จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,533
วิญญาณไร้ผู้สืบทอด, สายลมแห่งมหาพงไพร, ราชาขุนเขาแห่งเกรเนียร์
พวกมันล้วนรู้จักกันในนามผู้ช่วงชิงเทวตำนาน หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘นักล่า’
[ฮัคเซ่นยืนยันการมีตัวตนของพวกเขา แถมยังระบุว่าหากปราศจากพวกเขา เทพมนุษย์นับหมื่นองค์คงสร้างความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง]
[ซีดานและไฟโวล์ฟเห็นด้วย]
ธรรมชาติของมนุษย์คือการสร้างและกราบไหว้รูปเคารพ
เป็นเพราะมนุษย์นั้นอ่อนแอ
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เทพมนุษย์มีจำนวนล้นเกลื่อน
และยังเป็นเหตุผลที่กริดมีอิทธิพลไม่มากนักแม้จะกลายเป็นเทพ
เทพที่มีตัวตนอยู่ก่อนมักดูแคลนเทพที่เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คน
[ฮัคเซ่นวิเคราะห์ว่ายิ่งอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรือง ศรัทธาอย่างแรงกล้าของมนุษย์จึงเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งมนุษย์เพิ่มพูนเชาวน์ปัญญา ความปรารถนาก็ยิ่งหลากหลายกว่าสมัยอดีต ส่งผลให้เป้าหมายของความศรัทธามีจำนวนมาก]
“หืม…”
กริดไม่เห็นด้วยสักเท่าไร
นั่นเพราะมันเคยโลดแล่นอยู่บนทวีปตะวันออก
ยังบันหวาดระแวงเทพเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเทพที่เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของมนุษย์ ถึงขั้นเกิดเป็นความริษยา
แต่แน่นอน ความรู้สึกดังกล่าวอาจเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อตระหนักว่าพวกตนเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ไต่เต้าไปเป็นเทพ
อย่างไรก็ดี กริดทราบข้อเท็จจริงหนึ่ง
เทพสงครามซือโหยวถือกำเนิดจากศรัทธาอย่างแรงกล้าของมนุษย์
‘คงถูกบิดเบือนมาหลายทอด…’
เทพมนุษย์มีจำนวนล้นเกลื่อน…
กริดเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาหลายครั้ง
แต่นั่นคือความจริงแน่หรือ?
กริดไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ก้าวมาอยู่ในระดับเดียวกับตนมาก่อน
เมื่อกล่าวถึงเทพมนุษย์ ภาพจำแรกคือเทพท้องถิ่นไม่กี่ตนที่บรรดาคลาส ‘มังก์’ เคารพนับถือ
ทุกตนเป็นเทพที่ดูแลขอบเขตจำกัด เฉกเช่นสี่ผู้พิทักษ์แห่งตะวันออก
แต่การจะเรียกเทพเหล่านั้นว่าต่ำต้อยและสามัญ…
ชายหนุ่มสงสัยว่ามีใครบางคนต้องการสร้างอคติและบ่อนทำลายคุณค่าของเทพมนุษย์
“ว่าแต่ซีดาน นายก็ยืนยันการมีอยู่ของผู้ช่วงชิงเทวตำนานด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่านายถูกฆ่าตายโดยฝีมือราชาขุนเขาหรือไง?”
[ซีดานสารภาพว่าเขาตายเพราะตัวเอง เป็นเขาที่เริ่มบุกรุกอาณาจักรของราชาขุนเขาก่อน]
“…”
ใบหน้ากริดผงะไปชั่วขณะเนื่องจากความเครียด
มันสังเกตเห็นสัจธรรมข้อหนึ่ง
ผู้ช่วงชิงเทวตำนานมีพลังอำนาจสูงกว่าที่ตนคิดไว้
‘เป็นระดับที่สามารถมอบความตายให้กับตำนาน…’
อาจทัดเทียมกับเทพได้เลยมิใช่หรือ?
