จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,489



อัศวินดำเอลิกอสมิได้สนใจอันดับ


สัญลักษณ์


มันต้องการเป็นสัญลักษณ์ของนรก


นี่คือเหตุผลที่เอลิกอสฝังตัวอยู่ในนรกขุมที่ยี่สิบ ‘ปากสุนัข’ มานานหลายพันปี


ร่วมกันกับเซอร์เบอรัสซึ่งมีเศษเสี้ยวของเทวตำนาน เอลิกอสปกป้องแม่น้ำแห่งการคืนชีพและสลักภาพของตนไว้บนดวงวิญญาณคนตาย


มันจารึกชื่อของตนเอาไว้ในเสียงร้องอันโหยหวนของดวงวิญญาณที่มิอาจคืนชีพ


จงดู


จงฟัง


ข้าคือนรก


“…หืม”


มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรเป็นงานรื่นเริงที่ไม่สลักสำคัญอันใดในสายตาเอลิกอส แต่มันทราบดี สำหรับมนุษย์แล้ว สถานการณ์ปัจจุบันคือหายนะร้ายแรงที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกลับไปช่วย


เอลิกอสปิดกั้นทางหนีของนักล่าอสูรและพรรคพวก ตามด้วยการประกาศชะตากรรม


เอลิกอสต้องการเพลิดเพลินไปกับใบหน้าอันแสนสิ้นหวังของมนุษย์


แต่ผิดไปจากความคาดหมาย


ความหวาดกลัวและสิ้นหวังมิได้ปรากฏบนใบหน้าเหล่ามนุษย์ อาจเจือปนอยู่เล็กน้อยในตอนต้น แต่จากนั้นก็อันตรธานหาย


เอลิกอสถือว่านี่คือความน่าอับอาย


“ข้าไม่… น่ากลัวอย่างนั้นหรือ?”


การดูแคลนข้าคือการดูแคลนนรก


“พวกเจ้าช่างโอหังนัก”


ดวงตาสีแดงของเอลิกอสส่องแสงลอดผ่านหมวกเหล็กสีดำ


เป็นเลือด


ดวงตาของมันมิได้สว่างเพราะความโกรธ แต่เป็นเลือดที่คั่งตาจนเกิดภาพมายาของการส่องแสง


“…?”


ถูกฟันเข้าตอนไหน?


เอลิกอสที่เพิ่งตระหนักเมื่อสายว่าเฟคเกอร์หายตัวมาโผล่ด้านหลัง พ่นชื่อหนึ่งหลังจากนึกออก


“ลันเทียร์…”


เซอร์เบอรัสซึ่งคอยแบกเอลิกอส หัวไหล่ของมันสูงจากพื้นราวสิบเมตร


กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศัตรูต้องเสียเวลาปีนป่ายขึ้นในแนวตั้งหากหวังโจมตีในระยะประชิด


เรียกได้ว่า เอลิกอสช่วงชิงความได้เปรียบจากมุมสูงมาโดยตลอด และใช้มันเหยียบย่ำคู่ต่อสู้เสมอมา


แต่นี่คือครั้งแรกที่ความสูงมิใช่ข้อได้เปรียบ


วิชาเคลื่อนเงาช่างน่ารำคาญ


พลังในการย้ายตำแหน่งของตัวเองไปยังเงามืดในพริบตา ส่งผลให้ข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ต้องกลายเป็นหมัน


ทั้งมองไม่เห็นและคาดเดาไม่ได้ เซอร์เบอรัสจึงไม่มีโอกาสสกัดกั้น


‘แม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ข้างหลัง แต่เรากลับสัมผัสถึงตัวตนได้เลือนราง… ไม่ใช่ลันเทียร์ทั่วไป แต่เป็นตำนาน’


มันไม่ได้รับบาดแผลมานานแค่ไหนแล้ว?


ใบหน้าเอลิกอสใต้หมวกเหล็กเริ่มบิดเบี้ยว


มันหัวเสียกับเรื่องที่ตนต้องเสียหน้าด้วยฝีมือมนุษย์อ่อนแอ


แต่ก็เท่านั้น


เอลิกอสมิได้รู้สึกถึงวิกฤติ


ฉึบ!


