จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,535
<คำสอนของเทพแห่งการล่า>
เกรด: เลเจนดารี
คำสอนที่มอบให้กับมังก์ผู้ผ่านการทดสอบของเทพนักล่า
ด้านในบรรจุพรของเดบีเรียน
* ขณะล่ามอนสเตอร์ทั่วไปมีโอกาส 2% ที่จะดรอปไอเท็มเกรดสูงขึ้น, ได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 1.5%
* ขณะล่ามอนสเตอร์ชั้นยอดมีโอกาส 3% ที่จะดรอปไอเท็มเกรดสูงขึ้น, ได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 2%
* ขณะล่ามอนสเตอร์บอสมีโอกาส 5% ที่จะดรอปไอเท็มเกรดสูงขึ้น, ได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 3%
★ สามารถซ้อนทับกับทักษะ ไอเท็ม และคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกัน
น้ำหนัก: 1
แผ่นไม้เก่าที่เกิดจากการตัดท่อนไม้
คำสอนของเทพแห่งการล่ามีคุณค่ามหาศาลเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ซอมซ่อของมัน
เหนือสิ่งอื่นใด แค่เก็บไอเท็มชิ้นนี้ไว้ในช่องสัมภาระ คุณสมบัติก็มันก็จะแสดงผล
แถมคุณสมบัติก็ยังซ้อนทับ เรียกได้ว่าเกิดมาเพื่อกริดที่มีบัฟค่าประสบการณ์แยกต่างหาก
ยิ่งเวลาผ่านไป ผลลัพธ์จะยิ่งเห็นผลชัดเจน
เป็นสิ่งมีค่าที่ได้รับจากการช่วยชีวิตคน
แต่กระนั้นเม็ตกลับยังมองว่าไม่เพียงพอ
กริดสังเกตเห็นถึงเหตุผล
‘เขาไม่ได้นับแค่ชีวิตตัวเอง แต่ยังรวมถึงชีวิตพวกพ้อง’
NPC มังก์
คนเหล่านี้มีคุณค่าในสายตาเม็ต และนั่นทำให้กริดตระหนักถึงอุปนิสัยใจคออีกฝ่าย
“ขอบคุณ”
กริดฉาบยิ้มบนใบหน้าหลังจากได้รับแผ่นคำสอน
มันกำลังอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ใช่เพราะได้รับสิ่งของมูลค่าสูง แต่เป็นความอิ่มเอมใจที่ได้ช่วยคนสำคัญ
กริดไม่เคลือบแคลงว่าความสัมพันธ์ของตนกับเม็ตในวันนี้จะสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมในอนาคต
“…”
กริดถอนสายตากลับ
ชนพื้นเมืองที่เริ่มได้สติกลับมากำลังตัวสั่น หลายคนคุกเข่าลงตรงหน้าแรนดี้ มิใช่กริด
แรนดี้เผยสีหน้าเย็นชาเจือน่าเกรงขามทันที แถมยังเชิดคางขึ้นอีกเล็กน้อย
คล้ายกับเธอพยายามเลียนแบบสีหน้าของกริดในยามเผชิญศัตรู
แต่กริดมองต่าง มันคิดว่าแรนดี้กำลังแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา
‘เราไม่ได้อวดดีขนาดนั้น’
ชายหนุ่มตระหนักถึงคุณค่าของคุณธรรมและความอ่อนน้อมถ่อมตนมานานแล้ว
ไม่ต้องย้อนมองไปไกล
กริดพยายามช่วยผู้คนที่กำลังเผชิญวิกฤติอย่างสุดความสามารถ
แม้จะคำนวณสิ่งที่เม็ตสามารถตอบแทนได้เบื้องต้น แต่กริดก็ยังคงยื่นมือช่วยเหลืออยู่ดีแม้อีกฝ่ายจะอ่อนแอกว่าเม็ต
กล่าวคือ สีหน้าที่มันต้องการแสดงออกไม่เหมือนกับสิ่งที่แรนดี้กำลังทำอยู่
‘ช่างเถอะ… ให้แรนดี้รับหน้าไปก็แล้วกัน’
หลายคนอาจไม่ทราบเนื่องจากกริดค่อนข้างยุ่ง แต่กริดคือราชา
มันเคยชินกับการฝากฝังให้คนอื่นทำงานแทน ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเชี่ยวชาญการใช้คน มีหลายครั้งที่ไม่ต้องเปลืองแรงออกหน้าเอง
เฉกเช่นในตอนนี้
กริดส่งสายตาให้แรนดี้ เมื่อเธอเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าและเปิดปาก
“เพื่อที่จะปลุกราชาขุนเขา ฉันต้องโค่นเหล่าผู้พิทักษ์ลงเสียก่อน จงบอกมาว่าเหล่าผู้พิทักษ์อยู่ที่ใด”
หัวหน้าเผ่าแหกปากตะโกน
“ราชาผีร้ายในคราบมนุษย์เอ๋ย เจ้าทำตัวยิ่งใหญ่เสียเต็มประดาราวกับไม่รู้จักความน่ากลัวของโลก… เหล่าผู้พิทักษ์คือครึ่งเทพที่ถือกำเนิดจากหัวหน้ารุ่นแรกของทั้งสี่เผ่าและราชาขุนเขา ไม่ใช่ศัตรูที่เจ้าจะรับมือไหว… เหตุใดถึงกล้าไปพบหน้าทั้งที่ชะตากรรมเดียวคือการถูกบั่นเศียร?”
