จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,533



วิญญาณไร้ผู้สืบทอด, สายลมแห่งมหาพงไพร, ราชาขุนเขาแห่งเกรเนียร์


พวกมันล้วนรู้จักกันในนามผู้ช่วงชิงเทวตำนาน หรืออีกชื่อหนึ่งคือ ‘นักล่า’


[ฮัคเซ่นยืนยันการมีตัวตนของพวกเขา แถมยังระบุว่าหากปราศจากพวกเขา เทพมนุษย์นับหมื่นองค์คงสร้างความโกลาหลอย่างใหญ่หลวง]


[ซีดานและไฟโวล์ฟเห็นด้วย]


ธรรมชาติของมนุษย์คือการสร้างและกราบไหว้รูปเคารพ


เป็นเพราะมนุษย์นั้นอ่อนแอ


นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เทพมนุษย์มีจำนวนล้นเกลื่อน


และยังเป็นเหตุผลที่กริดมีอิทธิพลไม่มากนักแม้จะกลายเป็นเทพ


เทพที่มีตัวตนอยู่ก่อนมักดูแคลนเทพที่เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของผู้คน


[ฮัคเซ่นวิเคราะห์ว่ายิ่งอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรือง ศรัทธาอย่างแรงกล้าของมนุษย์จึงเกิดขึ้นได้ง่าย ยิ่งมนุษย์เพิ่มพูนเชาวน์ปัญญา ความปรารถนาก็ยิ่งหลากหลายกว่าสมัยอดีต ส่งผลให้เป้าหมายของความศรัทธามีจำนวนมาก]


“หืม…”


กริดไม่เห็นด้วยสักเท่าไร


นั่นเพราะมันเคยโลดแล่นอยู่บนทวีปตะวันออก


ยังบันหวาดระแวงเทพเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเทพที่เกิดจากศรัทธาอันแรงกล้าของมนุษย์ ถึงขั้นเกิดเป็นความริษยา


แต่แน่นอน ความรู้สึกดังกล่าวอาจเกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อตระหนักว่าพวกตนเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ไต่เต้าไปเป็นเทพ


อย่างไรก็ดี กริดทราบข้อเท็จจริงหนึ่ง


เทพสงครามซือโหยวถือกำเนิดจากศรัทธาอย่างแรงกล้าของมนุษย์


‘คงถูกบิดเบือนมาหลายทอด…’


เทพมนุษย์มีจำนวนล้นเกลื่อน…


กริดเคยได้ยินเรื่องทำนองนี้มาหลายครั้ง


แต่นั่นคือความจริงแน่หรือ?


กริดไม่เคยเห็นมนุษย์ที่ก้าวมาอยู่ในระดับเดียวกับตนมาก่อน


เมื่อกล่าวถึงเทพมนุษย์ ภาพจำแรกคือเทพท้องถิ่นไม่กี่ตนที่บรรดาคลาส ‘มังก์’ เคารพนับถือ


ทุกตนเป็นเทพที่ดูแลขอบเขตจำกัด เฉกเช่นสี่ผู้พิทักษ์แห่งตะวันออก


แต่การจะเรียกเทพเหล่านั้นว่าต่ำต้อยและสามัญ…


ชายหนุ่มสงสัยว่ามีใครบางคนต้องการสร้างอคติและบ่อนทำลายคุณค่าของเทพมนุษย์


“ว่าแต่ซีดาน นายก็ยืนยันการมีอยู่ของผู้ช่วงชิงเทวตำนานด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่านายถูกฆ่าตายโดยฝีมือราชาขุนเขาหรือไง?”


[ซีดานสารภาพว่าเขาตายเพราะตัวเอง เป็นเขาที่เริ่มบุกรุกอาณาจักรของราชาขุนเขาก่อน]


“…”


ใบหน้ากริดผงะไปชั่วขณะเนื่องจากความเครียด


มันสังเกตเห็นสัจธรรมข้อหนึ่ง


ผู้ช่วงชิงเทวตำนานมีพลังอำนาจสูงกว่าที่ตนคิดไว้


‘เป็นระดับที่สามารถมอบความตายให้กับตำนาน…’


อาจทัดเทียมกับเทพได้เลยมิใช่หรือ?


