จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,482



‘ถึงเวลาออกไปเก็บเลเวลหลังจากห่างหายไปนานหรือยัง?’


สำหรับเฮสเตอร์ ช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานั้นมีค่าดั่งทองคำ มีค่าพอๆ กับช่วงเวลาในยุครุ่งเรืองของตน


เมื่อก่อนมันมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องโดยไม่ล้มเหลวเลยสักครั้งไม่ใช่หรือ?


ทั้งหมดต้องขอบคุณกริดและหัตถ์เทวะ แม้ตอนนี้จะยังมิอาจเอาชนะหัตถ์เทวะแปดข้างได้ แต่เฮสเตอร์ก็อยากไปเก็บเลเวลด้วยทักษะและเทคนิคใหม่ที่เพิ่มเข้ามา


ทว่า การออกไปจากนอกนั้นติดปัญหาอยู่หนึ่งเรื่อง นั่นคือมันจะกลับเข้ามาที่ปราสาทโอเวอร์เกียร์ไม่ได้ เพราะตอนนี้ยังไม่ใช่สมาชิกโอเวอร์เกียร์ ต้องรอให้ลอเอลอนุญาตเสียก่อน


‘อยู่เฉยๆ ไปอีกสักพักก็แล้วกัน’


ขณะเฮสเตอร์กำลังนั่งตามลำพังในสวนเงียบๆ และจ้องน้ำพุที่สะท้อนแสงระยิบระยับ


“กินอะไรหรือยัง?”


อัศวินที่เดินผ่านมาชวนคุย ไม่ใช่ใครนอกจากอัศวินรอยแมนที่ใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ แต่ถึงอย่างนั้น บรรยากาศรอบตัวกลับเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม ดวงตาลุ่มลึกราวกับไร้ก้นบึ้ง เฮสเตอร์สัมผัสได้ถึงช่วงเวลาอันยากลำบากที่เธอต้องฝ่าฟัน


แต่เรื่องที่น่าตั้งคำถามก็คือ เหตุใดเธอถึงต้องแต่งกายด้วยเครื่องแบบอัศวินชายทุกกระเบียดนิ้วเช่นนี้?


เสียของมาก…


“กินแล้ว…”


มันแวะพักกินขนมปังระหว่างถูกหัตถ์เทวะรุมยำ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเล่าออกไป


รอยแมนยิ้มให้เฮสเตอร์พร้อมกับผงกศีรษะ


“จะไปกินที่ห้องอาหารก็ได้นะ อาหารของวังหลวงสุดยอดมาก แต่ขอเตือนให้ข้ามอาหารเช้าในช่วงวันหยุด”


เป็นคำแนะนำที่มีค่าสำหรับมันมาก


อัศวินตรงหน้าเฮสเตอร์ อัศวินอาวุโสของอาณาจักรที่ได้รับเกียรติให้ติดผ้าคลุมสีแดง กำลังปฏิบัติต่อเฮสเตอร์ประหนึ่งแขกพิเศษ มิใช่คนแปลกหน้าที่ไม่ได้รับเชิญ


“ขอบคุณสำหรับข้อมูล”


นับตั้งแต่สูญเสียอาจารย์ เฮสเตอร์ก็อยู่ตามลำพังมาตลอด แต่กลับถูกรายล้อมด้วยผู้คนตั้งแต่ตอนไหนก็มิอาจทราบได้


ความรู้สึกที่ห่างหายไปนานช่วยมอบความอบอุ่นแก่หัวใจเฮสเตอร์จนมันยิ้มไม่หุบ


ขณะเฮสเตอร์เดินจากไปด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ และรอยแมนกำลังยืนมองแผ่นด้วยสีหน้าฉงน


ทันใดนั้น


“…!”