ยูเวล
ในฐานะหัวหน้าเผ่าธารน้อย เธอคือ NPC พิเศษอย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ดี ชนเผ่าในภูเขาเกรเนียร์ที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกย่อมมีสายตาไม่เฉียบแหลม
เฉกเช่นคนอื่น เธอเข้าใจผิดว่าแรนดี้คือร่างต้นของกริด
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แรนดี้ครอบครองพลังครึ่งหนึ่งของกริด แถมเมื่อครู่ยังใช้ไปแค่บางส่วน
จากมุมมองทั่วไป ชายคนนี้แข็งแกร่งจนน่าตกตะลึง จึงยากที่จะให้เชื่อว่าเป็นเพียงร่างโคลน
‘แบบนี้ก็ไม่เลว’
ฉากตรงหน้าทำให้กริดเริ่มผ่อนคลาย
มันเพลิดเพลินไปกับสถานการณ์ที่สัตว์อัญเชิญของตนดำรงตำแหน่งเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลังชั่วคราว
ขณะแรนดี้สะสางงานทั้งหมดแทน ตนก็แค่ถักนิตติ้งและเฝ้ามองด้วยความสบายใจ
แรนดี้เริ่มทรมานชนเผ่าเพื่อเค้นข้อมูลที่ต้องการ
เป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์
เธอเรียนรู้สิ่งเหล่านี้มาจากการเฝ้ามองกริด
จนถึงจุดที่กริดอดสงสัยไม่ได้ว่า แท้จริงแล้วแรนดี้มีบุคลิกเป็นเช่นไรกันแน่
‘เป็นเพราะเธอใกล้ชิดกับโนเอะมากเกินไป? พักหลังแรนดี้เริ่มใช้ความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ … หวังว่าเธอจะไม่หลงระเริงในอำนาจ’
“…”
ในเวลาเดียวกัน เม็ตจ้องกริดด้วยสีหน้าฉงนสุดขีด
ภาพของชายคนหนึ่งกำลังทำตัวผ่อนคลายในดินแดนต้องห้ามแสนอันตราย ยิ่งทำให้บุคคลดังกล่าวดูน่าเกรงขามเป็นเท่าตัว
เมื่อพิจารณาว่าอีกฝ่ายกล้าฝากฝังงานทั้งหมดให้สัตว์เลี้ยงทำแทน เม็ตเริ่มตระหนักว่าการเป็นผู้นำสูงสุดต้องวางตัวเช่นไร
[ฮัคเซ่นเฝ้ามองด้วยความสนใจ]
[ไฟโวล์ฟยกนิ้วโป้งชื่นชม]
[ซีดานจมอยู่กับความหดหู่]
เกรเนียร์คือสุสานของซีดาน
เป็นดินแดนสุดแสนอันตรายที่แม้กระทั่งวีรบุรุษในตำนานก็ยังนำชีวิตมาทิ้ง
แต่กริดกลับปราศจากความตึงเครียดโดยสิ้นเชิง ไม่แปลกที่ซีดานจะเกิดอารมณ์สุดโต่ง
อย่างไรก็ดี ภายในใจกริดกำลังคิดต่าง
‘ประหม่าแฮะ’
กริดจินตนาการแม้กระทั่งความพ่ายแพ้ของตัวเอง
เพียงแต่ความกลัวเป็นอารมณ์ที่ไร้ประโยชน์ มีเพียงสติอันเยือกเย็นเท่านั้นจึงจะสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้