ถ้าลองไตร่ตรองให้รอบคอบจะพบว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวตนเหล่านั้นอยู่ในระดับเดียวกับเทพ
เหล่าผู้ช่วงชิงเทวตำนานมีตัวตนมาตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของเผ่าพันธุ์คนยักษ์
หมายความว่าอายุของพวกมันมิใช่แค่หลักร้อยปี หากแต่เป็นหลักพัน
คงเป็นการยากที่จะคาดเดาระดับตัวตนของสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนยาว
ไม่ต้องมองที่ไหนไกล ลำพังการที่แอสการ์ดและนรกไม่กล้ายุ่งกับผู้ช่วงชิงเทวตำนานคือข้อพิสูจน์
จากบรรดาประตูมิติทั้งหมดที่กองทัพอสูรใช้รุกรานโลกกึ่งกลาง ไม่มีแม้แต่บานเดียวปรากฏในดินแดนของผู้ช่วงชิงเทวตำนาน
‘ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะท้าทาย?’
เคยมีช่วงเวลาที่กริดคิดว่าตนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว
และมีหลายครั้งที่ชายหนุ่มลำพองตนเพราะเชื่อมั่นใจทักษะของตัวเองมากเกินไป
แต่ช่วงเวลาดังกล่าวก็เหมือนกับการป่วยระยะสั้น
กริดในปัจจุบันตระหนักถึงจุดยืนของตัวเองได้ชัดเจน
หรืออย่างน้อยก็รู้ตัวว่าตนมิได้ไร้เทียมทาน
บาเอล ไลฟาเอล มีร์ เซราทุล มังกร มหาเทพต้นกำเนิด ซือโหยว และอีกมากมาย
มีตัวตนมากมายที่ยังแข็งแกร่งกว่ากริดในปัจจุบัน
‘อีกนานไหมกว่าที่เราจะไร้เทียมทาน?’
กริดอาจไม่รู้ตัวว่าคำถามเมื่อครู่เปี่ยมไปด้วยความโอหัง แต่มันก็คู่ควรกับความโอหังนั้นแล้ว
‘ยังไงก็ย้อนกลับไปไม่ได้หลังจากเดินทางมาไกลขนาดนี้…’
กริดคอยเฝ้าจับตามองความสำเร็จของคริส
อสูรหลายสิบหรืออาจหลายร้อยตัวจะถูกทำลายทุกครั้งที่คริสเหวี่ยงดาบ
ทั้งที่คริสมีทักษะการโจมตีเพียงดาบสิบชั่ง ดาบร้อยชั่ง ดาบพันชั่ง คงต้องยอมรับว่าคริสสามารถดึงศักยภาพของคลาสรอง ‘ทรราช’ ออกมาได้ถึงขีดสุด
จะเกิดอะไรขึ้นหากชายคนนี้กลายเป็นตำนาน?
