงทีละคนโดยมิอาจต่อต้าน


แค่การเหวี่ยงหมัดส่งเดชของผู้บุกรุกทั้งสองก็มากพอจะทำให้ชนเผ่าหมดสภาพอย่างมิอาจขัดขืน


ฉากตรงหน้าสร้างความฉงนให้พวกมันเหนือพรรณนา


“ช…ชายคนนั้น…?”


กลุ่มมังก์ที่ถูกเชือกมัดขาและแขวนในสภาพห้อยหัว


ก่อนหน้านี้พวกมันถูกคนเถื่อนที่คุยกันไม่รู้เรื่องจับตัวมาและทำได้เพียงรอคอยความตาย ปัจจุบันฟื้นคืนกลับมาอย่างแจ่มชัด


นักรบคนเถื่อนที่ดุร้ายประหนึ่งสัตว์ป่าไร้สติปัญญา ยามนี้กำลังถูกไล่ต้อนประหนึ่งฝูงแกะ


อันที่จริงก็ไม่ถูกนักที่จะไปดูแคลนพวกมัน


ผู้บุกรุกนิรนามแข็งแกร่งเกินไป


กำปั้นที่รวดเร็วราวกับสายลมจะถูกปล่อยออกมาในทุกย่างก้าว ท่วงท่าการออกหมัดเท้าช่างงดงามราวกับปรมาจารย์การต่อสู้


เมื่อเห็นชายปริศนาทำลายท่าป้องกันทั้งหมดของเหล่าคนเถื่อนด้วยการโจมตีเดียว บรรดามังก์อดคิดไม่ได้ว่าชายคนนี้คงเป็นยอดฝีมือนิรนามที่เร้นกายฝึกวิชาในภูเขามาทั้งชีวิต


จนกระทั่งพวกมันได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายเต็มสองตา


“ฮึก…! ท…เทพโอเวอร์เกียร์…!”


มังก์ไม่เหมือนกับสาวกของศาสนาอื่น พวกมันมิได้สร้างมโนภาพว่าเทพที่ตนนับถือนั้นสูงส่งและไร้เทียมทาน


อันที่จริงศรัทธาส่วนใหญ่ของมังก์มักมอบให้เทพที่เคยเป็นมนุษย์


เฉกเช่นเทพแห่งการล่า เดบีเรียน


เดบีเรียนคือสุดยอดนักล่าเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์


มันสามารถร่ำรวยด้วยการนำสัตว์ป่าจำนวนมากที่ล่าได้ในแต่ละวันไปขาย แต่เดบีเรียนกลับเลือกที่จะแบ่งเนื้อและหนังให้ชาวบ้านโดยไม่คิดค่าตอบแทน


นอกจากนั้นยังนำไปขายให้คนรวยในราคาสมเหตุสมผล


เป็นเพราะหัวจิตหัวใจที่งดงามของเดบีเรียน ชาวบ้านจึงมีชีวิตอยู่ได้แม้จะถูกเจ้าเมืองชั่วกดขี่


หนังที่มันมอบให้ช่วยให้ชาวบ้านไม่หนาว เนื้อที่มันมอบให้ช่วยให้ชาวบ้านไม่อดอยาก


เดบีเรียนยังสอนให้ชาวบ้านรู้จักล่าอย่างมีประสิทธิภาพ


และแม้ชาวบ้านจะเริ่มล่าสัตว์ได้เก่งกาจขึ้นจนไม่มีอาหารเหลือมาถึงเดบีเรียน แต่มันก็มิได้นึกเสียใจภายหลัง


จนกระทั่งเดบีเรียนต้องเสียชีวิตตามลำพังเนื่องจากสัตว์ป่าบนภูเขาสูญพันธุ์


สำหรับเหล่ามังก์ เทพคือตัวตนเช่นนั้น


บุคคลที่มีค่าพอให้ศึกษาแม้ในบางแง่มุมจะทำตัวสิ้นคิด


และนั่นก็เป็นเหตุผลให้พวกมันยิ่งเคารพทวยเทพตนอื่น


มังก์มิได้ปฏิเสธตัวตนของเทพแห่งสามโบสถ์หลักและเทพยาธาน


พวกมันมิได้ดูแคลนกริดเพียงเพราะเคยเป็นมนุษย์ ไม่ปฏิเสธกริดเพียงเพราะมิได้ไร้เทียมทาน และไม่ตำหนิติเตียนกริดเพียงเพราะการกระทำในบางเรื่อง


