จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,522
เสียงแห่งชัยชนะดังกังวานไปทั่วทวีป
มีผู้เล่นจำนวนไม่น้อยเข้าร่วมสมรภูมิท้องถิ่นตามภูมิภาค
ฮูเร็นผู้ทำนาขั้นบันไดบนเชิงเขาและเปลี่ยนพวกมันให้เป็นป้อมปราการตามแนวเทือกเขา เรกัสผู้ปักหลักป้องกันสะพานสายสำคัญตามลำพังจนกองทัพสัตว์อสูรหลายพันมิอาจข้ามผ่าน ฮิวรอยผู้ใช้คำพูดสองสามประโยคเพื่อกำราบแม่ทัพฝ่ายศัตรูที่ทำการปิดล้อมจุดหลบภัยของพลเรือน และอีกมากมาย
ข่าวลืออันน่าทึ่งเกิดขึ้นข่าวแล้วข่าวเล่า
ความยากลำบากของผู้เล่นฝั่งวิหารยาธานกลายมาเป็นประเด็นร้อนแรง
กล่าวกันว่าดาเมี่ยนและสวาปามจกบัลเผ็ดสามารถถ่วงเวลาข้ารับใช้ยาธานได้นานหลายวัน
นอกจากนั้นยังมีเหตุการณ์ที่เฮสเตอร์ ‘ผู้ตกยุค’ เอาชนะจอมอสูรได้ด้วยความร่วมมือจากกลุ่มที่ทำให้มันกลายเป็นคนตกยุค รวมถึงเหตุการณ์ที่ยูเฟอมิน่าและบราฮัมคอยเฝ้าปากทางเข้าห้วงนรกและสกัดกั้นมิให้กองทัพสัตว์อสูรผ่านออกมาได้เลยติดต่อกันสามชั่วโมง
บางเหตุการณ์ยอดเยี่ยมจนสมควรถูกจารึกไว้ในตำนาน
แต่ผู้คนกลับไม่ยินดีสักเท่าไร
สงครามคือนรก คำกล่าวนี้ไม่เคยผิด
นอกเหนือจากวีรกรรมแสนกล้าหาญของฝ่ายพันธมิตร ข่าวคราวการบาดเจ็บล้มตายคือสิ่งที่ได้ยินทุกวัน
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางสกัดกั้นกองทัพอสูรได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พวกอสูรเจ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แตกต่างจากจอมอสูร พวกอสูรจำเป็นต้องเจ้าเล่ห์และมากด้วยแผนการ เพราะพวกมันมิอาจพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองได้ตลอดเวลา มีไม่บ่อยครั้งที่จะเล็งโจมตีเป้าหมายซึ่งเก่งกาจกว่าตัวเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งเป็นอสูรที่อ่อนแอเพียงใด พวกมันก็ยิ่งเจ้าเล่ห์เพื่อเอาตัวรอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มอสูรที่มีพลังในการแทรกแซงหรือปลอมแปลงความฝันและความปรารถนาของมนุษย์ พวกมันเชี่ยวชาญการเล่นกับจิตวิทยาของมนุษย์ที่หวาดกลัวสงคราม
มีหลายตนปะปนไปกับสังคมมนุษย์เพื่อทำลายองค์กรหรือป้อมปราการจากภายใน
บ้างปลอมตัวเป็นขุนนางระดับสูงของจักรวรรดิและเข่นฆ่าผู้คนไปนับหมื่นภายในเวลาเพียงสองวัน สิ่งเหล่านี้เกิดจากความโชคร้ายที่ซ้อนทับ
พลังแห่งกลยุทธ์ช่างน่าสะพรึง
พวกมันช่วงชิงอำนาจและนำมาใช้ในทางที่ผิด เป็นการแสดงให้เห็นว่าเหตุใดสติปัญญาถึงเหนือกว่าพละกำลัง
“เป็นปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ดาเมี่ยนก็ยังบอกว่า ต่อให้โบสถ์รีเบคก้าจะยังคงอยู่ แต่สถานการณ์ก็คงไม่เปลี่ยนแปลง… พวกนักบวชของสามเทพไม่มีทางสังเกตเห็นอสูรที่จำแลงกายเป็นมนุษย์หรือไม่ก็ล่อลวงมนุษย์ผ่านความฝัน”