ลึกเข้าไปด้านในวังหลวง


คลื่นกระแทกสองระลอกเกิดขึ้นใกล้กับโรงตีเหล็กของกริด เป็นการเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า


เส้นหนึ่งเป็นของกษัตริย์กริด แต่รอยแมนไม่ทราบว่าอีกหนึ่งเส้นเป็นของใคร เพราะเป็นกระแสพลังงานที่ทั้งประหลาดและแข็งแกร่ง ราวกับมีตัวตนจากนรกหรือสวรรค์บุกรุกเข้ามา


“นี่มัน…”


รอยแมนรีบปรี่ไปยังทิศทางของโรงตีเหล็ก อัศวินและนักลอบสังหารจำนวนหนึ่งที่ประจำการในวังปรากฏตัวและวิ่งตามสมทบรอยแมน


“ด…เดี๋ยวก่อน! พวกนายไม่ควรไปทางนั้น…”


เฮสเตอร์พยายามห้าม แต่ก็เปล่าประโยชน์ มีคนเพียงหยิบมือในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ที่สามารถออกคำสั่งกับอัศวินและนักลอบสังหาร


***


“อย่าลืมว่าเจ้าเองก็มีวิชาดาบราชาไร้พ่าย อย่าได้มองมันแตกต่างจากท่ารำดาบ จงหาโอกาสผสมผสานเฉกเช่นที่ใช้ชุนโปร่วมกับท่ารำดาบ”


เมื่อสักครู่ กริดเพิ่งผสมผสานชุนโปเข้ากับ ‘คลื่นทำลายล้างมายาร่ายรำสังหาร’ แถมยังทำออกมาได้อย่างหมดจดและคล่องแคล่ว แตกต่างสมัยก่อนที่ต้องใช้ชุนโปก่อนท่ารำดาบ หรือไม่ก็ใช้เชื่อมระหว่างท่ารำดาบ


การใช้ชุนโปแบบเก่าจะเป็นลักษณะของการทำคอมโบ แต่การใช้แบบใหม่จะดูคล้ายกับการสอดแทรก ‘เทคนิค’ เพิ่มเข้าไปในท่ารำดาบ


‘เราสามารถผสานท่ารำดาบกับวิชาดาบราชาไร้พ่ายเข้าด้วยกันได้?’


อาจไม่ได้หมายถึงระบบ ‘ผสานทักษะ’ เพราะระบบดังกล่าวเป็นเหมือนฟังก์ชันลับที่จะเกิดขึ้นกับเหตุการณ์พิเศษเท่านั้น


ถ้าการผสานทักษะมันง่ายขนาดนั้น ป่านนี้ผู้เล่นทั่วโลกคงมีค่าเฉลี่ยจำนวนทักษะอยู่ที่หลักร้อยต่อคน


วิชาดาบราชาไร้พ่ายเป็นทักษะแยกที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพสูง จึงมีโอกาสต่ำมากที่จะผสานเข้ากับท่ารำดาบได้ เฉกเช่นที่ข้อความระบบไม่แสดงขึ้นมาถามถึงการผสานทักษะขณะใช้ชุนโปสอดแทรกในท่ารำดาบ


‘ถ้าต้องการผสาน… ก็คงต้องนำท่ารำดาบไปต่อท้ายวิชาดาบราชาไร้พ่าย… ด้วยการเพิ่มท่วงท่าอีกเล็กน้อย…’


จะทำได้จริงหรือ?


ชุนโปถูกจำแนกให้เป็นทักษะเคลื่อนที่ การสอดแทรกเข้าไประหว่างทักษะจึงเกิดขึ้นได้ในทางสามัญสำนึก แต่ปัญหาคือชื่อของทักษะ


วิชาดาบราชาไร้พ่าย ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นทักษะดาบ หากฝืนใช้งานวิชาดาบราชาไร้พ่ายระหว่างการรำดาบ ท่วงท่าที่เหลืออยู่ก็จะถูกยกเลิกอย่างไม่ต้องสงสัย


‘หืม…’


กริดฉุกคิดถึงบางสิ่ง ท่ารำดาบที่มี ‘คลื่น’ ผสานเข้าไปจะมีช่องว่างระหว่างรอยต่อเล็กน้อย นั่นเพราะการใช้ ‘คลื่น’ จะต้องตวัดดาบไปในแนวนอนเป็นวงกว้าง จึงเกิดช่องว่างเล็กน้อยในตอนที่เสียเวลาดึงดาบกลับ


‘…ถ้าสอดแทรกวิชาดาบราชาไร้พ่ายเข้าไปตรงนั้น?’