พวกมันยอมรับให้กริดเป็นเทพโดยไม่คิดหาเหตุผลมาหักล้าง


“ฮะฮะ… ฉันคิดว่าเดบีเรียนคงชักนำพวกเรามาหาเทพโอเวอร์เกียร์ มิใช่ราชาแห่งขุนเขา”


มังก์ชราหน้าตาเป็นมิตรกล่าว และเนื่องจากถูกแขวนห้อยหัวเป็นเวลานานจนเลือดไหลมาคั่งบนหน้า แก้มของมันจึงบวมเป่งเวลายิ้ม


ชายคนนี้มองโลกในแง่บวก


เนื่องจากเคร่งครัดในศาสนา มันจึงไม่สั่นไหวกับบททดสอบเพียงเล็กน้อยที่ชีวิตต้องเผชิญ การพยายามเอาชนะอุปสรรคต่างหากจึงจะเป็นการฝึกตนที่แท้จริง


แน่นอนว่าแนวคิดเช่นนี้มีแค่ใน NPC


ผู้เล่นอย่างเม็ตมีกรอบความคิดที่ธรรมดาสุดขีด มันพยายามหมุนบิดร่างกายและกล่าวกับพวกพ้อง


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวยิ้มนะ พวกเราต้องฉวยโอกาสหลบหนีให้สำเร็จ”


“ฮุฮุ… การตัดเชือกไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะอุปกรณ์ของพวกเราถูกแย่งชิงไปหมดแล้ว”


“ฮะฮะ… นั่นสินะ ฉันควรฝึกฝนกล้ามท้องให้มากกว่านี้จะได้มีแรงเกร็ง”


พวกมันรีบเกร็งท้องเพื่อยกตัวขึ้นไปกัดเชือกที่ข้อเท้า จากนั้นก็กลับมาอยู่ในท่าเดิมเพื่อพักเหนื่อย


ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลานาน


ท่าทีของพวกมันดูผ่อนคลายไม่เข้ากับสถานการณ์ที่บีบคั้น


ทุกคนยิ้มอย่างร่าเริงด้วยใบหน้าท่วมเหงื่อ มีเพียงเม็ตที่กระวนกระวายกว่าใครเพื่อน


‘เราเลือกคลาสผิดสินะ’


มันคิดเช่นนี้มาสักพักแล้ว


มันต้องผ่านวิกฤติและความตายมากี่ครั้งกว่าจะบรรลุภารกิจบำเพ็ญตนของคลาส?


ยิ่งเมื่อทำกิจกรรมรวมกลุ่มกับมังก์ด้วยกัน โอกาสรอดชีวิตก็ยิ่งถดถอย


หงับ!


เม็ตทำแบบเดียวกับทุกคนแม้จะรำพันตัดพ้อในใจ


มันเกร็งท้องและยืดตัวขึ้นไปกัดเชือกที่ผูกข้อเท้า


ต้องยอมรับสภาพว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ


เม็ตมิได้สนิทพอที่จะขอความช่วยเหลือจากกริด


“คิดว่าต้องทำแบบนี้อีกนานแค่ไหนกว่าจะหลุดออกมาได้?”


“…!”


เม็ตพลันตื่นตระหนก


กริดเดินเข้ามาใกล้มันพร้อมกับตั้งคำถามพลางเอียงคอ สีหน้าของอีกฝ่ายเป็นไปอย่างเคร่งขรึมขณะจ้องมองเชือก


ผ่านมาแล้วเจ็ดปี


กริดที่เม็ตเคยพบในงานแข่งซาทิสฟายนานาชาติครั้งที่หนึ่งแตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง


“ใช้ทักษะไม่ได้เลยหรือ?”


บาเรียของเกรเนียร์ผนึกเฉพาะเวทมนตร์


คำถามคือทำไมพวกนายถึงไม่ใช้ทักษะทำลายเชือก?