สัญลักษณ์ของอสูรคือปราณอสูร
เป็นระบบที่แปรผันตามความแข็งแกร่ง ยิ่งเป็นอสูรทรงพลัง ปราณอสูรก็ยิ่งเข้มข้นจนยากจะปกปิด
แต่ในทางกลับกัน อสูรที่อ่อนแอนั้นยากจะค้นหา โดยเฉพาะอสูรที่มีพลังในขอบเขตการปกปิดซ่อนเร้น
ฝ่ายมนุษย์ไม่มีทางเลือกนอกจากรอตอบสนองในตอนที่ ‘สัญญาณ’ เริ่มก่อตัวแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ทุกสัญญาณจะถูกสังเกตเห็น เพราะนี่คือยามศึกสงคราม มนุษย์ไม่ได้มองข้ามสัญญาณเพียงเพราะว่าโง่ แต่เป็นเพราะมีสิ่งอื่นให้ต้องสนใจมากกว่า
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องกวาดล้างอสูรกระจกให้ได้ มีผู้บัญชาการฝ่ายพันธมิตรถูกพวกมันสังหารไปแล้วยี่สิบสี่ราย”
อสูรที่โผล่ในกระจก
กลุ่มอสูรซึ่งต้องสงสัยว่ามีพลังในการเคลื่อนย้ายผ่านกระจกนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก มีหลายค่ายทหารต้องเป็นอัมพาตเพราะสูญเสียผู้บังคับบัญชา
“พวกเราก็ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว หลังจากวิเคราะห์จุดที่พวกมันเคยลงมือ เราสามารถตีกรอบตำแหน่งถัดไปให้แคบลงได้… แม้โอกาสผิดพลาดจะยังค่อนข้างมาก แต่ก็ถือเป็นความก้าวหน้า”
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการดังกล่าวมาพร้อมเงื่อนไข
เงื่อนไขที่ว่าระดับการคุ้มกันของบุคคลระดับ VIP อย่างไอรีนและลอร์ดจะลดลง เพราะหน่วยเงาถูกเรียกมาประจำการเพิ่มขึ้น รวมถึงเฟคเกอร์และคาซิม
แน่นอน คนที่น่ากังวลมากที่สุดคือไอรีน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เคยเกิดเหตุลอบสังหารขึ้นแม้แต่ครั้งเดียว
มีหลากหลายเหตุผลประกอบกัน
ประการแรก ผู้เล่นไม่คิดเล่นงานครอบครัวกริด พวกมันไม่กล้าล้ำเส้นดังกล่าวเพราะยังไม่อยากเลิกเล่นซาทิสฟาย
แต่อันที่จริง การเข้าใกล้ไอรีนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว
ผู้เล่นฝ่ายกองทัพอสูรล้วนเป็นสาวกวิหารยาธาน ย่อมไม่มีปัญญาจะลอบแทรกซึมปราสาทโอเวอร์เกียร์ได้ด้วยทักษะของจอมเวทมืด นอกจากนั้นระดับความปลอดภัยของกรุงไรน์ฮาร์ทก็ยังยอดเยี่ยมชนิดที่ราชสำนักใดก็เทียบไม่ติด
ประการที่สอง บรรดาอสูรไม่สนใจครอบครัวกริด จริงอยู่ที่บางตนอาจเกลียดชังและเคียดแค้นกริด แต่พวกมันก็ไม่นำเรื่องดังกล่าวมาเป็นประเด็นในสงคราม
ตราบใดที่ยังสามารถหลอกลวงและฆ่ามนุษย์ได้ง่ายดายตามท้องถนน พวกมันก็ไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นอยู่กับเป้าหมายที่เข้าถึงได้ยาก
นอกจากนั้น ฆ่าไอรีนแล้วได้อะไร?