กริดเริ่มคำนวณในหัว


เปลี่ยนจากการดึงดาบออกไปวงนอกเป็นการดึงกลับเข้ามาแนบลำตัวและออกแรงบิดเอว…


กล่าวอีกนัยหนึ่ง กริดต้องการจะหลอมรวม ‘ช่องว่าง’ ของคลื่นให้เป็นเนื้อเดียวกับวิชาดาบราชาไร้พ่าย


‘…อาจจะทำได้’


แต่นั่นจะมาพร้อมกับภาระทางกล้ามเนื้อแขน เอว และหลัง หากจะฉีกขาดไปในทันทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด


ถึงอย่างนั้นก็คุ้มค่าที่จะลองดู เพราะธรรมชาติของคลาสเกรดมิธคือการฝืนหลักฟิสิกส์ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว


โอกาสไม่ได้เป็นศูนย์…


“ได้แนวคิดแล้วหรือ”


บีบันรอให้กริดคิดเสร็จ ระหว่างนั้นก็หันไปมองแรนดี้ที่กำลังขี่หลังแมวตัวเล็ก รวมถึงเหล่าแวมไพร์ที่จ้องมองมันด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง


‘เขาสามารถจัดการกับพวกนั้นได้บางส่วนในระหว่างที่เราดำดิ่งไปกับความคิด’


อาจดูเหมือนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย แต่กริดกลับทึ่งในเกียรติยศของนักดาบที่คอยฉุดรั้งความเกรี้ยวกราดของบีบัน


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้ม พลางคิดว่าชีวิตนี้บีบันคงเปลี่ยนนิสัยไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านใด


ถึงจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่บีบันก็เป็นชายที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและหลักการ


กริดเริ่มเข้าใจว่าทำไมหอแห่งปัญญาถึงไม่ไล่บีบันออกทั้งที่ก่อปัญหามาเป็นร้อยๆ ปี


“ใช่… ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ”


ระยะเวลาของการผสานไอเท็มหมดลง กริดใช้พลัง ‘เสมือนเทพ’ ที่ถูกยกระดับเพื่อล้างระยะหน่วง แต่ก็ไม่รีบร้อนผสานไอเท็มใหม่ทันที


อันดับแรก มันตั้งคำถาม


“ผมสงสัยว่า… อวัยวะของคุณสามารถงอกออกมาได้ไหมถ้าพวกมันโดนตัดออก?”


“หืม? คิดจะตัดแขนข้าหรือ?”


“อาจจะไม่ใช่แค่แขน”


“หึหึ… ข้าได้ยินมาว่าข้อดีของเด็กสมัยนี้คือการพูดตรงๆ แต่คำพูดของเจ้าน่ารังเกียจชะมัด… นั่นไม่ใช่จุดแข็งแล้ว แต่เป็นเพราะเจ้าไม่มีสมอง… กล้าขู่ว่าจะตัดแขนตาแก่คนนี้เชียวหรือ? แค่เพราะข้าไม่เทิดทูนเจ้าเยี่ยงเทพ? ข้าไม่เคยคิดเช่นนี้เลยสักครั้งแม้แต่ตอนที่เป็นเด็ก… หรือว่าคาบเรียนสมัยใหม่เขาไม่สอนศีลธรรมกันแล้ว?”


“ต้องขอโทษจริงๆ ที่ถาม… สรุปแล้วมันงอกได้ไหม?”


“เฮ้อ… เจ้าคิดว่าข้าเป็นสัตว์ประหลาดรึไง? ถ้าอวัยวะของมนุษย์ถูกตัด มันก็จบแค่นั้น ข้าไม่ใช้จิ้งจกที่หอกหางใหม่ได้สักหน่อย”


เป็นคำตอบที่สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของมนุษย์ สภาหอคอยแตกต่างจากจอมอสูร เทวทูต และยังบันมีร์ที่สามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้แม้ในยามถูกตัดขาด ในการต่อสู้ระยะสั้น บีบันอาจเหนือกว่าเทวทูตหรือจอมอสูร แต่ในระยะยาวจะเสียเปรียบแน่นอน


‘ถ้าถูกตัด… มันก็จบแค่นั้น… เขาใช้ร่างกายแบบนี้สู้กับมังกร?’