คงพึ่งพาได้มากแน่…
หลังจากกลายเป็นคลาสระดับเทวตำนานและหมดสิทธิ์ครอบครองคลาสรอง กริดหันเหเป้าหมายเป็นการพัฒนาพวกพ้องแทนตัวเอง แม้ในปัจจุบันทุกคนจะแข็งแกร่งและพึ่งพาได้มาก แต่กริดต้องการมากกว่านี้
ชายหนุ่มสงบจิตใจท่ามกลางลมพายุโหมกระหน่ำ จากนั้นก็แหงนหน้ามองภูเขาที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ
เกรเนียร์
เป็นภูเขาหินรูปร่างคล้ายหมียืนสองขา
แม้เขตป่าสีเขียวจะค่อนข้างเบาบางและโปร่งโล่ง แต่กลับยากที่จะกะเกณฑ์ถึงโครงสร้างที่แท้จริงของภูเขา
ประหนึ่งข้อมูลที่ส่งเข้ามาในดวงตาถูกบิดเบือน
“ถึงจะดูใหญ่เมื่อมองจากระยะไกล… แต่มันก็ดูธรรมดา”
สิ่งทำให้ภูเขาดูธรรมดาไม่ใช่ทัศนียภาพของหน้าผาสูงชัน
แต่เพราะมันเป็นภูเขาเดี่ยวที่ปราศจากแนวเทือกเขา
เป็นภูเขาลูกเดียวท่ามกลางดินแดนอันรกร้าง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะดูธรรมดาไร้พิษสง
[ไฟโวล์ฟเริ่มหวาดระแวง เขาแนะนำให้ท่านไม่ประมาทภูเขาลูกนี้เนื่องจากเคยมีเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เสียชีวิตไปมากมายระหว่างการสำรวจ]
[ฮัคเซ่นสัมผัสถึงกลิ่นอายของม่านบาเรียขั้นสูง มิใช่บาเรียที่สร้างจากพลังเวทหรือเทคนิคพิเศษ แต่มีความใกล้เคียงกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ]
[ซีดานเตือนท่านว่าอย่าถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเอาเด็ดขาด เขาเน้นย้ำว่าตนเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว ภูเขาลูกนี้ใหญ่กว่าที่ตาเห็นหลายเท่าแถมด้านในยังซับซ้อนประหนึ่งเขาวงกต]
อันที่จริง คำเตือนเหล่านี้ไม่มีความจำเป็น
กริดตระหนักได้ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมากเพียงใด
ในซาทิสฟาย มันมักถูกเรียกว่าหนึ่งในเก้าหรือสิบสิ่งมหัศจรรย์และเป็นแดนนรกซึ่งคร่าชีวิตไปมหาศาล
มีบทความมากมายเกี่ยวกับภูเขาลูกนี้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งตัวเองถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกลวงจนพยายามปีนและเผชิญกับผลลัพธ์เลวร้ายสุดขีด
แต่เนื่องจากมีแค่ไม่กี่คนที่เคยมาเหยียบที่นี่ เรื่องเล่าเหล่านั้นจึงเป็นได้เพียงตำนานเมืองหรือเรื่องเล่าผี
‘ไม่น่าแปลกใจที่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องเล่าผี’
เนื่องจากเป็นเขตต้องห้ามพิเศษ ผู้เล่นจึงไม่สามารถบันทึกภาพนิ่งหรือวิดีโอได้ที่นี่
คนที่เคยมาเยือนหมดสิทธิ์แสดงหลักฐานให้คนอื่นเชื่อคำพูดของตน
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแผนที่ ‘ต้นฉบับ’ ของสกังค์ซึ่งแจกจ่ายเฉพาะขุนพลโอเวอร์เกียร์นั้นยอดเยี่ยมเพียงใด
แผนที่ฝีมือสกังค์มีการอธิบายถึงถนนและเส้นทางมายังที่นี่โดยละเอียด
มีเพียงโครงสร้างภายในภูเขาที่ยังถูกแสดงด้วยเครื่องหมายคำถาม