ถ้าลองไตร่ตรองให้รอบคอบจะพบว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวตนเหล่านั้นอยู่ในระดับเดียวกับเทพ


เหล่าผู้ช่วงชิงเทวตำนานมีตัวตนมาตั้งแต่ก่อนการล่มสลายของเผ่าพันธุ์คนยักษ์


หมายความว่าอายุของพวกมันมิใช่แค่หลักร้อยปี หากแต่เป็นหลักพัน


คงเป็นการยากที่จะคาดเดาระดับตัวตนของสิ่งมีชีวิตที่อายุยืนยาว


ไม่ต้องมองที่ไหนไกล ลำพังการที่แอสการ์ดและนรกไม่กล้ายุ่งกับผู้ช่วงชิงเทวตำนานคือข้อพิสูจน์


จากบรรดาประตูมิติทั้งหมดที่กองทัพอสูรใช้รุกรานโลกกึ่งกลาง ไม่มีแม้แต่บานเดียวปรากฏในดินแดนของผู้ช่วงชิงเทวตำนาน


‘ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะท้าทาย?’


เคยมีช่วงเวลาที่กริดคิดว่าตนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว


และมีหลายครั้งที่ชายหนุ่มลำพองตนเพราะเชื่อมั่นใจทักษะของตัวเองมากเกินไป


แต่ช่วงเวลาดังกล่าวก็เหมือนกับการป่วยระยะสั้น


กริดในปัจจุบันตระหนักถึงจุดยืนของตัวเองได้ชัดเจน


หรืออย่างน้อยก็รู้ตัวว่าตนมิได้ไร้เทียมทาน


บาเอล ไลฟาเอล มีร์ เซราทุล มังกร มหาเทพต้นกำเนิด ซือโหยว และอีกมากมาย


มีตัวตนมากมายที่ยังแข็งแกร่งกว่ากริดในปัจจุบัน


‘อีกนานไหมกว่าที่เราจะไร้เทียมทาน?’


กริดอาจไม่รู้ตัวว่าคำถามเมื่อครู่เปี่ยมไปด้วยความโอหัง แต่มันก็คู่ควรกับความโอหังนั้นแล้ว


‘ยังไงก็ย้อนกลับไปไม่ได้หลังจากเดินทางมาไกลขนาดนี้…’


กริดคอยเฝ้าจับตามองความสำเร็จของคริส


อสูรหลายสิบหรืออาจหลายร้อยตัวจะถูกทำลายทุกครั้งที่คริสเหวี่ยงดาบ


ทั้งที่คริสมีทักษะการโจมตีเพียงดาบสิบชั่ง ดาบร้อยชั่ง ดาบพันชั่ง คงต้องยอมรับว่าคริสสามารถดึงศักยภาพของคลาสรอง ‘ทรราช’ ออกมาได้ถึงขีดสุด


จะเกิดอะไรขึ้นหากชายคนนี้กลายเป็นตำนาน?


คงพึ่งพาได้มากแน่…


หลังจากกลายเป็นคลาสระดับเทวตำนานและหมดสิทธิ์ครอบครองคลาสรอง กริดหันเหเป้าหมายเป็นการพัฒนาพวกพ้องแทนตัวเอง แม้ในปัจจุบันทุกคนจะแข็งแกร่งและพึ่งพาได้มาก แต่กริดต้องการมากกว่านี้


ชายหนุ่มสงบจิตใจท่ามกลางลมพายุโหมกระหน่ำ จากนั้นก็แหงนหน้ามองภูเขาที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ


เกรเนียร์


เป็นภูเขาหินรูปร่างคล้ายหมียืนสองขา


แม้เขตป่าสีเขียวจะค่อนข้างเบาบางและโปร่งโล่ง แต่กลับยากที่จะกะเกณฑ์ถึงโครงสร้างที่แท้จริงของภูเขา


ประหนึ่งข้อมูลที่ส่งเข้ามาในดวงตาถูกบิดเบือน


“ถึงจะดูใหญ่เมื่อมองจากระยะไกล… แต่มันก็ดูธรรมดา”