จริงอยู่ที่กายาเหนือมนุษย์นั้นทนทานและเสียหายได้ยาก แต่กับศัตรูที่เป็นมังกรนั้นคนละเรื่อง เป็นอีกครั้งที่กริดทึ่งและชื่นชมในความยอดเยี่ยมของเหล่าสภาหอคอย


จากนั้น ใบหน้าชายหนุ่มเริ่มดำมืด


วิชาดาบของบีบันเป็นแบบอ่อนสยบแข็ง ทุกครั้งที่ดาบของทั้งสองคนปะทะกัน กริดอดไม่ได้ที่จะผงะในความยอดเยี่ยม


อันที่จริง กริดสูญเสียพลังชีวิตไปแล้วกว่า 150,000 หน่วยแม้จะเบี่ยงออกจากจุดตายได้ ปัจจุบันจึงเหลือเพียงล้านกว่าๆ


จริงอยู่ที่สถานการณ์ของกริดยังดีกว่าบีบันซึ่งเหลือพลังชีวิตแค่สองในสาม แต่ชายหนุ่มยังไม่พึงพอใจ มันต้องการมากกว่านี้


‘นอกจากจะเป็นทั้งตำนานและเหนือมนุษย์ เขายังเลี่ยงการปะทะด้วยพละกำลัง’


รูปแบบการต่อสู้ที่กริดใช้เป็นประจำคือตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่นั่นมักไม่ได้ผลกับศัตรูที่มีเทคนิคหลากหลาย กริดจึงต้องการจะงัดดาบจันทราดับซึ่งเป็นไพ่ตายออกมาใช้คว้าชัยชนะ


แต่นั่นก็ยังไม่รับประกันผลลัพธ์ เพราะปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือการด้อยประสิทธิภาพลงของเขตแดนพายุเพลิงเทพ


[วังวนดาบจิตที่ถูกควบคุมจากระยะไกลได้ฟันใส่ ‘เขตแดนพายุเพลิงเทพ’ ส่งผลให้ขอบเขตและอำนาจของเพลิงแห่งเทพลดลงอย่างมหาศาลจนแทบจะไม่ส่งผลใด พลังจิตอัคคีถูกทำให้มอดลง]


[ดาบยักษ์ที่ใหญ่กว่าขุนเขาทำการผ่าครึ่งเขตแดนพายุเพลิงเทพ หัวใจฟีนิกซ์แดงดวงที่เก้าสูญเสียความเชื่อมต่อกับเทพฟีนิกซ์แดง ส่งผลให้พลังจิตและโลกจินตภาพของท่านกำลังพร่ามัว]


เขตแดนพายุเพลิงเทพจะไม่มีวันถูกทำลายโดยสมบูรณ์เนื่องจากการมีอยู่ของปราณดาบอนันต์ที่ฮายาเตะทิ้งไว้เป็นของขวัญ


โลกจินตภาพของบีบันนั้นแสดงออกมาในรูปลักษณ์ของดาบหลายหมื่นเล่มกำลังลอยวนเวียนรอบๆ ดาบยักษ์หนึ่งเล่ม สิ่งนี้สามารถสะบั้นและกลืนกินเปลวเพลิงของกริดได้เกือบทั้งหมด แต่ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่ปราณดาบอนันต์ที่เป็นแกนกลางของเปลวเพลิง


อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกมันกำลังรุกคืบเข้ามาทีละนิด


‘โลกจินตภาพของอริยดาบก็ต้องแข็งแกร่งอยู่แล้ว’


หนึ่งในคุณสมบัติขั้นต่ำสุดของอริยดาบทุกรุ่นคือการเป็นผู้ครอบครอง ‘ดาบจิต’ เป็นพลังที่สามารถใช้ดาบได้โดยไม่ต้องมีดาบ กิ่งไม้ธรรมดาจะกลายเป็นของอันตรายถ้าอยู่ในมืออริยดาบ พวกมันล้วนมีดาบอยู่ในใจ และร่างกายคือดาบที่ยอดเยี่ยมเหนือสิ่งอื่นใด