“นายกำลังจะบอกว่าเขาคือร่างโคลนของเทพโอเวอร์เกียร์? ช่างกล้ามากที่นั่งถักทอขณะเทพโอเวอร์เกียร์ทำงาน… แต่ก็เหมาะสมแล้ว นิสัยดังกล่าวมีส่วนคล้ายคลึงกับเทพโอเวอร์เกียร์อยู่”
“ฮะฮะ… ฉันรู้สึกว่าหลังจากนี้คงต้องนำเทพโอเวอร์เกียร์มาเป็นแบบอย่างในการดำรงชีวิต ทุกครั้งที่เผชิญอุปสรรค ฉันจะหาทางพุ่งชนวิกฤติเหมือนกับเทพโอเวอร์เกียร์…”
“พุ่งชนแล้วได้อะไร? คิดจะเป็นหน่วยพลีชีพรึไง? เอาแค่พอประมาณก็พอ… ตอนนี้ตั้งใจสวดวิงวอนไปก่อน นายจะตกที่นั่งลำบากถ้าเดบีเรียนตอบสนองไม่ทันเวลา”
ท่ามกลางความวุ่นวาย
“ข…เข้าใจแล้ว! หยุดเถอะ!!”
ในที่สุดยูเวลก็ยอมจำนน
เธอต้องถูกซ้อมหนักแค่ไหน? ใบหน้าถึงได้มีแต่รอยฟกช้ำและผมเผ้ายุ่งเหยิงขนาดนั้น
“เริ่มเจียมตัวแล้วหรือ?”
แรนดี้เอียงคอเล็กน้อย มือขวากำสลับแบเป็นระยะคล้ายกับเตรียมสาวหมัดใส่หน้าเหยื่อทุกเมื่อ
ยูเวลหมอบกราบลงกับพื้น
“ข้ายอมแล้ว! จะพาไปยังที่ที่ท่านต้องการให้เอง!”
***
เกรเนียร์
ภูเขาที่มีสี่ชนเผ่าอาศัยอยู่ภายใต้การปกครองของราชาขุนเขา
เผ่าธารน้อยคอยสำรวจทางเข้าและล่ามอนสเตอร์ในเขตใจกลางภูเขา
เผ่าเมล็ดพันธุ์คอยเพาะปลูก รวมถึงแผ้วถางและเผาทุ่งนาบริเวณเชิงเขา
เผ่านมแพะคอยเลี้ยงแพะบนที่ราบสูง
เผ่าโฆษกที่ตั้งรกรากอยู่ใกล้กับน้ำตกห้าสายคอยสวดวิงวอนถึงเทพภูเขาในทุกวัน
พวกมันซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตัวเองมานานนับพันปีและจะดำรงชีวิตเช่นนี้ต่อไป
ยิ่งนานวันลำดับชั้นของเผ่าก็ยิ่งชัดเจน และเผ่าธารน้อยได้กลายเป็นเผ่าที่ต่ำต้อยที่สุด
เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะล้าหลัง เพราะเผ่าของพวกมันได้เข้าถึงอาหารน้อยที่สุด แถมยังห่างเหินกับราชาขุนเขา
พวกมันต่อสู้เพื่อปกป้องภูเขาจากรุ่นสู่รุ่น แต่สิ่งนี้กลับไม่ใช่งานที่น่ายกย่องในสายตาเผ่าอื่น
การสละชีพของเผ่าธารน้อยกลายเป็นเรื่อง ‘ธรรมดา’ มานานจนผู้คนหลงลืมบุญคุณ
“เจ้าพวกนั้นล่าช้า”
หัวหน้าเผ่าโฆษกขมวดคิ้ว
พิธีกรรมสังเวยจะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน
เผ่าธารน้อยสัญญาว่าจะล่ามอนสเตอร์มาให้ได้มากที่สุดจนกว่าจะถึงเวลา แต่ปัจจุบันกลับไร้วี่แววโดยสิ้นเชิง
“พวกมดปลวกอย่างมันคิดจะทำให้ท่านราชาขุนเขาทนหิวอย่างนั้นหรือ?”