สิ่งทำให้ภูเขาดูธรรมดาไม่ใช่ทัศนียภาพของหน้าผาสูงชัน


แต่เพราะมันเป็นภูเขาเดี่ยวที่ปราศจากแนวเทือกเขา


เป็นภูเขาลูกเดียวท่ามกลางดินแดนอันรกร้าง


จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะดูธรรมดาไร้พิษสง


[ไฟโวล์ฟเริ่มหวาดระแวง เขาแนะนำให้ท่านไม่ประมาทภูเขาลูกนี้เนื่องจากเคยมีเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เสียชีวิตไปมากมายระหว่างการสำรวจ]


[ฮัคเซ่นสัมผัสถึงกลิ่นอายของม่านบาเรียขั้นสูง มิใช่บาเรียที่สร้างจากพลังเวทหรือเทคนิคพิเศษ แต่มีความใกล้เคียงกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ]


[ซีดานเตือนท่านว่าอย่าถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกเอาเด็ดขาด เขาเน้นย้ำว่าตนเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว ภูเขาลูกนี้ใหญ่กว่าที่ตาเห็นหลายเท่าแถมด้านในยังซับซ้อนประหนึ่งเขาวงกต]


อันที่จริง คำเตือนเหล่านี้ไม่มีความจำเป็น


กริดตระหนักได้ชัดเจนว่าสถานที่แห่งนี้อันตรายมากเพียงใด


ในซาทิสฟาย มันมักถูกเรียกว่าหนึ่งในเก้าหรือสิบสิ่งมหัศจรรย์และเป็นแดนนรกซึ่งคร่าชีวิตไปมหาศาล


มีบทความมากมายเกี่ยวกับภูเขาลูกนี้เล่าถึงประสบการณ์เมื่อครั้งตัวเองถูกรูปลักษณ์ภายนอกหลอกลวงจนพยายามปีนและเผชิญกับผลลัพธ์เลวร้ายสุดขีด


แต่เนื่องจากมีแค่ไม่กี่คนที่เคยมาเหยียบที่นี่ เรื่องเล่าเหล่านั้นจึงเป็นได้เพียงตำนานเมืองหรือเรื่องเล่าผี


‘ไม่น่าแปลกใจที่จะถูกมองว่าเป็นเรื่องเล่าผี’


เนื่องจากเป็นเขตต้องห้ามพิเศษ ผู้เล่นจึงไม่สามารถบันทึกภาพนิ่งหรือวิดีโอได้ที่นี่


คนที่เคยมาเยือนหมดสิทธิ์แสดงหลักฐานให้คนอื่นเชื่อคำพูดของตน


สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแผนที่ ‘ต้นฉบับ’ ของสกังค์ซึ่งแจกจ่ายเฉพาะขุนพลโอเวอร์เกียร์นั้นยอดเยี่ยมเพียงใด


แผนที่ฝีมือสกังค์มีการอธิบายถึงถนนและเส้นทางมายังที่นี่โดยละเอียด


มีเพียงโครงสร้างภายในภูเขาที่ยังถูกแสดงด้วยเครื่องหมายคำถาม


ตามคำบอกเล่าของสกังค์ โครงสร้างของภูเขาจะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่เข้า


‘ทีมสำรวจต้องล้มเลิกกลางคันเพราะเขาตายไปหลายครั้งโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมา’


คราวหน้าฉันจะช่วยนำทางให้เอง


หน้าต่างข้อความระบบแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องขณะชายหนุ่มเดินพลางครุ่นคิด


[ซีดานกำลังสั่นกลัว]


[ไฟโวล์ฟอยากให้คุณทบทวนการตัดสินใจอีกครั้ง]


[ฮัคเซ่นเตือนท่านว่ากระแสมานากำลังหยุดไหล]


“ไม่ต้องกังวล ผมจะหนีทันทีที่สัมผัสถึงอันตราย”


[ท่านเข้าสู่เขตต้องห้าม ‘เกรเนียร์’]


[มานาหยุดฟื้นฟูตามธรรมชาติ เวทมนตร์ทุกชนิดทุกผนึก ไม่เว้นแม้แต่เวทมนตร์ที่สลักลงบนม้วนคาถาและไอเท็ม]


[คาถาพากลับไม่สามารถใช้การได้]


[ฮัคเซ่นและไฟโวล์ฟต่างถอนหายใจ]