เอลิกอสวาดมือไปด้านหลังโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง ท่อนแขนที่ถูกส่งแรงจากหัวไหล่ หมุนควงราวกับสว่าน เตรียมเจาะทะลวงหัวใจเฟคเกอร์อย่างโหดเหี้ยมและฉับพลัน


แต่เฟคเกอร์ก็สัมผัสถึงอันตรายได้รวดเร็ว


มันไตร่ตรองและเลือกทางออกที่ดีที่สุดจากหลายตัวเลือก


พร้อมกันนั้น ร่างกายขยับไปตามความคิด


นี่คือขอบเขตของอัจฉริยะ


และที่นี่เต็มไปด้วยอัจฉริยะ


“…!”


ฉัวะ!


หน้าอกเอลิกอสถูกฟันขาด


ขณะแขนของเอลิกอสข้างหนึ่งถูกตรึงไว้ด้วยเงาดำ เฟคเกอร์ใช้มีดในมืออีกข้างกรีดลงบนผิวหนัง


และนั่นคือวินาทีเดียวกับที่ปราณดาบพุ่งขึ้นจากด้านล่าง


เป็นปราณดาบที่ตัดผ่านมาจากท้องเซอร์เบอรัส


[ดาบอันทรงพลังของอริยดาบครอเกลทำการตัดผ่านรก]


โฮกกกก!!


ศีรษะทั้งสามของเซอร์เบอรัสคำรามพร้อมเพรียง เปลวไฟพวยพุ่งออกจากจมูกราวกับน้ำตก ปกคลุมพื้นที่ทุกตารางนิ้ว


เอลิกอสยังคงเงียบงัน พูดไม่ออกไปสักพัก นั่นเพราะมันถูกลูกธนูเสียบเข้าที่เส้นเสียงและปาก


ลูกศรซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พุ่งเสียบในจังหวะเดียวกับที่ปราณดาบปะทะร่าง ส่งผลให้มันไม่ทันสังเกตเห็น


‘ศรปราบมาร…’


เอลิกอสตื่นตัวทันที รีบดึงศรที่ปักอยู่ตรงคอและปาก ตามด้วยการควบแน่นปราณอสูร


‘เจ้าพวกนี้แข็งแกร่ง’


มันจำเป็นต้องยอมรับอย่างซื่อตรง


จะมีมนุษย์สักกี่คนที่โค่นจอมอสูรได้?


นี่คือความจริงที่ไม่ควรมองข้าม


แต่แน่นอน เอลิกอสมิได้เสียขวัญ


เพียงตระหนักถึงอันตรายและเริ่มแสดงฝีมือที่แท้จริง


เอลิกอสซึ่งประสบความสำเร็จในการรับมือการ ‘รุมขนาบ’ จากอริยดาบและลันเทียร์ด้วยม่านบาเรีย ก้มหน้ามองลงมาบนพื้นนรก


มันพบว่าม่านแสงของมนุษย์กำลังผลักลูกไฟของเซอร์เบอรัสออก รวมถึงเรื่องที่คำสาปกลายเป็นอันเดดของตนถูกชำระล้าง


‘นักบุญหญิง?’


ฉากตรงหน้าค่อนข้างน่าประทับใจ


ไม่เพียงนักล่าอสูร อริยดาบ ลันเทียร์ และอริยศร แต่ยังมีนักบุญหญิงด้วย?


มันตัดสินใจยกระดับความตื่นตัว


ลางสังหรณ์กำลังบอกเอลิกอสว่า อันตรายตรงหน้าไม่ต่างจาก ‘เทพฝีมือปานกลาง’ ที่ตนเพิ่งปล่อยหลุดมือไปเมื่อไม่นาน


หากไม่กำจัดให้สิ้นซากในวันนี้ เกรงว่าในอนาคตคงได้เผชิญวิกฤติร้ายแรง


“…ข้าขอชื่นชมด้วยหัวใจ”


แท่งเงาดำพุ่งลงไปบนพื้นที่กำลังลุกไหม้


หอกยักษ์ซึ่งสร้างโดยปราณอสูรของเอลิกอส แหวกอากาศเข้าหากลุ่มคณะสำรวจอย่างแม่นยำ


สิ่งมีชีวิตที่ได้รับสมญานามว่า ‘สีดำ’ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย


หนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของนรก ทำการโจมตีด้วยจิตสังหารอันท่วมท้น


กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันยอมรับว่าคณะสำรวจเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง


แต่ทันใดนั้น


“โพรมิเนนซ์ เวฟ” (Prominence Wave)


ปรากฏการณ์ที่ไม่ควรเกิดกับนรกขุมที่ยี่สิบซึ่งอัดแน่นไปด้วยปราณอสูร กำลังเกิด


เป็นปรากฏการณ์ทางเวทมนตร์ มิใช่ผลพวงจาก ขอบเขตของโลกและนรกถูกทำลาย


ดวงอาทิตย์ขนาดย่อมกำลังเปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นเป็นสีแดงส้ม


มันทั้งร้อนและสว่างยิ่งกว่าไฟนรกบนพื้น


มวลความร้อนดังกล่าวสามารถละลายหอกปราณอสูรของเอลิกอสพร้อมกับโจมตีใส่ร่างต้น ส่งผลให้จอมอสูรลำดับยี่สิบได้รับความเจ็บปวดที่มันไม่คุ้นเคย


เวทมนตร์ซึ่งเอาชนะปรากฏการณ์ทุกชนิดด้วยความร้อนที่เหนือจินตนาการ


นี่คือวินาทีที่ยูเฟอมิน่า นำสุดยอดเวทมนตร์ซึ่งมูมัดคิดค้นในทางทฤษฎี มาปฏิบัติให้สำเร็จได้จริง


“คึ่ก… บ้าบอสิ้นดี”


ยูเฟอมิน่าครางในลำคอเสียงสั่น ขัดแย้งกับความยอดเยี่ยมที่เพิ่งแสดงให้ทุกคนเห็น


นั่นเพราะเธอได้รับโทษ ‘ใช้มานาเกินขีดจำกัด’ จากการปลดปล่อยเวทมนตร์เพียงครั้งเดียว


ปัญหาสำคัญคือสภาพแวดล้อมของนรกขุมที่ยี่สิบเอ็ด มานาบางส่วนของเธอถูกกีดขวางการไหลเวียน


“ฉันจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้สามนาที!”


ยูเฟอมิน่าตะโกนบอกพวกพ้อง


“เมื่อครู่… เวทมนตร์อะไร?”


เอลิกอสตั้งคำถาม


เสียงของมันดังควบคู่มากับเสียงสากและแหลมอันเกิดจากการเสียดสีของคมดาบ


วิชาชักดาบฟันของพีคซอร์ด สิ่งนี้สร้างแรงบันดาลใจให้ครอเกลได้มากมายระหว่างการเดินทาง


โฮกกกก!!


พีคซอร์ดชักดาบฟันใส่ศีรษะหนึ่งของเซอร์เบอรัสจนมันอาละวาด


ร่างของเอลิกอสที่กำลังลุกไหม้อยู่ด้านบน ซวนเซเล็กน้อย แต่สถานการณ์ของคณะสำรวจกลับเลวร้ายยิ่งกว่า


หมอกพิษแพร่กระจายไปทุกทิศ ผืนดินสั่นสะเทือนและพังครืน ส่งผลให้ค่ายกลของคณะสำรวจสูญเสียเสถียรภาพ


ครอเกลซึ่งกระโจนขึ้นไปบนโคนหางของเซอร์เบอรัส มีอันต้องชะงักไปครู่หนึ่ง


ในระหว่างนั้น เอลิกอสเสร็จสิ้นการดับเปลวไฟที่ลุกท่วมร่าง


พีคซอร์ดส่ายหน้า


“ให้ตายสิ… ไม่สำเร็จหรอกหรือ?”


“ก็เออสิวะ!”


แวนเนอร์ตำหนิพีคซอร์ดที่ตัดหัวเซอร์เบอรัสไม่สำเร็จจนทำให้สัตว์ประหลาดตัวนี้อาละวาด พลางยกโล่ป้องกันรูบี้ด้วยความยากลำบาก


ไม่มีคลื่นกระแทกใดถูกส่งไปถึงรูบี้


เปรี้ยง!!


