จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,532
ครืนนนน…
“…”
ตำแหน่งเพดาน หรือที่ควรเป็นของเพดาน บัดนี้กลายเป็นสีคราม
ท้องฟ้าสีครามสดใสของวันนี้กำลังปกคลุมโรงตีเหล็กดุจดังผ้าห่ม
กำลังล้อกันเล่นอยู่หรือ?
กริดเริ่มคิดเช่นนี้ขณะยืนท่ามกลางโรงตีเหล็กที่พังครืน และนั่นไม่ใช่ความคิดที่แปลก
เหตุใดโรงตีเหล็กถึงได้เปราะบางนัก?
มันกังวลว่าแร็บบิทจะเป็นลมล้มพับไปอีกครั้ง
[โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์หนึ่งวิวัฒนาการเสร็จสิ้น]
หน้าต่างแจ้งเตือนปลุกชายหนุ่มให้ตื่นจากภวังค์
ต้นเหตุที่ทำให้ท้องฟ้าสีครามมีบรรยากาศหมองหม่น
แสงสีม่วงเข้มข้นที่สว่างขึ้นท่ามกลางเวทมืด
คลื่นความร้อนปริมาณมหาศาลแผ่ออกมาจนเมฆสลายตัว
> ข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อองค์ราชา…
การคุกเข่าลงตรงหน้ากริดของโครงกระดูกหมายเลขหนึ่งเป็นภาพไม่คุ้นเคยสายตาสักเท่าไร
อีกฝ่ายดูเหมือนซิก แต่แตกต่างออกไป
อาจเป็นเพราะเส้นผมและผิวหนังที่ขาวซีด หรือไม่ก็เพราะดวงตาที่ส่องแสงสีแดง
หรือไม่ก็เพราะพลังเวทมืดที่ห่อหุ้มร่างกายดุจดังชุดเกราะ
แต่เหตุผลสำคัญที่สุดคือขนาดร่างกายที่ใหญ่ขึ้น
ดูเหมือนสิ่งนี้จะเกิดจากกระบวนการ ‘ผสานและจัดโครงสร้างกระดูกใหม่’ ระหว่างโครงกระดูกหนึ่งและซิกเฟรคเตอร์
อัศวินร่างใหญ่ที่มีบรรยากาศเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
กริดยืนยันจนมั่นใจว่านี่คือโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์หนึ่งผู้ภาคภูมิใจกับการเปลี่ยนแปลงของตนเอง
ชื่อ: โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์หนึ่ง
เลเวล: 430
เลเวลยังอยู่ในระดับปรกติ
เป็นเลเวลเดียวกับเมื่อครั้งโครงกระดูกสองกลายเป็นลิช
‘หมายเลขสองคงถือไพ่เหนือกว่าไปอีกสักพัก’
ปัจจุบันโครงกระดูกสองมีเลเวล 461 เป็นผลมาจากได้พัฒนาคลาสเป็นระดับสี่ก่อนและมีบทบาทสำคัญในสงคราม
‘เรื่องนั้นช่างมันก่อน สิ่งที่ต้องกังวลคือชื่อคลาส’
กริดคงขุ่นเคืองไม่น้อยหากชื่อคลาสของโครงกระดูกหนึ่งจะกลายเป็น ‘อัศวินนักเต้น’
เหตุการณ์ที่โครงกระดูกสองกลายเป็น ‘ลิชนักเต้น’ ยังคงสร้างแผลใจให้กริดจนถึงทุกวันนี้
คลาส: อัศวินความตายนักเต้นผู้ใช้ภาษาโบราณ
“…”
หลังจากเห็นชื่อคลาสของโครงกระดูกหนึ่ง กริดหลับตาลงด้วยความขื่นขม
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าออกเป็นเวลานานเพื่อควบคุมสติ
‘อา… แล้วแต่พวกเอ็งเลย’