เม็ตผู้กำลังหน้าแดงตอบเสียงแผ่วเบา


“มังก์… มีทักษะให้ใช้… ไม่มาก”


“คงเน้นไปที่การเสริมพลังสินะ… ช่างเถอะ ดื่มนี่ก่อน”


กริดยื่นโพชั่นให้เม็ต


ชายหนุ่มเล็งเห็นว่าพลังชีวิตของเม็ตลดลงอย่างต่อเนื่อง


“ทำไมกัน…?”


“ฉันมั่นใจว่านายกำลังจะตายในอีกไม่ช้า”


“ไม่ใช่… คุณช่วยผมทำไม?”


“การช่วยเหลือซึ่งกันและกันคือสามัญสำนึกของมนุษย์ไม่ใช่หรือ”


“…”


ซาทิสฟายคือโลกที่สังคมเต็มไปด้วยการแข่งขัน


โดยเฉพาะเหล่าไฮแรงเกอร์ บางคนถึงกับมองพวกพ้องเป็นคู่แข่ง


แม้จะเป็นเรื่องปรกติที่ผู้เล่นมักหยิบยื่นความช่วยเหลือระดับสามัญสำนึกให้ NPC แต่สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อยนักกับผู้เล่นด้วยกัน


“…ขอบคุณ”


เม็ตครุ่นคิดสักพักก่อนจะเปิดปากแสดงมารยาท จากนั้นก็บรรจงดื่มโพชั่นที่กริดยื่นให้


กริดจ้องเชือก


‘เหนียวและแข็งมาก’


เชือกเกลียวเยื่อไม้เหล่านี้มีผิวแข็งดุจดังโลหะ แถมยังดูเหมือนถูกเคลือบด้วยพลังบางอย่าง การทำลายด้วยวิธีการปรกติแทบจะเป็นไปไม่ได้


“ผมทราบดี การกัดพวกมันด้วยฟันเปล่าคือเรื่องที่โง่เขลา… เชือกเหล่านี้น่าจะฉาบด้วยผนึกพิเศษ… คงมีเพียงคนทรงที่สร้างเชือกขึ้นมาเท่านั้นจึงจะปลดผนึกได้…?”


ดวงตาเม็ตพลันเบิกกว้างขณะพยายามอธิบาย


นั่นเพราะกริดตัดเชือกขาดอย่างง่ายดายด้วยการเหวี่ยงดาบเพียงครั้งเดียว


เม็ตพลิกตัวได้ทันก่อนที่ศีรษะจะกระแทกพื้น จากนั้นก็มองตรงไปด้วยสายตาว่างเปล่า


ขณะเดียวกัน กริดที่ช่วยปลดเชือกให้มังก์ที่เหลือจนครบเริ่มขมวดคิ้วหลังจากตรวจสอบสถานะของทุกคน


“พวกนายใช้หวนกลับต้นกำเนิด?”


“อะ…?”


เหล่ามังก์ล้วนขึ้นชื่อด้านพละกำลัง แต่อ่อนแอด้านการป้องกัน


นั่นเพราะทักษะส่วนใหญ่ต้องจ่ายด้วยราคาแพง


ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ‘หวนกลับต้นกำเนิด’ แม้ทักษะนี้จะช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตจนเต็มหลอดและรักษาบาดแผลในพริบตา แต่ค่าพลังชีวิตก็จะลดลงเรื่อยๆ จนกว่าจะตาย


[เทพโอเวอร์เกียร์กริดมอบ <โพชั่นฟื้นฟูระดับสูงสุด> ให้ท่าน 100 ขวด]


เมื่อก้าวไปถึงระดับเทวตำนาน ทุกคนจะถูกเลื่อนสถานะเป็นเทพทันที มิใช่ผู้เล่นธรรมดาอีกต่อไป


เม็ตซึ่งได้ตระหนักข้อเท็จจริงใหม่เผยสีหน้างุนงง


“พวกนี้คืออะไร…”


“ฉันได้ยินว่าถ้าอยู่บนภูเขา พวกมังก์สามารถสวดวิงวอนถึงเดบีเรียนได้… ดื่มมันจนกว่าเดบีเรียนจะตอบสนอง… โพชั่นพวกนี้คือผลผลิตพิเศษจากโรงแปรธาตุเรย์ดัน ประสิทธิภาพของพวกมันมีเพียงพอ”


“ทำไมคุณถึงต้องช่วยเราขนาดนี้?”