[ซีดานหัวเสียและกำลังจินตนาการถึงจุดจบ]


“…”


กริดคาดไว้แล้วว่าเวทมนตร์คงโดนผนึก


เพราะฮัคเซ่นเตือนว่ากระแสมานาจะหยุดไหล


แต่มันคาดไม่ถึงว่าการใช้ ‘คาถาพากลับ’ จะกลายเป็นหมันไปด้วยเนื่องจากถูกจำแนกให้เป็นเวทมนตร์


‘ยังไม่แย่นัก’


กริดพยายามข่มใจระงับความกระสับกระส่าย


มันยังพอมีตัวเลือกสำหรับทดแทนคาถาพากลับ


[ทักษะ ‘พากลับฉุกเฉิน’ จะเปิดให้ใช้งานเมื่อเข้าสู่สถานะอมตะ ท่านจะถูกส่งกลับวิหารของตัวเองที่ใกล้ที่สุดโดยไม่สนใจห้วงมิติหรือระยะทาง แต่ต้องใช้งานภายในเจ็ดวินาทีหลังจากทักษะเปิดใช้งาน เมื่อครบเจ็ดวินาทีปุ่มกดจะหายไป]


‘เจ้านี่คงไม่ถูกผนึกไปด้วยใช่ไหม?’


ความตายของเทพถือเป็นเรื่องร้ายแรง


มีแนวโน้มสูงว่าระดับตัวตนจะลดลง


และยิ่งถ้าศัตรูคือนักล่าเทวตำนาน


เราห้ามตายโดยเด็ดขาด…


กริดที่พยายามสลัดความกังวลมีอันต้องขมวดคิ้ว โทสะพลุ่งพล่านภายในใจทันที


“บ้าจริง! ซีดาน นายเคยเข้ามาแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงไม่เตือนฉันว่ามีอันตรายแบบใดรออยู่?”


[ซีดานอธิบายว่าความทรงจำของเขาเลือนรางเพราะเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน แถมยังเป็นช่วงก่อนที่เขาจะตายได้ไม่นาน เขากำลังหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ]


[ฮัคเซ่นและไฟโวล์ฟต่างตั้งคำถามเกี่ยวกับนิสัยของคุณ]


“…”


จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเผลอทะเลาะกับคน (?) ที่ตายไปนานแล้ว?


ผลลัพธ์จะลงเอยด้วยการ ‘ลบหลู่คนตาย’ เพียงอย่างเดียว


กริดที่ตระหนักได้ตัดสินใจปิดปากเงียบและเดินตรงไป


เรื่องดีก็คือซีดานค่อยๆ ฟื้นฟูความทรงจำเก่ากลับคืน


คำแนะนำที่บอกให้เดินไปทางที่มีกิ่งสนเจริญเติบโต ช่วยให้กริดแหวกผ่านเขาวงกตได้ง่ายขึ้นมาก


***


หากมีใครสักคนเที่ยวรอบโลกซ้ำแล้วซ้ำเล่าตั้งแต่เกิดไปจนตาย


บุคคลดังกล่าวจะถือว่าได้ย่ำเท้าไปทุกที่บนโลกไหม?


ไม่มีทาง


ต่อให้โชคดีได้เดินทางไปทุกประเทศ แต่ก็ไม่มีทางได้สำรวจทุกตรอกซอกซอยจนครบ


ซาทิสฟายประกาศตัวว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าโลกหลายเท่า


การสำรวจให้ครบทุกที่คือเรื่องยากมากเว้นเสียแต่จะมีทักษะช่วยสนับสนุน


และแม้จะมีทักษะช่วย แต่ก็ใช่ว่าจะไปได้ครบทุกหนแห่ง


หนึ่งในนั้นคือเกรเนียร์


ผิดจากรูปลักษณ์ภายนอก ด้านในเกรเนียร์ซึ่งค่อนข้างกว้างใหญ่มีผู้คนอาศัยอยู่มากมายจนกลายเป็นสังคม


สังคมที่ว่าคือชนเผ่าซึ่งดำรงตนมานานหลายร้อยปี


สิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีร่วมกันคือพวกมันรับใช้ราชาขุนเขาที่สืบทอดกันมาหลายรุ่น