ไม่ว่าจะเป็นการเต้นวอลซ์ กายกรรม แท็ปแดนซ์ หรือระบำเปลื้องผ้า ทั้งหมดก็แค่งานอดิเรก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทักษะ
ถ้าเจ้านี่เก่งกาจและโดดเด่นได้เหมือนโครงกระดูกสอง เท่านั้นก็เพียงพอ
กริดปลอบใจตัวเองขณะเปิดหน้าต่างรายการทักษะและค่าสถานะ
รอยยิ้มบรรจงถูกแสยะออก
ประการแรก ค่าพละกำลังและความว่องไวเพิ่มขึ้นมาก
ตัวเลข 4,000 ค่าพละกำลังและ 4,500 ความว่องไวคือสัดส่วนที่ลงตัวสำหรับนักดาบ
สัดส่วนค่าความอดทนอาจน้อยสำหรับอัศวิน แต่นั่นคือในความหมายของ ‘สัดส่วน’ ค่าความอดทน 3,500 หน่วยยังจัดว่าสูงมากหากเทียบกับอัศวินในระดับใกล้เคียง
ยิ่งถ้าพิจารณาว่าแต่เดิมจุดอ่อนของอัศวินความตายคือกร่างกายที่เปราะ ตัวเลข 3,500 คือสิ่งที่น่าตกใจ
นอกจากนั้นยังมีค่าวิสัยทัศน์เฉกเช่นโครงกระดูกสอง
เป็นตัวเลขที่สูงถึง 2,000 แต้ม
เมื่อผนวกเข้ากับค่าความว่องไวที่สูงลิบ โครงกระดูกหนึ่งจะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังซึ่งสามารถตอบสนองต่อการโจมตีทุกชนิดได้ด้วยการมองเห็นรอบตัว
หากไม่ใช่ตำนานหรือเหนือมนุษย์ก็คงยากที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่โครงกระดูกหนึ่ง
‘กระทั่งค่าสติปัญญาก็ยังเพิ่มขึ้นมาก’
ค่าสติปัญญา 3,000
แม้จะเป็นผลมาจากการยึดครองร่างซิกเฟรคเตอร์ ‘ผู้ใช้อักขระโบราณ’ แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงกระดูกหนึ่งในปัจจุบันมีความใกล้เคียงกับจอมเวทมากกว่าอัศวินความตาย
‘ถ้าพิจารณาแค่แต้มค่าสถานะโดยรวม เจ้านี่เหนือกว่าโครงกระดูกสองเสียอีก’
อัศวินความตายยังคงมีพื้นฐานเป็นอัศวิน
อัศวินคือคลาสที่สมดุลและมาพร้อมค่าสถานะสูงในทุกชนิด
แข็งแกร่งแทบทุกด้านไม่เหมือนกับคลาสอื่นที่มีจุดด้อยจุดเด่น
ข้อเสียเดียวคือการที่ไม่มีด้านใดโดดเด่น แต่สำหรับโครงกระดูกหนึ่งที่สามารถใช้อักขระโบราณ ข้อเสียข้างต้นจึงถูกกลบไป
<เข้าใจและรู้จักวิธีใช้ภาษาโบราณ> Lv.5 (สะสมความชำนาญเพิ่มไม่ได้)
เข้าใจและรู้จักวิธีใช้อักขระโบราณทั้งเจ็ด
สามารถผสมให้เป็นคำได้ทั้งหมดสิบเก้าแบบ แต่ละคำสามารถสร้างปรากฏการณ์อันยิ่งใหญ่
มานา:
- 6,500 ต่ออักขระโบราณหนึ่งตัว
- 23,000 ต่อหนึ่งคำ ทุกครั้งที่เพิ่มจำนวนคำ อัตราการสิ้นเปลืองมานาจะทวีคูณ
ระยะหน่วง: สิบนาทีต่ออักขระโบราณหนึ่งตัว
* ในสถานะปัจจุบันยังไม่สามารถผสมคำเป็นประโยค
‘…คงต้องใช้ไอเท็มเพิ่มค่ามานาสูงสุด’