หอกปราณอสูรของเอลิกอสกระแทกโล่แวนเนอร์เข้าอย่างจัง


เนื่องจากถูกหมอกพิษของเซอร์เบอรัสกัดกร่อนมาสักพัก โล่ที่สูญเสียความทนทานไปมาก ปรากฏรอยแตกร้าวขนาดใหญ่


กระทั่งโล่เกรดเลเจนดารีที่กริดสร้าง ก็ยังมิอาจต้านทานความยิ่งใหญ่ของสัตว์เทวตำนาน


“ไอ้สัตว์ประหลาดระยำนี่…”


แวนเนอร์เย็นวาบไปถึงสันหลัง ขวัญหนีดีฝ่อเล็กน้อย ด้วยกังวลว่าจะถูกเอลิกอสโจมตีซ้ำ


แต่โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ตอบสนอง


ครอเกลซึ่งกระโจนขึ้นไปบนโคนหางเซอร์เบอรัสสำเร็จ ดึงความสนใจจากเอลิกอสจนทั้งสองฝ่ายแลกอาวุธกันอย่างดุเดือด


“ทุกคนสู้เค้า!”


รูบี้ไม่อยากให้การคุ้มกันของพวกพ้องต้องสูญเปล่า เธอเร่งสาดบัฟทั้งหมดปกคลุมร่างกายสมาชิกปาร์ตี้ และในเวลาเดียวกัน เฟคเกอร์โผล่ขึ้นจากเงามืดด้านหลังหญิงสาว


“จับมือฉันไว้”


คณะสำรวจรู้จักเอลิกอสเป็นอย่างดี


นั่นเพราะยูร่าเคยย้ำเตือนหลายครั้งว่า เอลิกอสคือหนึ่งในจอมอสูรสุดอันตราย


แต่สาเหตุโดยแท้จริงที่ทำให้ทุกคนฟื้นคืนสติกลับมาได้เร็ว นั่นเพราะสถานการณ์มิได้สิ้นหวังมากนัก


บทลงโทษที่ทำให้มิอาจคืนชีพ?


นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แค่คอยระวังไม่ให้ถูกฆ่า ‘โดยเอลิกอส’ ก็พอแล้ว


จวบจนปัจจุบัน ประตูนรกของยูร่ายังคงเปิดอยู่


แม้เอลิกอสจะขวางประตูไว้ แต่ด้วยวิชาเคลื่อนเงาของเฟคเกอร์ การกระทำดังกล่าวจึงไม่มีความหมาย


เหนือสิ่งอื่นใด ดาบผ่ามิติของครอเกลก็ช่วยปรับเปลี่ยนภูมิประเทศไปเล็กน้อย


ฉึบ!


ทุกครั้งที่เฟคเกอร์ย้ายเงา ร่างของพวกพ้องจะถูกเพิ่มเข้ามาในอ้อมแขน


รูบี้ จิสึกะ พีคซอร์ด ยูเฟอมิน่า


มันเลือกเฉพาะบุคคลที่เป็นแกนหลักสำคัญในการกลับไปช่วยโลก


“แล้วเจอกัน!”


“ทุกคน… กลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้นะ!”


“พวกเราจะปกป้องโลกเอง”


“พิกัดปลายทางคือก็อดกริดใช่ไหม!?”


ตลอดการสำรวจที่ผ่านมา หนึ่งในความสำเร็จครั้งใหญ่ของยูร่าคือการอัปเกรดทักษะ ‘ประตูนรก’


จำนวนคนผ่านเข้าออกเพิ่มเป็นสี่ และความแม่นยำของพิกัดก็สูงขึ้น


ระยะหน่วงลดเหลือยี่สิบนาที หักออกจากระยะเวลาในการร่ายอีกสามนาทีครึ่ง ระยะหน่วงที่แท้จริงจึงเป็น 16 นาที 30 วินาที


จนกว่าจะถึงตอนนั้น


“ทุกคนอดทนไว้”


แกนนำของคณะสำรวจที่ยังเหลือคือครอเกล เฟคเกอร์ และยูร่า พวกมันวางแผนรับมือกับเอลิกอส


แน่นอน ไม่มีใครคิดฝืนเกินตัว


พวกมันทราบดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้กลับบ้านผ่านประตูนรก