ตามคำบอกเล่าของสกังค์ โครงสร้างของภูเขาจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เข้า
‘ทีมสำรวจต้องล้มเลิกกลางคันเพราะเขาตายไปหลายครั้งโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา’
คราวหน้าฉันจะช่วยนำทางให้เอง
หน้าต่างข้อความระบบแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องขณะชายหนุ่มเดินพลางครุ่นคิด
[ซีดานกำลังสั่นกลัว]
[ไฟโวล์ฟอยากให้คุณทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง]
[ฮัคเซ่นเตือนท่านว่ากระแสมานากำลังหยุดไหล]
“ไม่ต้องกังวล ผมจะหนีทันทีที่สัมผัสถึงอันตราย”
[ท่านเข้าสู่เขตต้องห้าม ‘เกรเนียร์’]
[มานาหยุดฟื้นฟูตามธรรมชาติ เวทมนตร์ทุกชนิดทุกผนึก ไม่เว้นแม้แต่เวทมนตร์ที่สลักลงบนม้วนคาถาและไอเท็ม]
[คาถาพากลับไม่สามารถใช้การได้]
[ฮัคเซ่นและไฟโวล์ฟต่างถอนหายใจ]
[ซีดานหัวเสียและกำลังจินตนาการถึงจุดจบ]
“…”
กริดคาดไว้แล้วว่าเวทมนตร์คงโดนผนึก
เพราะฮัคเซ่นเตือนว่ากระแสมานาจะหยุดไหล
แต่มันคาดไม่ถึงว่าการใช้ ‘คาถาพากลับ’ จะกลายเป็นหมันไปด้วยเนื่องจากถูกจำแนกให้เป็นเวทมนตร์
‘ยังไม่แย่นัก’
กริดพยายามข่มใจระงับความกระสับกระส่าย
มันยังพอมีตัวเลือกสำหรับทดแทนคาถาพากลับ
[ทักษะ ‘พากลับฉุกเฉิน’ จะเปิดให้ใช้งานเมื่อเข้าสู่สถานะอมตะ ท่านจะถูกส่งกลับวิหารของตัวเองที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนใจห้วงมิติหรือระยะทาง แต่ต้องใช้งานภายในเจ็ดวินาทีหลังจากทักษะเปิดใช้งาน เมื่อครบเจ็ดวินาทีปุ่มกดจะหายไป]
‘เจ้านี่คงไม่ถูกผนึกไปด้วยใช่ไหม?’
ความตายของเทพถือเป็นเรื่องร้ายแรง
มีแนวโน้มสูงว่าระดับตัวตนจะลดลง
และยิ่งถ้าศัตรูคือนักล่าเทวตำนาน
เราห้ามตายโดยเด็ดขาด…
กริดที่พยายามสลัดความกังวลมีอันต้องขมวดคิ้ว โทสะพลุ่งพล่านภายในใจทันที
“บ้าจริง! ซีดาน นายเคยเข้ามาแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่เตือนฉันว่ามีอันตรายแบบใดรออยู่?”
[ซีดานอธิบายว่าความทรงจำของเขาเลือนรางเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน แถมยังเป็นช่วงก่อนที่เขาจะตายได้ไม่นาน เขากำลังหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ]
[ฮัคเซ่นและไฟโวล์ฟต่างตั้งคำถามเกี่ยวกับนิสัยของคุณ]
“…”
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเผลอทะเลาะกับคน (?) ที่ตายไปนานแล้ว?
ผลลัพธ์จะลงเอยด้วยการ ‘ลบหลู่คนตาย’ เพียงอย่างเดียว
กริดที่ตระหนักได้ตัดสินใจปิดปากเงียบและเดินตรงไป
เรื่องดีก็คือซีดานค่อยๆ ฟื้นฟูความทรงจำเก่ากลับคืน
คำแนะนำที่บอกให้เดินไปทางที่มีกิ่งสนเจริญเติบโต ช่วยให้กริดแหวกผ่านเขาวงกตได้ง่ายขึ้นมาก
***
หากมีใครสักคนเที่ยวรอบโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เกิดไปจนตาย
บุคคลดังกล่าวจะถือว่าได้ย่ำเท้าไปทุกที่บนโลกไหม?