กริดเคยคิดว่าค่าสติปัญญาของอัศวินความตายคงเหลือเฟือ แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ ยังขาดแคลนมานาสำหรับใช้ทักษะอยู่มาก
‘แต่ก็ไม่เลว’
จุดอ่อนสำคัญของอัศวินความตายคือการมีค่าสติปัญญาต่ำและแพ้ทางพลังศักดิ์สิทธิ์
แต่นั่นไม่ใช่กับโครงกระดูกหนึ่ง
ค่าสติปัญญาพื้นฐานสูงลิบ แถมยังเสริมค่าต้านทานธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยไอเท็ม
และคงพูดไม่ได้เต็มปากนักว่าการที่พลังอักขระโบราณใช้มานาสูงคือจุดอ่อน
‘เจ้านี่คืออัศวินความตายที่ไร้จุดอ่อนและสามารถใช้อักขระโบราณ’
เหนือสิ่งอื่นใด ยังมีอีกหนึ่งข้อเท็จจริงสำคัญ
ภาษาโบราณไม่ใช่สิ่งเดียวที่โครงกระดูกหนึ่งสืบทอดมาจากร่างซิกเฟรคเตอร์
เมื่อครั้งซิกใช้ชื่อว่าซิกเฟรคเตอร์
ชายคนนั้นถูกเรียกขานว่าแกรนมาสเตอร์
นอกเหนือจากอักขระโบราณ แกรนมาสเตอร์คือตัวตนที่ช่ำชองในทุกด้าน
<ค่าความชำนาญทุกชนิด> Lv. สูงสุด
ทักษะติดตัว
สามารถใช้อาวุธทุกชนิดได้อย่างชำนาญ
ด้วยความรู้ที่สั่งสมสมัยศึกษาศาสตร์หลายแขนง ท่านสามารถพูดภาษาปัจจุบันได้ทั้งหมดและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้รวดเร็ว
★ มีโอกาสปานกลางที่จะเรียนรู้ทักษะที่ท่านได้เผชิญหน้า จำกัดไม่เกินสิบทักษะ เรียงลำดับความสำคัญในการได้รับจากเกรดสูงไปต่ำ และหากช่องทักษะเต็มจะทำการลบทักษะที่ใช้งานน้อยที่สุดออกไป
นี่คือเอกลักษณ์ที่ซิกเฟรคเตอร์ไม่แสดงให้เห็น
บางทีคงไม่มีโอกาสใช้งานเนื่องด้วยคำสาปเกียจคร้าน
แต่โครงกระดูกหนึ่งไม่ได้รับคำสาป มันสืบทอดร่างกายและความสามารถจากซิกเฟรคเตอร์โดยไม่รวมไปถึงคำสาป
‘หนึ่งสิ่งที่แน่ชัด’
ศักยภาพของโครงกระดูกหนึ่งเรียกได้ว่าไร้ขอบเขต
ทักษะ <ความชำนาญทุกชนิด> เปรียบได้กับ <บิดเบือนห้วงมิติ> ของโครงกระดูกสองเลยทีเดียว
ไม่เกินจริงไปเลยที่จะเรียกสิ่งนี้ว่า ‘อำนาจ’
เปรี้ยง!
โครงกระดูกสองได้รับอิสระทันทีนับตั้งแต่กลายเป็นลิช
ในวินาทีนี้ ลิชซึ่งสามารถเข้าออกสร้อยคอลาทีน่าได้อย่างอิสระกลับเลือกที่จะโผล่มาซัดท้าทายโครงกระดูกหนึ่งเต็มแรง เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่ามันหวาดระแวงศักยภาพโครงกระดูกหนึ่งมากเพียงใด
โครงกระดูกสองคงสัมผัสได้ถึงความไม่ปลอดภัย…
> ฝ่าบาทกำลังทอดพระเนตร… ช่วยสำรวมด้วย
โครงกระดูกหนึ่งกล่าวเสียงขรึม
เป็นเสียงที่มีน้ำหนักอย่างบอกไม่ถูกเมื่อกล่าวออกมาในร่างมนุษย์แทนโครงกระดูก
ใช่แล้ว
หากมองเพียงรูปลักษณ์คงยากที่จะบอกว่าโครงกระดูกหนึ่งเป็นมนุษย์หรืออันเดด
แกร่ก! แกร่ก!!