ประตูนรกคงเปิดได้อีกแค่สองถึงสามครั้ง


ต้องทำทุกวิถีทางให้มีคนกลับไปอย่างปลอดภัยมากที่สุด


“อย่าลืมว่า… หลังจากนี้จะไม่มีนักบุญหญิงคอยสนับสนุน”


“อือ”


ได้ยินคำเตือนจากยูร่า คณะสำรวจกลับมามีสมาธิอีกครั้ง


หากชีวิตเป็นอันตรายเมื่อใด อย่าลังเลที่จะฆ่าตัวตาย…


ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีทางเลือกใดดีกว่านี้อีกแล้ว


สำหรับบทลงโทษที่รุนแรงอันเนื่องมาจากความตาย พวกมันคงต้องอ้าแขนรับไว้ด้วยความเต็มใจ


อย่างน้อยก็ยังดีกว่าถูกเอลิกอสฆ่าเป็นร้อยเท่า


***


ดวงจันทร์ซึ่งกำลังส่องสว่างบนฟากฟ้า พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ กึ่งกลางดวงจันทร์ยุบพองประหนึ่งหัวใจเต้น จากนั้น ดวงตาชุ่มเลือดนับหมื่นดวงพลันลืมขึ้นโดยพร้อมเพรียง


ราวกับดวงดาวตกตะลึงกับภาพที่เห็น พวกมันต่างพากันอับแสง


โลกกลายเป็นนรก


ผลจากการแทรกซึมอย่างท่วมท้นของปราณอสูร ฝีมือและความแข็งแกร่งของมอนสเตอร์ทั้งหมดถูกยกระดับบนโลกกึ่งกลาง


มอนสเตอร์เกรดรองกลายเป็นเก่งกาจ ส่วนมอนสเตอร์ระดับสูงซึ่งมีเลเวลเกินกว่าสี่ร้อยล้วนทวีความแข็งแกร่ง เมืองเล็กใหญ่ในละแวกใกล้เคียงทยอยถูกรุกรานทีละหนึ่ง


ท่ามกลางท้องฟ้าอันน่าขยะแขยง ประตูมิติจำนวนมหาศาลถูกเปิดออกราวกับใบหน้าที่มีหลุมสิว


เป็นไปไม่ได้เลยที่จะนับจำนวนอย่างละเอียด ให้เรียกว่าอนันต์ยังเข้าใจง่ายกว่า


ฝูงประตูมิติอันท่วมท้น สามารถมองเห็นได้จากทั่วทุกมุมโลกขอเพียงแหงนหน้าขึ้นท้องฟ้า


อสูรและเผ่าอสูรเริ่มกรูกันออกมาจากประตูมิติ


“บ้าน่า… นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรือ”


ผู้เล่นสังกัดโบสถ์โดมิเนียนและยูดาห์ต่างพากันตื่นตระหนก


ในสถานการณ์ปัจจุบัน ศาสนารีเบคก้าซึ่งเป็นเสาหลักของสามเทพ กำลังถูกกวาดล้างอย่างหนัก


ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผู้เล่นของโบสถ์รีเบคก้าจึงได้รับอิสระอย่างเต็มที่ แต่ผู้เล่นของอีกสองโบสถ์กลับไม่ต่างอะไรกับถูกจองจำ


แม้ว่าฝ่ายที่สังกัดจะสูญเสียอำนาจจนไม่มีอนาคตอีกต่อไป แต่พวกมันก็มิอาจถอนตัว เนื่องจากระบบไม่อนุญาต


“กริดน่าจะทำลายโบสถ์โดมิเนี่ยนกับยูดาห์ไปด้วยนะ… ฮะฮะ!”


ผู้เล่นทั่วโลกต่างตระหนักถึงเหตุการณ์ในวาติกันจากสื่อหลัก


ทุกคนล้วนทราบว่า เทวทูตซึ่งสวมรอยเป็นสันตะปาปา พยายามยั่วยุกริดและกิลด์โอเวอร์เกียร์


ผู้คนมากมายได้เห็นเทวทูตพยายามฆ่าสาวกของโบสถ์รีเบคก้าด้วยใบหน้าเย็นชา


ไม่มีใครเข้าใจเจตนาของเทพธิดารีเบคก้า เหตุใดเธอถึงเพิกเฉยทั้งที่เหล่าสาวกของตนกำลังจะถูกฆ่า?