ไม่มีทาง
ต่อให้โชคดีได้เดินทางไปทุกประเทศ แต่ก็ไม่มีทางได้สำรวจทุกตรอกซอกซอยจนครบ
ซาทิสฟายประกาศตัวว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าโลกหลายเท่า
การสำรวจให้ครบทุกที่คือเรื่องยากมากเว้นเสียแต่จะมีทักษะช่วยสนับสนุน
และแม้จะมีทักษะช่วย แต่ก็ใช่ว่าจะไปได้ครบทุกหนแห่ง
หนึ่งในนั้นคือเกรเนียร์
ผิดจากรูปลักษณ์ภายนอก ด้านในเกรเนียร์ซึ่งค่อนข้างกว้างใหญ่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายจนกลายเป็นสังคม
สังคมที่ว่าคือชนเผ่าซึ่งดำรงตนมานานหลายร้อยปี
สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีร่วมกันคือพวกมันรับใช้ราชาขุนเขาที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น
สำหรับพวกมัน ราชาขุนเขาคือเทพเพียงองค์เดียวและผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง
แม้เกรเนียร์จะมีพื้นที่กว้างขวางเหนือความคาดหมาย แต่พวกมันก็ยังเปรียบดังคางคงในบ่อ
ชนพื้นเมืองของเกรเนียร์ไม่มีทางหยั่งถึงความกว้างใหญ่ของโลกภายนอก
พวกมันเป็นมนุษย์ล้าหลังที่เชื่อมั่นใจกฎเหล็กป่าเถื่อนอย่างแรงกล้า นี่คือผลพวงจากการขาดอารยธรรมและความรู้
‘และเราก็เป็นไอ้งั่งที่ถูกพวกมันจับตัวมา…’
ผู้เล่นนามว่า ‘เม็ต’ ไม่อยากเชื่อในสถานการณ์ของตัวเอง
ดินแดนทุรกันดารที่มันหลงเข้ามาโดยบังเอิญขณะธุดงค์ในฐานะมังก์ผู้รับใช้เทพเดบีเรียน
จิตใจของมันสั่นสะท้านทันทีที่ได้เห็นภูเขาสูงตระหง่าน
ฉากดังกล่าวดูราวกับหมียักษ์กำลังยืนค้ำฟ้า มันรู้โดยสัญชาตญาณว่าตนหลงมาถึงหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของซาทิสฟาย
เม็ตมองว่าสิ่งนี้คือโชคชะตา เป็นลางบอกเหตุของภารกิจลับแสนหายาก มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่าเทพเดบีเรียนคือผู้ชักนำให้ตนได้พบกับภูเขาเกรเนียร์
มันต้องการพบราชาขุนเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามสงครามปกคลุมไปทั่วโลกเช่นนี้
การที่เม็ตและมังก์คนอื่นต้องออกธุดงค์ เหตุผลสำคัญคือมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
พวกมันได้รับวิวรณ์ให้เดินทางไปทั่วทวีปเพื่อกำจัดอสูรร้าย ขณะเดียวกันก็คอยช่วยเหลือผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน
ในสถานการณ์ดังกล่าว เม็ตพบโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ราชาขุนเขา
มันมั่นใจว่าราชาขุนเขาจะต้องยื่นมือช่วยเหลืออย่างแน่นอน
นั่นคือสาเหตุที่เม็ตลองปีนเขาเกรเนียร์
มันเริ่มต้นได้สวย
เม็ตเคยก้าวไปถึงอันดับสามสิบสามในการกระดานอันดับแบบรวมทุกคลาส
แม้กระทั่งปัจจุบันมันก็ยังอยู่ในอันดับท็อปหนึ่งร้อย
เม็ตมีฝีมืออย่างไร้ข้อกังขา
นอกจากนั้นมันยังเดินทางมาพร้อมมังก์อีกจำนวนหนึ่ง
พวกมันฝ่าฟันกับดักมากมายบนเขาวงกตจนกระทั่งปืนมาถึงเขตใจกลาง
บางทีนี่อาจเป็นความสำเร็จครั้งแรกของผู้เล่น
หัวใจเม็ตทวีความตื่นเต้นจนกระทั่งถูกชาวเขาจับตัว
‘คุยกับพวกมันไม่รู้เรื่อง…’
เม็ตมั่นใจเพราะมันเคยทดสอบแล้ว
เกรเนียร์ตัดขาดจากโลกภายนอก สำหรับมนุษย์ที่นี่ โลกทั้งใบมีเพียงเกรเนียร์
พวกมันย่อมไม่ทราบว่าโลกภายนอกกำลังทำสงครามกับกองทัพอสูร และไม่ทราบว่าสักวันภัยอันตรายจะมาเยือน จึงไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ
“ไอ้พวกผีร้าย! รีบเผยร่างจริงเร็วเข้า!”