ไม่มีใครไม่รู้จักโพชั่นรุ่นพิเศษที่ผลิตจากเรย์ดัน เม็ตเองก็เช่นกัน


ทว่านั่นไม่ใช่ประเด็น


หากตัดความปรารถนาดีออกไป เม็ตมองไม่เห็นเหตุผลที่กริดต้องช่วยเหลือตน


กริดยักไหล่


“นายแข็งแกร่ง… คะแนนผลงานสงครามก็สูงถึงอันดับท็อปห้าร้อย… และเนื่องจากไม่มีฝักฝ่ายหรือองค์กร สิ่งที่นายทำคงเป็นการตระเวนช่วยผู้คนไปเรื่อยๆ ทั่วทั้งทวีป… ระหว่างทางคงมีคนมากมายได้รับความช่วยเหลือจากนาย… เหมือนกับฉัน”


“…”


“ถ้านายลำบากใจก็หาทางชดใช้ในภายหลัง”


“…อา แน่นอนเลย”


กริดยิ้มมุมปาก


มันดีใจที่เห็นเม็ตมีสีหน้ามุ่งมั่น


กริดเชื่อว่าสงครามกับกองทัพอสูรในอนาคต คงเป็นการดีกว่าถ้าจะมีบุคคลแข็งแกร่งคอยสนับสนุนเพิ่มอีกสักหนึ่งคน


มันอ้าแขนรับพันธมิตรที่เข้มแข็งเสมอ


‘จบแล้วหรือ’


บรรยากาศกำลังเงียบสงัด


เมื่อหันกลับไปมอง เม็ตเห็นชนเผ่าหลายสิบคนนอนหมดสติในสภาพน้ำลายฟูมปาก


ใบหน้าของสตรีผู้สวมกะโหลกสัตว์ประหลาดถูกเผยอย่างชัดเจนพร้อมกับชื่อสีทองเหนือศีรษะ


เม็ตพลันตกตะลึง


‘ลำพังแค่ร่างโคลนสามารถเก็บกวาดพวกคนเถื่อนได้ภายในไม่กี่นาที…?’


แรนดี้คือตัวช่วยข้างกายกริดมานาน


ผู้เล่นส่วนใหญ่ทราบว่าแรนดี้คือร่างโคลน


และสัตว์อัญเชิญเหล่านี้มักมีจุดอ่อนใหญ่หลวงก็คือ ยิ่งเวลาผ่านไปจะยิ่งอ่อนแอลง


แต่แรนดี้กลับดูเหมือนไม่มีขีดจำกัดนั้น


ชนเผ่าจำนวนมากที่แข็งแกร่งพอจะสยบเม็ตและพรรคพวก กลับถูกร่างโคลนเพียงตัวเดียวกำราบอย่างง่ายดาย


จริงอยู่ที่เม็ตยอมจำนนเพราะพวกพ้องของตนเสียท่าทั้งหมด


แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแรนดี้แข็งแกร่งกว่าตนมาก เม็ตทราบความจริงข้อนี้เป็นอย่างดี


“โอ้… เทพโอเวอร์เกียร์ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ … ท่านแข็งแกร่งสมคำร่ำลือ”


“ขอบคุณที่ทำให้ฉันบรรลุ”


เหล่ามังก์ที่ถูกช่วยเหลือต่างเดินมารุมล้อมแรนดี้และพูดอย่างสุภาพ


ถูกต้อง เป็นกริดร่างแรนดี้ มิใช่กริดร่างหลัก


ไม่แปลกที่จะคิดเช่นนั้น


เพราะแรนดี้เป็นผู้ลงมือเกือบทั้งหมด


‘ให้ตายสิ…’


นี่เป็นความอับอายที่เม็ตต้องแบกรับแทนพวกพ้อง


มันถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหัวให้กริด


“ขอบคุณที่ช่วยเหลือ นี่คือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ได้โปรดรับไว้ด้วย… ผมไม่ได้คิดจะตอบแทนบุญคุณด้วยสิ่งนี้ ไว้จะหาโอกาสชดใช้อย่างเหมาะสมในอนาคต”


[ผู้เล่น ‘เม็ต’ มอบ <คำสอนของเทพแห่งการล่า>]


กริดพลันผงะ

______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00