ไม่มี
การทำเช่นนั้นจะสร้างความเสียใจให้มนุษย์แค่คนเดียว นั่นคือกริด การสร้างความเสียใจให้มนุษย์จำนวนมากต่างหากที่เป็นเป้าหมายของอสูร
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าความปลอดภัยของไอรีนไม่สำคัญ
หากเป็นไปได้ก็ควรพยายามอย่างสุดความสามารถในทุกสถานการณ์
นั่นคือเหตุผลที่ไอรีนหมกตัวอยู่ในวิหารเป็นส่วนใหญ่
มหาวิหารแห่งเทพโอเวอร์เกียร์สาขาหลัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาณาเขตที่ซาลิเอลประจำการอยู่คือจุดที่ปลอดภัยที่สุดของกรุงไรน์ฮาร์ท แถมยังอยู่ติดกับปราสาทโอเวอร์เกียร์ เป็นเรื่องง่ายที่จะระดมกำลังจากอัศวินหลวงและหน่วยเงา
“ตกลง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
ซาลิเอลผู้กำลังเศร้าโศกจากข่าวคราวการสูญเสียอันเกิดจากกองทัพอสูร ตอบสนองด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนตามนิสัยของเธอ
***
ราชาดาร์คเอลฟ์ ฮอร์บัส
เหตุผลที่กริดไว้ชีวิตแทนที่จะฆ่าทิ้งนั้นไม่ซับซ้อน
แม้เจ้านี่จะถูกกัดกร่อน แต่เอลฟ์ก็ยังเป็นเอลฟ์
เฉกเช่นสติกส์และเบเนียลู มันนับถือต้นไม้โลกประหนึ่งมารดา
ต้องไม่ลืมว่ามารดาต้นไม้โลกเคยประทานพรแด่ชาวโอเวอร์เกียร์ทุกคน
การทำร้ายฮอร์บัสจะสร้างความลำบากใจในหลายแง่มุม
‘แถมเหตุผลที่หมอนี่กลายเป็นดาร์คเอลฟ์ก็ยังเหลวไหลสิ้นดี’
ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงเรียกเอลฟ์ว่าชาวป่า และทำราวกับอีกฝ่ายเป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ
ส่งผลให้เอลฟ์ยังเป็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการของใครหลายคน
เป็นเผ่าพันธุ์ที่เก็บตัวเงียบ สามารถสื่อสารกับภูตธาตุและมีหน้าตาดี
แต่สำหรับกริด เผ่าเอลฟ์มิได้สลักสำคัญกับตน
ต้องไม่ลืมว่าชายหนุ่มมีสติกส์อยู่ข้างกายมานานแล้ว
และหนึ่งในเอลฟ์ที่เก่งกาจที่สุดก็ยังเป็นภรรยาของปิอาโร่
เรียกได้ว่าเห็นมาเกือบทุกแง่มุมของเอลฟ์ จึงมองอีกฝ่ายเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทั่วไป
“นายบอกว่าอยากพบฉัน?”
“ใช่… ตัวข้าผู้ต่ำต้อยริอ่านขอพบท่าน”
เผ่าเอลฟ์ถูกตัดขาดจากโลกมานานแล้ว และในหมู่พวกมัน เอลฟ์ชายคือกลุ่มที่ถูกตัดขาดนานกว่า
นั่นเพราะพวกมันพ่ายแพ้ในสงครามกับเอลฟ์หญิงจนต้องเก็บตัวในส่วนลึกสุดของป่าต้นไม้โลกเป็นเวลานาน
สำหรับฮอร์บัส วัฒนธรรมและองค์กรของมนุษย์คือสิ่งที่มันไม่คุ้นเคย
มันไม่เข้าใจและไม่คล้อยตามในหลายสิ่ง
แตกต่างกันตั้งแต่สามัญสำนึกพื้นฐาน
มีหลายครั้งที่มนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตที่คุ้นเคยกับมนุษย์ มองข้ามวัฒนธรรมบางอย่างที่สำคัญ
หนึ่งในนั้นคือมุมมองด้านความแข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งเอลฟ์จะวัดจากความเข้มข้นของกระแสมานาและความสามารถในการสื่อสารกับภูตธาตุ โดยมานาที่กล่าวถึงมิใช่มานาในร่างกาย แต่เป็นมานาที่หยิบยืมมาจากธรรมชาติ
นั่นคือเหตุผลที่ฮอร์บัสเข้าใจผิดคิดว่าปิอาโร่คือมนุษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
มนุษย์ทุกคนนอกจากปิอาโร่มิอาจเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ อย่างมากก็ทำได้เพียงยืมพลังมาใช้