กลุ่มชาวเขากำลังรายล้อมเม็ตและพรรคพวกที่ถูกมัดเชือกในสภาพห้อยหัว
พวกมันแช่เหล็กหนาลงในกองไฟ เสียงมีดเล่มเล็กบางถูกลับกับหินหยาบดังกังวานจนน่าขนลุก
“พวกผีร้ายจากนอกภูเขามีหน้าตาเหมือนเราได้ยังไง? สงสัยต้องถลกหนังออกมาจึงจะเห็นใบหน้าที่แท้จริง”
ชาวเขาที่แต่งกายด้วยหนังมอนสเตอร์ พวกมันไม่ใช่แค่ขู่ แต่กำลังเตรียมถลกหนังเม็ตและพรรคพวกจริงๆ
สตรีผู้ปลุกระดมชาวเขากำลังแผ่บรรยากาศดุร้ายรอบตัว กะโหลกยักษ์ที่ปกคลุมใบหน้าของเธอในลักษณะหมวก คล้ายกำลังบ่งบอกถึงอนาคตของกลุ่มเม็ต
“ต้องบอกอีกกี่ครั้งถึงจะเชื่อ? พวกเราเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกคุณ ด้านนอกภูเขาเกรเนียร์มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย…”
เม็ตที่กำลังอธิบายพลันดวงตาเบิกกว้าง มันพยายามกลืนเสียงกรีดร้องลงคอ เนื่องจากกริชที่เสียบเข้าช่องท้องได้พรากค่าพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
‘พลังโจมตีอะไรกัน…’
เจ้าพวกนี้เป็น NPC ระดับพิเศษสุดยอดหรือไง?
เม็ตรีบใช้พลัง ‘หวนกลับต้นกำเนิด’ ตามสัญชาตญาณ
หนึ่งในทักษะท่าไม้ตายของมังก์
มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหากหวังจะมีชีวิตรอด
[พลังชีวิตของท่านกลับไปเป็นค่าสูงสุด]
[ร่างกายที่เสียหายถูกฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ]
[พลังชีวิตของท่านจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนกว่าพลังชีวิตจะถึงค่าต่ำสุด]
“เวทมนตร์ชะลอความตาย… พวกมันเป็นผีร้ายอย่างที่คิด”
เสียงของสตรีคนดังกล่าวเริ่มเย็นเยียบ เธอส่งสัญญาณบอกให้ชาวเขาที่ลับมีดเดินเข้ามาใกล้กลุ่มของเม็ตเพื่อเตรียมถลกหนังทีละคน
‘บ้าบอสิ้นดี…’
มันถูกจับในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุด
เดิมทีความตายก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่ยังต้องตายด้วยรูปแบบที่สยดสยองที่สุด สิ่งนี้อาจกลายเป็นแผลใจของมันในอนาคต
‘ทำไมเราถึงกล้าปีนภูเขาตั้งแต่แรก…’
มันเป็นเขตต้องห้ามเพราะสมควรเป็น สิ่งมหัศจรรย์ก็ควรถูกทิ้งให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ต่อไป…
เม็ตที่กำลังตัดพ้อและปล่อยวางเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้อง
ชายคนหนึ่งซึ่งไม่มีตัวตนในตอนแรกกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้
ทั้งที่ไม่มีลม แต่เส้นผมของมันกลับปลิวไสว
ชนพื้นเมืองคนหนึ่งใช้สองมือที่ใหญ่ผิดปรกติกุมหน้าตัวเองในท่าหงายหลังสองขาชี้ฟ้า ปากครวญครางด้วยความเจ็บปวด
แสงสีส้มกำลังแผ่ออกจากร่างกายชายปริศนา
ราวกับดวงอาทิตย์กำลังสว่างไสวท่ามกลางยามค่ำคืนบนภูเขาอันหนาวเย็น
“ฉันดูเหมือนอะไร?”
คำถามของชายคนดังกล่าวทำให้บรรยากาศเงียบงันทันที
Comments
Post a Comment