สำหรับพวกมัน ราชาขุนเขาคือเทพเพียงองค์เดียวและผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง


แม้เกรเนียร์จะมีพื้นที่กว้างขวางเหนือความคาดหมาย แต่พวกมันก็ยังเปรียบดังคางคงในบ่อ


ชนพื้นเมืองของเกรเนียร์ไม่มีทางหยั่งถึงความกว้างใหญ่ของโลกภายนอก


พวกมันเป็นมนุษย์ล้าหลังที่เชื่อมั่นใจกฎเหล็กป่าเถื่อนอย่างแรงกล้า นี่คือผลพวงจากการขาดอารยธรรมและความรู้


‘และเราก็เป็นไอ้งั่งที่ถูกพวกมันจับตัวมา…’


ผู้เล่นนามว่า ‘เม็ต’ ไม่อยากเชื่อในสถานการณ์ของตัวเอง


ดินแดนทุรกันดารที่มันหลงเข้ามาโดยบังเอิญขณะธุดงค์ในฐานะมังก์ผู้รับใช้เทพเดบีเรียน


จิตใจของมันสั่นสะท้านทันทีที่ได้เห็นภูเขาสูงตระหง่าน


ฉากดังกล่าวดูราวกับหมียักษ์กำลังยืนค้ำฟ้า มันรู้โดยสัญชาตญาณว่าตนหลงมาถึงหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของซาทิสฟาย


เม็ตมองว่าสิ่งนี้คือโชคชะตา เป็นลางบอกเหตุของภารกิจลับแสนหายาก มันเชื่อโดยไม่เคลือบแคลงว่าเทพเดบีเรียนคือผู้ชักนำให้ตนได้พบกับภูเขาเกรเนียร์


มันต้องการพบราชาขุนเขา


โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามสงครามปกคลุมไปทั่วโลกเช่นนี้


การที่เม็ตและมังก์คนอื่นต้องออกธุดงค์ เหตุผลสำคัญคือมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร


พวกมันได้รับวิวรณ์ให้เดินทางไปทั่วทวีปเพื่อกำจัดอสูรร้าย ขณะเดียวกันก็คอยช่วยเหลือผู้ที่กำลังทุกข์ทรมาน


ในสถานการณ์ดังกล่าว เม็ตพบโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ราชาขุนเขา


มันมั่นใจว่าราชาขุนเขาจะต้องยื่นมือช่วยเหลืออย่างแน่นอน


นั่นคือสาเหตุที่เม็ตลองปีนเขาเกรเนียร์


มันเริ่มต้นได้สวย


เม็ตเคยก้าวไปถึงอันดับสามสิบสามในการกระดานอันดับแบบรวมทุกคลาส


แม้กระทั่งปัจจุบันมันก็ยังอยู่ในอันดับท็อปหนึ่งร้อย


เม็ตมีฝีมืออย่างไร้ข้อกังขา


นอกจากนั้นมันยังเดินทางมาพร้อมมังก์อีกจำนวนหนึ่ง


พวกมันฝ่าฟันกับดักมากมายบนเขาวงกตจนกระทั่งปืนมาถึงเขตใจกลาง


บางทีนี่อาจเป็นความสำเร็จครั้งแรกของผู้เล่น


หัวใจเม็ตทวีความตื่นเต้นจนกระทั่งถูกชาวเขาจับตัว


‘คุยกับพวกมันไม่รู้เรื่อง…’


เม็ตมั่นใจเพราะมันเคยทดสอบแล้ว


เกรเนียร์ตัดขาดจากโลกภายนอก สำหรับมนุษย์ที่นี่ โลกทั้งใบมีเพียงเกรเนียร์


พวกมันย่อมไม่ทราบว่าโลกภายนอกกำลังทำสงครามกับกองทัพอสูร และไม่ทราบว่าสักวันภัยอันตรายจะมาเยือน จึงไม่คิดยื่นมือช่วยเหลือ


“ไอ้พวกผีร้าย! รีบเผยร่างจริงเร็วเข้า!”