หลักฐานดังกล่าวประจักษ์ชัดมากพอที่จะให้ตั้งคำถามกับสามโบสถ์หลัก


ใจจริง ผู้เล่นจำนวนมากต้องการจะเพิกเฉยต่อระบบและถอนตัวจากการเป็นสมาชิกโบสถ์


แต่นั่นก็ไม่เกิดขึ้น เพราะยังถูกผูกมัดไว้ด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว


ภารกิจเกี่ยวกับมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรของพวกมัน ต้องทำภายใต้ ‘สังกัด’ ปัจจุบันเท่านั้น


“ทำยังไงได้… ถ้าถอนตัวไม่ได้ ก็มีแต่ต้องปรับตัว”


ผู้เล่นฝ่ายโดมิเนี่ยนและยูดาห์ระงับความกังวลและจำใจเข้าสู่สนามรบ


แต่ปัญหาคือ สนามรบของพวกมันถูกกำจัดขอบเขตแค่ในวิหารโดมิเนี่ยนและยูดาห์


“บ้าจริง… ทั้งที่ข้างนอกเกิดกำลังเรื่อง แต่ภารกิจของเรากลับมีแค่การปกป้องวิหาร… แถวนี้แทบไม่มีประตูมิติด้วยซ้ำ… เพื่ออะไร?”


“เบื้องบนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เลวร้ายที่สุด ปัจจุบันสูญเสียชื่อเสียงไปมากพอแล้ว ถ้ายังสูญเสียวิหารไปอีก เกรงว่าชะตากรรมคงไม่ต่างจากโบสถ์รีเบคก้า”


“ให้ตายสิ… ไม่มีมอนฯ เลย… การเลือกข้างให้ถูกสำคัญชะมัด ไม่อย่างนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”


“แบบนี้อาจจะดีก็ได้”


“ดียังไง?”


“พื้นที่อื่นกำลังโกลาหลสุดขีด หลายคนตายไปแล้วสองครั้งจนถูกกำจัดการออนไลน์ มีคนไม่น้อยโวยวายอยู่ในฟอรั่ม บางคนสังกัดกองทัพจักรวรรดิด้วยซ้ำ”


“หืม… กำลังจะบอกว่า สถานการณ์ร้ายแรงกว่าที่เราคิด?”


“บางจุดมีประตูมิติมากกว่าสิบแห่ง มอนสเตอร์กรูออกมาจนนับจำนวนไม่ได้ มีผู้เล่นหลายคนรับมือไม่ไหวและตายไป สภาพไม่ต่างจากเกม ‘กันบ้าน’ … บางครั้งก็มีอสูรปะปนมากับมอนสเตอร์… นรกบนดินชัดๆ”


“การที่พวกเราไม่ต้องเผชิญหน้าศัตรู แปลว่าพวกเราจะไม่ตาย… มหาสงครามไม่ใช่สิ่งที่จะสิ้นสุดภายในหนึ่งถึงสองวัน ฉันคิดว่าการอดทนรอโอกาสคือกุญแจสำคัญหากต้องการอยู่รอด”


“ฉันเพิ่งล็อกเอาต์ไปตรวจสอบสถานการณ์ข้างนอก และไม่ผิดจากที่คิด นรกบนดินของแท้… ว่ากันว่ามีอัศวินความตายปรากฏตัวในอาณาจักรไวโอเล็ต มันทำลายปราสาทด้วยตัวคนเดียว การเหวี่ยงดาบเพียงหนึ่งครั้งคร่าชีวิตผู้คนไปนับร้อย…”


“โม้ล่ะมั้ง”


“เกินไป… พังปราสาทด้วยตัวคนเดียวเนี่ยนะ… ฮะฮะ! เป็นเรื่องแต่งที่ตลกชะมัด”


“แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์กำลังเลวร้าย… เฮ้อ… ไอ้โง่หน้าไหนกันนะที่เรียกวิกฤติแบบนี้ว่าอีเวนต์…”