“พวกมันมีอาหารเพียงพอได้เพราะเรา ตอนนี้คงไม่มีแรงจูงใจที่จะทำงานหนัก”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เพื่อที่จะเตือนสติให้ทำงาน ข้าหยุดแจกจ่ายอาหารให้พวกมันมาสักพักแล้ว… เผ่าธารน้อยได้กินแต่เปลือกไม้มาสิบวันติดต่อกัน พวกมันคงกำลังหิวโหยและตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เพื่อแลกอาหาร”
“หิวโหย…? นั่นยิ่งทำให้งานช้าลงไปอีกไม่ใช่หรือ พวกมันอาจไม่สนใจเครื่องเซ่นของท่านราชาภูเขาแล้วก็ได้”
“ไม่มีทาง เว้นแต่พวกมันจะเสียสติไปแล้ว…”
ขณะเหล่าหัวหน้าเผ่ากำลังปรึกษาหารือ
“เตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
เทพเสด็จเยือน
บรรพชนของหัวหน้าเผ่า
ตัวตนที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนระหว่างราชาขุนเขาและหัวหน้ารุ่นแรกของทั้งสี่เผ่า
บรรดาชนเผ่าของภูเขาเกรเนียร์ต่างเรียกขานว่าผู้พิทักษ์แห่งเทพ
“ขอรับ ทุกสิ่งราบรื่นดี ไม่ต้องเป็นกังวล”
เหล่าหัวหน้าเผ่าต่างพากันโค้งศีรษะ
หัวหน้าเผ่าเมล็ดพันธุ์และเผ่านมแพะต่างพากันโค้งศีรษะ ส่วนหัวหน้าเผ่าโฆษกกล่าวด้วยเสียงสุภาพ
เผ่าโฆษกมีหน้าที่สื่อสารกับราชาขุนเขาโดยตรง
ไม่ว่าจะมีลำดับชนเผ่าสูงส่งเพียงใดก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องนอบน้อมต่อหน้าผู้พิทักษ์แห่งเทพซึ่งเป็นรองเพียงราชาขุนเขา
“ต…แต่ว่าดูเหมือนจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาสร้างความวุ่นวายเล็กน้อย”
ผู้พิทักษ์คนดังกล่าวพยักหน้าพลางมองออกไปด้านนอกค่ายทหาร
แขกไม่ได้รับเชิญ?
เป็นไปไม่ได้…
ครึ่งเทพผู้พิทักษ์เดินออกจากค่ายทหารด้วยความฉงน
มันมองเห็นความโกลาหลของชนเผ่าด้านล่าง
สายตาของมันจดจ้องไปยังยูเวลและชายผมดำที่กำลังย่างกรายเข้าใกล้ทันที
“มนุษย์…? มนุษย์เหมือนกับพวกเรา?”
“เป็นไปไม่ได้… โลกภายนอกเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ไม่มีทางหลงเหลือมนุษย์อื่นนอกจากพวกเรา”
หัวหน้าเผ่าเมล็ดพันธุ์และนมแพะส่งเสียงด้วยความแปลกใจ
“ใช่แล้ว พวกมันก็แค่ผีร้ายที่สวมหน้ากากมนุษย์…”
หัวหน้าเผ่าโฆษกเข้าใจสถานการณ์ได้รวดเร็ว มันตระหนักถึงวิกฤติจากบาดแผลบนใบหน้ายูเวล
หากไม่มีผู้พิทักษ์แห่งเทพคอยอยู่ข้างกายมันคงกระวนกระวายไม่น้อย
ในเวลาเดียวกัน ผู้พิทักษ์เดินเข้าไปใกล้ผีร้ายตนดังกล่าว
“พลังงานสีส้มที่แผ่ออกมาดูไม่ธรรมดาเลย… เจ้าดูเหมือนดวงอาทิตย์ทั้งที่เป็นแค่มนุษย์”
มันกล่าวกับชายผมดำ
ทุกย่างก้าวของผู้พิทักษ์สามารถสั่นคลอนบรรยากาศโดยรอบ
“พลังนั่นยอดเยี่ยมเกินกว่าจะให้เทพมนุษย์ครอบครอง ข้าจะนำมันกลับไปมอบให้ท่านราชาขุนเขา”
เทพมิใช่ตัวตนพิเศษในสายตาผู้ปกครองแห่งเกรเนียร์ เป็นได้แค่เหยื่อแสนโอชะ
ข้อเท็จจริงดังกล่าวคือเรื่องปรกติสำหรับ ‘ผู้ช่วงชิงเทวตำนาน’
เปรี้ยง!!