โครงกระดูกสองเต้นพลางกระทบคาง ท่วงท่าการส่ายเอวจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งดูสยองขวัญมากกว่าน่ารัก
การที่มันซึ่งพูดภาษามนุษย์ได้ไม่ยอมพูดกับโครงกระดูกหนึ่ง เป็นเพราะต้องการเตือนให้อีกฝ่ายเจียมตัวว่าพวกตนคืออันเดด
โครงกระดูกหนึ่งพ่นลมหายใจเหยียดหยัน
> ไม่ยอมสื่อสาร… สมองคงเน่าและสลายไปแล้ว
> …
โครงกระดูกสองยืนแข็งทื่อประหนึ่งรูปปั้นหิน
เบ้าตาสีดำกำลังสั่นระริกจนดูคล้ายกับใกล้จะหลั่งน้ำตา
[ฮัคเซ่นเฝ้ามองความขัดแย้งระหว่างสองอันเดดด้วยความสนใจ ฉากตรงหน้ากำลังพิสูจน์ว่าสติปัญญาคือสิ่งที่สร้างความขัดแย้ง และหวังว่าผู้รักความสงบที่โง่เขลาจะได้เห็นแบบเดียวกับตน]
[ไฟโวล์ฟกำลังจินตนาการว่าตนได้เป็นหนึ่งเดียวกับจักรกลเวทมนตร์]
“…ไปกันเถอะ”
โลกที่มีคนปรกติเพียงน้อยนิด
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีสถานะสูง ความบิดเบี้ยวภายในใจก็ยิ่งเพิ่มพูน ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับดวงวิญญาณตำนาน
คงเพราะพวกมันเคยอาศัยอยู่ในโลกที่ตัวเองสมความปรารถนามานาน
เรื่องแบบนี้คงเป็นสามัญสำนึกในโลกดังกล่าว จึงกล้าแสดงออกโดยไม่เคอะเขิน
‘ได้โปรด… อัครสาวกคนสุดท้าย’
ได้โปรดเป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา
กริดเดินออกจากโรงตีเหล็กพลางสวดวิงวอนจากก้นบึ้ง
เป้าหมายคือเกรเนียร์
ที่นั่นคือดินแดนเทือกเขาซึ่งเปรียบดังบ้านของเหล่าผู้สันโดษ และยังเป็นพื้นที่ต้องห้ามในซาทิสฟาย มีตำนานและเทวตำนานมากมายถูกฝังอยู่
ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ซึ่งซีดานสร้าง ‘ตำนานห้าก้าว’ และถึงจุดจบ
***
ผู้แข็งแกร่งย่อมมีกฎเหล็กที่ต้องรักษา
ห้ามพ่ายแพ้
ชื่อเสียงที่ได้รับจากการชนะติดต่อกันมาเรื่อยๆ คือเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่ง
สองพี่น้องแบล็กไวท์ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้เมื่อสาย
พวกหล่อนคว้าชัยติดต่อกันมายาวนานจนกระทั่งวิ่งชนกำแพงที่ชื่อกริด
ชื่อเสียงของสองพี่น้องแบล็กไวท์มีอันต้องดิ่งเหวทุกครั้งที่ลิ้มรสความพ่ายแพ้ เหล่ามดปลวกนิรนามจำนวนมากต่างวิจารณ์และท้าทายพวกเธอ
แต่ในตอนนั้นกริดยังไม่ถูกยอมรับให้เป็นผู้ปกครองมนุษย์ดุจดังปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่สองพี่น้องพ่ายแพ้กริด
“บ้าบอสิ้นดี…”
แบล็กและไวท์พยายามเลี่ยงความพ่ายแพ้ให้มากที่สุด
ตัวอย่างเช่นการไม่บุ่มบ่ามท้าทายเป้าหมายที่ค่อนข้างแข็งแกร่งอย่างขุนพลโอเวอร์เกียร์
หมายความว่าพวกเธอต้องศึกษาเหยื่อให้ดีก่อนลงมือ
ด้วยเหตุนี้
หงึกหงึก
สองพี่น้องมีวิสัยทัศน์มากพอที่จะสัมผัสถึงความแข็งแกร่ง
เป็นสัญชาตญาณที่สั่งสมอย่างยากลำบากระหว่างกระบวนการรักษาชื่อเสียง และในวินาทีนี้ สัญชาตญาณดังกล่าวกำลังร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง
สาเหตุมาจากโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ที่กำลังยืนขนาบกริดซ้ายขวา
โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์หนึ่งและสอง
ชื่อที่ตรงไปตรงมาของพวกมันฟังดูไม่เข้ากับความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา
ใครหลายคนอาจคุ้นเคยกับโครงกระดูกสองจากสมรภูมิหมู่เกาะเบเฮ็น เพราะฝ่ายมนุษย์ไม่มีทางหลงลืมตัวตนของสิ่งที่คอยตรึงบีเลธเอาไว้
แต่กับโครงกระดูกหนึ่งแล้วเป็นของใหม่
พวกเธอเคยเห็นในทีวีว่าหมายเลขหนึ่งเป็นเพียงโครงกระดูกปัญญาอ่อน แล้วเหตุไฉนบัดนี้ถึงกลายเป็นหนุ่มหล่อ?