ฮอร์บัสมองว่ามนุษย์ทุกคนช่างอ่อนแอ
ด้วยความคิดดังกล่าว มันถูกพาตัวมายังอาณาจักรโอเวอร์เกียร์และได้พบกริด
ฮอร์บัสตระหนักได้ในทันที
ความแข็งแกร่งของมนุษย์มิได้ต่ำต้อยกว่าเอลฟ์
เพียงแต่วิถีทางที่มนุษย์พยายามไขว่คว้านั้นต่างกัน
สมแล้วที่กลายเป็นเทพ…
ถูกต้อง
ฮอร์บัสพิจารณาจากสามัญสำนึกและเชื่อว่า กริดกลายเป็นเทพได้เพราะบรรลุวิชาต่อสู้ถึงระดับที่กำหนด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง กริดคือเทพสงคราม
มันแสดงความนอบน้อมต่อกริดถึงขีดสุด
“ข้าซาบซึ้งยิ่งนักที่องค์ฝ่าบาทยอมสละเวลาอันมีค่าเพื่อมาพบกับนักโทษผู้ต่ำต้อย… ข้ารู้สึกปีติยินดีเป็นล้นพ้น…”
“…”
กริดขมวดคิ้ว
อีกฝ่ายมิได้แสร้งทำ แต่เป็นท่าทีตามธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มไม่ชื่นชอบถ้อยคำประดิดประดอยของอีกฝ่ายสักเท่าไร เพราะสัมผัสได้ว่าตนกำลังจะได้เจอสถานการณ์ที่น่าอึดอัด
ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของเผ่าพันธุ์ ฮอร์บัสสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันที มันเปลี่ยนวิธีการพูดและกล่าวเข้าประเด็น
“ฝ่าบาทคงไม่มีเจตนาจะประหารข้า…”
สมองฮอร์บัสประมวลผลเกี่ยวกับทางเลือกที่แตกต่างกันกว่าร้อยเส้นภายในเสี้ยววินาที เป็นความสามารถซึ่งเกิดจากพลังธรรมชาติและระดับตัวตนที่ก้าวข้าม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันไตร่ตรองทุกสิ่งอย่างถี่ถ้วนก่อนจะพูด
กริดตอบโดยปราศจากความอึดอัด
“ฉันแค่คิดว่าความผิดของนายควรถูกตัดสินโดยป่า”
การฆ่าฮอร์บัสจะทำให้กริดลำบากใจไม่น้อย
อีกฝ่ายยังไม่ได้สร้างความเสียหายแก่อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ชายหนุ่มจึงไม่ต้องแก้แค้นให้ใคร
และอันที่จริง นี่เป็นปัญหาภายในครอบครัว ควรให้คนในครอบครัวจัดการกันเอง
‘ทูตของป่าจะโผล่ออกมาหลังจากมหาสงครามจบลงใช่ไหม?’
พวกมันคงไม่แวะมาระหว่างสงคราม
สงครามในปัจจุบันส่งผลกระทบไปถึงเอลฟ์เช่นกัน
ประตูมิติที่เชื่อมต่อนรกกับโลกกึ่งกลางนั้นสุ่มเกิดทุกซอกมุมของทวีป ไม่เว้นแม้แต่ในป่าต้นไม้โลก
เรียกได้ว่าบาเรียปิดกั้นของป่ากลายเป็นสิ่งไร้ความหมายไปชั่วคราว
“ข้ายอมตายเสียดีกว่าตกอยู่ในมือเอลฟ์… เอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตที่สร้างโทษมากกว่าประโยชน์ ข้าไม่ต้องการมอบชะตากรรมของตนให้พวกต่ำทรามที่ผูกขาดภูตธาตุในป่าต้นไม้โลกโดยอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องต้นไม้โลก… พวกมันก็แค่เอาแต่ขังตัวเองและหยุดพัฒนา…”
“…”
“ฝ่าบาท ได้โปรดเป็นผู้ตัดสินชะตากรรมของข้า”
ราชาดาร์คเอลฟ์กล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นผลกระทบอันเกิดจากการถูกปราณอสูรกัดกร่อนภายใน
พฤติกรรมของมันมิได้สำรวมเหมือนน้ำเสียง
ปราณอสูรภายในร่างกายกำลังกระตุ้นโทสะให้เดือดพล่าน
ในตอนแรก ฝ่ามือของมันประสานกันอย่างสำรวม แต่ปัจจุบัน ข้างหนึ่งเลื่อนมาที่เอว ส่วนอีกข้างเลื่อนมาใต้คางโดยไม่รู้ตัว
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นขณะเล่าเรื่องเอลฟ์ให้กริดฟัง
บางทีมันอาจไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