เสียงอึกทึกดังขึ้น
เป็นผลพวงจากการที่ผู้พิทักษ์แห่งเทพกระทืบพื้นเพื่อพุ่งตัวไปด้านหน้าประหนึ่งลำแสง
ลมพายุก่อตัวทันทีที่ขวานสั้นสองเล่มถูกเหวี่ยงเป็นวงจันทร์เสี้ยว ในพริบตาที่เส้นพลังไขว้กันเป็นกากบาท ร่างของผู้บุกรุกผมดำพลันถูกแยกออกเป็นสี่ส่วน
ฉูดดดดดดด!
เลือดสีแดงสดพวยพุ่งเต็มท้องฟ้า
เป็นเลือดของชาวชนเผ่า
ปราณขวานพุ่งตรงไปไกลก่อนจะทำลายร่างของผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังยืนมุง
ชายผมดำไม่หลั่งแม้แต่เลือดหยดเดียว
ร่างที่หลายฝ่ายเข้าใจว่าถูกฟันขาดยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
ฉิวเฉียดประหนึ่งกระดาษแผ่นบาง
เป็นการหลบหลีกที่หมิ่นเหม่จนเกิดภาพลวงตาว่าถูกฟันเข้าอย่างจัง
‘เจ้านี่… แข็งแกร่ง’
ผู้พิทักษ์แห่งเทพเริ่มตื่นตัวหลังจากกะเกณฑ์ฝีมือของมนุษย์มนุษย์ในใจ
ขณะเดียวกัน คมดาบของมนุษย์กำลังพุ่งเข้ามาหามัน
ผู้พิทักษ์แห่งเทพปล่อยขวานในมือ จากนั้นก็จับขวานที่กำลังร่วงหล่นในท่าไขว้แขน
เคร้ง!!
ขวานเล่มหนึ่งที่ถูกจับแบบสลับด้านสามารถป้องกันคมดาบได้ง่ายดาย จากนั้นก็ใช้ขวานอีกข้างเล็งสับใส่หน้าอกเทพมนุษย์
ด้วยพละกำลังมหาศาลที่ยากจะต่อต้าน
แถมยังอัดแน่นด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมนานนับพันปี
แต่ผลลัพธ์กลับสูญเปล่า
เคร้ง!!
ดาบของเทพมนุษย์ที่ถูกขวานข้างหนึ่งปัดป้อง ถูกแรงปะทะหมุนเป็นวงกลมกลับไปขัดขวางวิถีของขวานข้างที่เล็งสับหน้าอก
เป็นการใช้ ‘วังวน’ อย่างชาญฉลาด
แรนดี้ที่ยืมรูปลักษณ์ของเทพมนุษย์อย่างกริด สามารถสร้างผลลัพธ์สองชนิดได้ด้วยการสวนกลับเพียงครั้งเดียว
กริดเฝ้ามองจากระยะไกลด้วยสีหน้าพึงพอใจ
‘หล่อนพัฒนาตัวเองได้ไม่เลว’
ค่าสติปัญญาจะแสดงผลกับ NPC และมอนสเตอร์ได้ชัดเจนกว่าผู้เล่น
ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มพลังโจมตีเวท ค่าต้านทานเวทมนตร์ และค่ามานาสูงสุด แต่ความฉลาดของปัญญาประดิษฐ์ก็ยังถูกยกระดับ
แตกต่างจากผู้เล่นโดยสิ้นเชิงในแง่นี้
แต่ค่าสติปัญญาที่กริดลงทุนกับมันมานานโดยไม่เต็มใจสักเท่าไร ก็มิได้ไร้ค่าเสียทีเดียว
ยิ่งค่าสติปัญญาของกริดสูงเพียงใด แรนดี้ก็ยิ่งสืบทอดไปมากจนกลายเป็นตัวตนที่เฉลียวฉลาด
“เร็วเข้า… รีบอัญเชิญพี่น้องของข้ามาเร็วเข้า!!”
ผู้พิทักษ์แห่งเทพซึ่งถูกขวานของตัวเองสับไหล่ แหกปากตะโกนในท่าคุกเข่าลงหนึ่งข้าง
สีหน้าของมันเผยความสับสนสุดขีด
โลกใบเล็กๆ ของชนพื้นเมืองเริ่มเกิดรอยร้าวเป็นครั้งแรก
Comments
Post a Comment