“พวก SA กรุปที่คอยเขียนบท… ต้องเสียสติไปแล้วแน่”


***


กรุงไรน์ฮาร์ท เมืองหลวงของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์


คนงานจำนวนมากและหัตถ์เทวะกำลังเคลื่อนไหวภายใต้คำสั่งของเฒ่าเคย์


อบปูน ผสมสารยึดเกาะ ก่ออิฐ ติดอุปกรณ์ และอีกมาก


คนงานซึ่งลงแรงกันอย่างเต็มที่ ร่างกายเริ่มอ่อนเพลียเนื่องจากพักผ่อนน้อย


ในตอนแรก พวกมันแค่ทราบว่าสงครามใหญ่กำลังจะเริ่ม แต่ปัจจุบัน พวกมันได้ทราบแล้วว่าสงครามเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ


ร่างกายถูกใช้งานอย่างหนักจนแทบจะไร้เรี่ยวแรง


กริดเองก็เช่นกัน


“นายยังไหวนะ?”


หลังจากออกไปเก็บเลเวลสักพัก เฮสเตอร์ตรวจพบสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล จึงกลับมาที่ปราสาท


เมื่อได้อ่านข่าวที่พรั่งพรูจากทั่วทุกมุมโลก มันมิอาจเก็บซ่อนความกังวล


“ความเสียหายต้องไม่ธรรมดาแน่… เพราะกองทัพจักรวรรดิและพันธมิตรไปกระจุกอยู่ที่กรุงไททันและหมู่เกาะเบเฮ็นกันหมด”


กริดส่ายหน้า


“ไม่ต้องกังวล… ความจริงยังไม่เปลี่ยน หมู่เกาะเบเฮ็นกับห้วงนรกยังคงเป็นทางผ่านหลักของกองทัพอสูร”


“พวกนายคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกอสูรจะรุกรานโลกแบบสุ่ม?”


“ใช่”


นี่คือหนึ่งในข้อสันนิษฐานของลอเอลและกุนซือจากวัลฮัลล่า


ถึงสถานการณ์จะออกหน้าเลวร้ายที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในการเตรียมตัว


ตราบใดที่จอมอสูรลำดับต้นๆ ยังไม่โผล่หัว ตัวตนทรงพลังซึ่งสามารถดูแลภูมิภาคได้ตามลำพัง ถูกกระจายออกไปทั่วทวีปแล้ว


ตัวอย่างที่ชัดเจนคือบราฮัม เนเฟลิน่า และคู่หูซิกเฟรคเตอร์ ซีบาล


ดาเมี่ยนและฮูเร็นเองก็เข้าประจำตำแหน่ง


เหนือสิ่งอื่นใด ปิอาโร่และเหล่าขุนพลเพิ่งกลับมาถึง


สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแบกรับความเสียหายเป็นวงกว้าง แต่อย่างน้อยก็ลดผลกระทบไปได้มาก


ขณะเฮสเตอร์กำลังจ้องกริดซึ่งมีสีหน้ามืดมน


“ก็อดกริด!!”


จากระยะไกล ใบหน้าของบุคคลที่คุ้นเคยกำลังวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับโบกไม้โบกมือ


พีคซอร์ด จิสึกะ ยูเฟอมิน่า และรูบี้


กริดซึ่งทำหน้าเศร้า ดึงสิ่งที่เตรียมไว้ออกมา


“มาอาละวาดกันเถอะ”


“เชื่อมือฉันได้เลย!”


“บ้าน่า… ลูกแก้วนี่มันอะไร? ไม่มากไปหน่อยหรือ?”


“…”


เมื่อเห็นกริดมอบไอเท็มให้พวกพ้องอย่างสนิทใจ และอีกฝ่ายก็ตอบรับอย่างตื่นเต้น เฮสเตอร์ตระหนักถึงบางสิ่ง


พลังอำนาจของกริด ไม่ได้มาจากตัวกริดแค่คนเดียว


ชายคนนี้คือช่างตีเหล็ก


ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ทุกคนรอบตัวจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง


เฮสเตอร์เริ่มเชื่อว่า สถานการณ์สงครามอันแสนสิ้นหวังตรงหน้า อาจพลิกผันได้ในสักวัน

______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,031
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00