กลุ่มชาวเขากำลังรายล้อมเม็ตและพรรคพวกที่ถูกมัดเชือกในสภาพห้อยหัว


พวกมันแช่เหล็กหนาลงในกองไฟ เสียงมีดเล่มเล็กบางถูกลับกับหินหยาบดังกังวานจนน่าขนลุก


“พวกผีร้ายจากนอกภูเขามีหน้าตาเหมือนเราได้ยังไง? สงสัยต้องถลกหนังออกมาจึงจะเห็นใบหน้าที่แท้จริง”


ชาวเขาที่แต่งกายด้วยหนังมอนสเตอร์ พวกมันไม่ใช่แค่ขู่ แต่กำลังเตรียมถลกหนังเม็ตและพรรคพวกจริงๆ


สตรีผู้ปลุกระดมชาวเขากำลังแผ่บรรยากาศดุร้ายรอบตัว กะโหลกยักษ์ที่ปกคลุมใบหน้าของเธอในลักษณะหมวก คล้ายกำลังบ่งบอกถึงอนาคตของกลุ่มเม็ต


“ต้องบอกอีกกี่ครั้งถึงจะเชื่อ? พวกเราเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกคุณ ด้านนอกภูเขาเกรเนียร์มีผู้คนอาศัยอยู่มากมาย…”


เม็ตที่กำลังอธิบายพลันดวงตาเบิกกว้าง มันพยายามกลืนเสียงกรีดร้องลงคอ เนื่องจากกริชที่เสียบเข้าช่องท้องได้พรากค่าพลังชีวิตไปเป็นจำนวนมาก


‘พลังโจมตีอะไรกัน…’


เจ้าพวกนี้เป็น NPC ระดับพิเศษสุดยอดหรือไง?


เม็ตรีบใช้พลัง ‘หวนกลับต้นกำเนิด’ ตามสัญชาตญาณ


หนึ่งในทักษะท่าไม้ตายของมังก์


มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วหากหวังจะมีชีวิตรอด


[พลังชีวิตของท่านกลับไปเป็นค่าสูงสุด]


[ร่างกายที่เสียหายถูกฟื้นฟูกลับเป็นปรกติ]


[พลังชีวิตของท่านจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนกว่าพลังชีวิตจะถึงค่าต่ำสุด]


“เวทมนตร์ชะลอความตาย… พวกมันเป็นผีร้ายอย่างที่คิด”


เสียงของสตรีคนดังกล่าวเริ่มเย็นเยียบ เธอส่งสัญญาณบอกให้ชาวเขาที่ลับมีดเดินเข้ามาใกล้กลุ่มของเม็ตเพื่อเตรียมถลกหนังทีละคน


‘บ้าบอสิ้นดี…’


มันถูกจับในสถานที่ที่เลวร้ายที่สุด


เดิมทีความตายก็แย่พออยู่แล้ว แต่นี่ยังต้องตายด้วยรูปแบบที่สยดสยองที่สุด สิ่งนี้อาจกลายเป็นแผลใจของมันในอนาคต


‘ทำไมเราถึงกล้าปีนภูเขาตั้งแต่แรก…’


มันเป็นเขตต้องห้ามเพราะสมควรเป็น สิ่งมหัศจรรย์ก็ควรถูกทิ้งให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ต่อไป…


เม็ตที่กำลังตัดพ้อและปล่อยวางเริ่มได้ยินเสียงกรีดร้อง


ชายคนหนึ่งซึ่งไม่มีตัวตนในตอนแรกกำลังย่างกรายเข้ามาใกล้


ทั้งที่ไม่มีลม แต่เส้นผมของมันกลับปลิวไสว


ชนพื้นเมืองคนหนึ่งใช้สองมือที่ใหญ่ผิดปรกติกุมหน้าตัวเองในท่าหงายหลังสองขาชี้ฟ้า ปากครวญครางด้วยความเจ็บปวด


แสงสีส้มกำลังแผ่ออกจากร่างกายชายปริศนา


ราวกับดวงอาทิตย์กำลังสว่างไสวท่ามกลางยามค่ำคืนบนภูเขาอันหนาวเย็น


“ฉันดูเหมือนอะไร?”


คำถามของชายคนดังกล่าวทำให้บรรยากาศเงียบงันทันที

______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,059   ★ ★ จบบริบูรณ์  ★ ★
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00