ดวงตาสีแดงสว่างและบรรยากาศเย็นยะเยือกราวกับขั้วโลก
นอกจากนั้นยังมีเวทมืดที่ห่อหุ้มร่างกาย…
พลังแห่งความตายกำลังกระตุ้นความกลัวจากส่วนลึกของจิตใจมนุษย์
เป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อเกินไปในสายตาสองพี่น้อง
ไอเท็ม
พวกเธอแค่ต้องการถามกริดว่าจะได้รับไอเท็มตอนไหน แต่ความกล้าหาญกลับเลือนหายไปจนหมดสิ้น
ยิ่งเข้าใกล้กริดก็ยิ่งเกิดความรู้สึกว่าศีรษะพร้อมจะหลุดจากบ่าได้ทุกเมื่อ เป็นความหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ
“มีอะไร”
กริดฉงนเล็กน้อยเมื่อพบสองพี่น้องแบล็กไวท์หลังจากเดินพ้นโรงตีเหล็ก
“พวกเธอควรจะยังอยู่ในสมรภูมิไม่ใช่หรือ”
สองพี่น้องแบล็กไวท์ถือเป็นกำลังสำคัญในศึกปะทะกองทัพอสูร
จะดีจะร้ายพวกเธอก็เป็นไฮแรงเกอร์แถวหน้า
ชื่อเสียงด้านลบที่ดังกระฉ่อนก็เป็นเพราะมีฝีมือรองรับ
หากไม่นับเหล่าขุนพลโอเวอร์เกียร์ พวกเธอสามารถยืนอยู่ในแถวหน้าของวงการได้สบาย
“อ…เอ่อ… อะ…”
แบล็กก้มหน้าลงพลางละล่ำละลักด้วยใบหน้าขาวซีด เดิมทีเธอต้องการทวงรางวัลจากกริดด้วยความทระนงตน แต่ศักดิ์ศรีกลับถูกบดขยี้จนแหลกละเอียดด้วยบรรยากาศรอบตัวกริดจนมิอาจขัดขืนความรู้สึกที่แท้จริง
ไวท์รีบปิดปากแบล็ก
เธอเป็นคนยืดหยุ่นแตกต่างจากน้องสาว
“พ…พวกเรารีบกลับมาเติมเสบียง! อีกเดี๋ยวก็จะกลับไปที่สนามรบแล้ว!!”
“สนามรบไม่เคยขาดเสบียง”
อันที่จริงกริดไม่มีเจตนาจะเล่นเกมถามตอบกับสองพี่น้อง
แม้พวกเธอจะทำไปเพื่อไอเท็ม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกคนคือพวกพ้องในสงครามตรงหน้า
แถมแบล็กและไวท์ยังเข้าร่วมด้วยเจตนาชัดเจน กริดจึงค่อนข้างเชื่อใจ
และเมื่อพิจารณาว่าทั้งสองมีบทบาทสำคัญในสนามรบ ชายหนุ่มย่อมไม่ต้องการปฏิบัติกับอีกฝ่ายเลวร้ายเกินไปนัก
แต่สองพี่น้องไม่รู้หัวใจกริด แค่ได้ยินสุ้มเสียงทุ้มต่ำเย็นชาและได้เห็นดวงตาเรียวคมดุจดังเหยี่ยวก็ทำเอาสั่นสะท้านไปทั้งตัว
“อะ…ไอเท็ม! ไอเท็มบางชิ้นของพวกเราใกล้จะถูกทำลาย…”
ไวท์รีบคิดหาข้ออ้างอย่างลนลานหลังจากนึกขึ้นได้ว่าหนึ่งในอาวุธรองซึ่งทุกวันนี้แทบไม่ได้ใช้งานมีค่าความคงทนเหลือน้อย
‘…ช่างตีเหล็กทุกคนในสนามรบตอนนี้ล้วนเป็นผู้เล่น’
เลเวลส่วนใหญ่ค่อนข้างต่ำยกเว้นแค่บางคน เป็นระดับที่ไวท์ไม่กล้าเชื่อใจจะฝากฝังไอเท็มมูลค่าสูง
กริดที่ยอมเชื่อเหตุผลเดินเข้าไปใกล้
“ส่งมา”
“อะ…?”