มันคงเข้าใจว่าสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้สมบูรณ์แบบ
เพราะน้ำเสียงและคำพูดยังคงสุภาพ แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด
“หืม…”
กริดรู้สึกชอบฮอร์บัส เป็นความประทับใจแรก
ฮอร์บัสนึกทบทวนอนาคตของตัวเองอย่างถี่ถ้วนขณะอยู่ในคุก
สมแล้วที่เป็นสิ่งมีชีวิตก้าวข้าม
นอกจากนั้น ความแข็งแกร่งก็ยังโดดเด่น หากเปลี่ยนให้เป็นลูกน้องได้คงมีประโยชน์มาก
‘อา… แถมเรายังหวังผลจากสมญานามราชาสหเผ่าพันธุ์ได้ด้วย ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ… หมอนี่เป็นอัจฉริยะที่คู่ควรแก่การอ้าแขนต้อนรับ’
มันอาจเป็นตัวการที่ทำให้เอลฟ์หญิงและชายแตกแยก แต่นั่นก็ไม่สำคัญ
ในตอนนั้น ฮอร์บัสมิได้ทำไปเพราะความโลภส่วนตัว เพียงปรารถนาความเท่าเทียมทางเพศ แม้แต่เบเนียลูก็ยอมรับในเรื่องนี้
แต่แน่นอน เราควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาได้รับปราณอสูรจากไหน…
กริดต้องการค้นหาและฆ่าอสูรที่ทำให้ฮอร์บัสกลายเป็นดาร์คเอลฟ์ เพื่อเป็นการขจัดปัญหาซ่อนเร้นที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
“ฉันจะลองคิดดู”
กริดตอบห้วนก่อนจะก้มมองเท้าฮอร์บัส
ฮอร์บัสมองตามลงไป จากนั้นก็เกิดความหวาดกลัว
เรานั่งไขว่ห้างตั้งแต่ตอนไหน?
ฮอร์บัสไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเลยสักนิด ราวกับมันนั่งไขว่ห้างมาตั้งแต่ต้น
ดูเหมือนว่า… เมื่อความเป็นเอลฟ์ผสานเข้ากับการเป็นสิ่งมีชีวิตก้าวข้าม ความโอหังในส่วนลึกจิตใจจะยิ่งถูกยกระดับ… และเมื่อผสานเข้ากับปราณอสูรก็จะยิ่งกระตุ้นจนเกิดความผันผวนหนัก… ถ้านำไปใช้กับศัตรูจะเป็นยังไงนะ… ถ้ามีฮิวรอยคอยกระตุ้นอีกแรงล่ะก็…
“…”
กริดยิ้มด้วยสายตาที่บ่งบอกว่าตนกำลังสนุก จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
ฮอร์บัสผู้นั่งไขว่ห้างโดยไม่รู้ตัวอีกครั้ง รีบหดขากลับเป็นปรกติ ขณะเดียวกันก็กล่าวขอโทษที่ตนทำตัวเสียมารยาทซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บรรดาคนงานที่กำลังซ่อมแซมเตาหลอมต่างแอบมองกริดจากระยะไกล
ในสายตาของพลเรือน กริดทำตัวราวกับเป็นเทพสงครามที่สามารถกำราบยอดฝีมือของโลกให้กลายเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย
***
ในเวลาเดียวกัน บนหมู่เกาะเบเฮ็น
‘นั่นมันอะไร…’
ขณะเฝ้ามองทหารกำลังรับประทานอาหาร ป็อนพลันประหลาดใจ
เพราะบางครั้งมันก็เห็นทหารบางคนกินข้าวด้วยมือสกปรกทั้งที่มีช้อนให้ใช้
สติแตกเพราะสงครามที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง?
‘ไม่ใช่… ดูไม่เหมือนแบบนั้นเลย’
เป็นความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป
แถมยังมีจำนวนมากจนมิอาจเพิกเฉย
คำพูดกริดแล่นเข้ามาในหัวป็อนทันที
ยูดาห์ลงมือแทรกแซงสงครามแล้ว
และอันที่จริง เมื่อไม่นานมานี้กองทัพศัตรูก็เริ่มฆ่าได้ยากขึ้น
‘อย่าบอกนะว่า…’
ยูดาห์คือเทพแห่งสุขภาพและปัญญา
คิดถึงตรงนี้ ป็อนเย็นวาบไปถึงสันหลัง
อาวุธหลายชิ้นที่ถูกทิ้งไว้บนพื้นโดยปราศจากเจ้าของ กำลังสะท้อนบนกระจกตาป็อน
เป็นสิ่งที่ทหารหลายคนทิ้งไว้และเดินจากไปหลังจากเสร็จมื้ออาหาร
ยูดาห์ ไอ้เทพเวร!!
ReplyDelete