“ฉันจะซ่อมให้”
“ต…ตกลง…”
ไวท์หยิบไอเท็มดังกล่าวออกมา พวกมันคือถุงมือเกรดยูนีค ด้วยความที่เลเวลขั้นต่ำคือ 350 ไวท์จึงไม่ได้ใช้งานมันมานานแล้ว เพียงแต่ไม่อยากขายเพราะเป็นถุงมือที่มาพร้อมทักษะค่อนข้างดี
ประสิทธิภาพอาจจะสูงเมื่อเทียบกับไอเท็มในเลเวลเดียวกัน แต่หลังจากใช้งานทักษะที่แนบมากับไอเท็มจนหมด มันก็ถูกโยนเข้ากรุทันที
“หืม…”
กริดตรวจสอบรายละเอียดถุงมือสักพักก่อนจะเดินกลับไปที่เตาหลอม เป็นเตาหลอมขนาดมหึมาที่ถูกซ่อมแซมให้มีสภาพคล้ายเดิมด้วยฝีมือเฒ่าเคย์และเหล่าสถาปนิกช่างฝีมือ
ฟู่ว!
โครงกระดูกโอเวอร์เกียร์อาศัยทักษะด้านการตีเหล็กในการเพิ่มอุณหภูมิเตาหลอม ส่วนกริดกำลังก้มหน้าแยกส่วนและประกอบถุงมือกลับเข้าไปใหม่เพื่อเพิ่มค่าความเข้าใจ
“…??”
พี่น้องแบล็กไวท์ต่างพากันงงงวย
เพราะภาพที่โครงกระดูกหนึ่งและสองกำลังใช้เครื่องเป่าลมคือสิ่งแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง
เหตุใดสิ่งมีชีวิตไร้ปัญญาถึงสามารถใช้เครื่องเป่าลมได้ช่ำชอง…
แล้วทำไมกริดถึงต้องแยกส่วนถุงมือของพวกตน?
‘ข…เขากำลังโกรธ! เป็นคำเตือนที่ส่งมาถึงพวกเรา! คำเตือน!!’
ขอสาบานว่าจะไม่ออกจากสนามรบก่อนเวลาอันควรอีก…
กริดโยนถุงมือเข้าเตาหลอมขณะสองสาวกำลังยืนมอง ฉากของถุงมือราคาแพงถูกความร้อนหลอมละลายและดึงออกมาใหม่ในสภาพโลหะเหลวทำให้แบล็กและไวท์เข้าใจแจ่มแจ้ง
ขณะความคิดของสองพี่น้องกำลังล่องลอยไร้จุดหมาย
“เอาไป”
กริดส่งถุงมือที่สร้างใหม่คืนให้ไวท์
ไอเท็มเสร็จสมบูรณ์ภายในไม่กี่นาทีด้วยความช่วยเหลือจากปุ่มผลิตอัตโนมัติ
ถึงกระนั้นก็ยอดเยี่ยมกว่าของเดิมอย่างเทียบไม่ติด
เป็นธรรมดา
เทพโอเวอร์เกียร์จะผลิตไอเท็มที่ดีกว่าพิมพ์เขียวได้เสมอ
“อ…อะ?”
“ลำพังการซ่อมแซมจะไม่ช่วยให้จำนวนครั้งของทักษะกลับคืนมา นั่นคือเหตุผลที่ช่างตีเหล็กคนอื่นไม่กล้ารับงานซ่อม… ถ้าเธอต้องการอีกก็แวะมาหาฉันได้”
“…”
“ฉันขอตัว… พวกเธอก็พยายามเข้าล่ะ”
“ล…ลาก่อน! ขอให้เดินทางปลอดภัยค่ะ!!”
พี่น้องแบล็กไวท์จ้องมองแผ่นหลังกริดที่เดินจากไป รอยยิ้มของพวกหล่อนค่อนข้างแปลกประหลาด สิ่งนี้เกิดจากการยิ้มด้วยความรู้สึกแท้จริง
“…ดีกว่าอาวุธหลักของฉันอีก”
“ท…ทำไมกัน… รูปในพิธีจบการศึกษาของพวกเราก็ยังแพร่กระจายเต็มอินเทอร์เน็ต… รวมถึงความชั่วทั้งหมดที่พวกเราเคยทำ… กริดย่อมต้องรู้อยู่แล้ว… แล้วทำไมเขาถึง…. แล้วทำไมฉันถึงต้องยิ้ม…”
“อา… จริงของเธอ”
สองพี่น้องที่เกลียดชังโลกเนื่องจากถูกล้อเลียนความอ้วนและอัปลักษณ์จนต้องเดินบนเส้นทางวายร้ายเพื่อแก้แค้น
แต่ในวินาทีนี้ เป็นครั้งแรกที่พวกเธอแอบชอบใครบางคน
เป็นความชอบที่ใกล้เคียงคำว่าเคารพ และเป็นความรู้สึกที่ทำให้โลกของพวกเธอเปลี่ยนไป
Comments
Post a Comment