จากตำนานหลายแห่ง สัญลักษณ์ของมุลเลอร์คือเทคนิคการควบคุมดาบด้วยพลังปราณและพลังจิต รวมถึงการใช้ดาบจิตโจมตีจากระยะไกล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง โลกจินตภาพตรงหน้ากริดมีความใกล้เคียงกับวิชาดาบในอุดมคติที่เหล่าอริยดาบต่างไขว่คว้า


ไม่ใช่เรื่องแปลกที่โลกจินตภาพของอริยดาบจะเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกพิเศษ


เป็นเรื่องธรรมดาที่โลกจินตภาพของกริดซึ่งยังไม่สมบูรณ์จะตกเป็นรองโลกจินตภาพของบีบันหลายขุม


“ถ้าอวัยวะของคุณถูกฟันขาด ไม่ต้องแตกตื่นไป ผมจะหาคนมาซ่อมให้”


ทางออกของกริดคือรีบจบการดวลนี้โดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยให้โลกจินตภาพของบีบันกลืนกินปราณดาบอนันต์ มันจะยิ่งเสียเปรียบและยิ่งหมดโอกาสชนะ


‘ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ต้องรีบปิดบัญชีให้ได้’


กริดที่ตัดสินใจเด็ดขาดส่งข้อความเสียงหาลอเอล บอกให้ลอเอลล็อกเอาต์และโทรหาเซฮี


> เข้าใจแล้ว… ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้พวกอัศวินกำลังไปรวมตัวที่นั่น…


ดูเหมือนว่าลอเอลจะพูดอะไรต่อ แต่กริดได้ยินแค่บางส่วน เนื่องจากสีหน้าของบีบันเปลี่ยนไปราวกับพร้อมโจมตีเข้ามาได้ทุกเมื่อ กริดจึงไม่มีทางเลือกนอกจากทุ่มสมาธิทั้งหมดกับการดวลตรงหน้า


“ข้าจะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป… วันนี้จะไม่ใช่บทเรียนดาบ แต่เป็นการสอนมารยาท! นี่คือความหวังดีของข้า จงรับเอาไว้!”


“ถ้อยคำนักคุณธรรม”


กริดตระหนักว่าการถามซ้ำในเรื่องเดิมคงไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะตนถูกสอนมารยาทมาพอแล้ว และบทสนทนาหลังจากนี้คงไม่มีคุณค่าให้ต้องเสียเวลาฟัง


“มองทะลุ!”


[อัศวินของท่าน ‘เมอร์เซเดส’ อนุญาตให้ท่านยืมเนตรมองทะลุ]


ศึกดวลกลับมาดำเนินต่ออีกครั้งหลังจากเนตรมองทะลุถูกโอนถ่ายสำเร็จ หัตถ์เทวะสามสิบข้างที่ต่างถืออาวุธประจำกายพุ่งเข้าใส่บีบันจากทุกทิศทาง


ทว่า พวกมันกลับชะงักค้างกลางอากาศ เนื่องจากถูกพลังจิตของอริยดาบสะกดข่ม


หัตถ์เทวะที่ไม่สามารถเข้าไปได้ใกล้กว่านี้ทำการกระหน่ำยิงศรเวทแทน กระสุนแสงสีขาวถูกพรั่งพรูใส่บีบันจนสว่างไสว


บีบันกางม่านดาบพร้อมกับโจมตีแรนดี้ที่โคลนร่างกริด โนเอะสร้างบาเรียสายฟ้าเพื่อช่วยป้องกัน แต่ไม่มีสิ่งใดที่อริยดาบตัดไม่ขาด ดาบในมือบีบันทะลวงผ่านม่านสายฟ้าอย่างง่ายดายและเตรียมจะเสียบทะลุหัวใจแรนดี้ ทว่า คมดาบหยุดลงก่อนที่จะได้สัมผัสเป้าหมาย


เป็นเพราะกริดโผล่มาป้องกันไว้ได้ในพริบตา วิชาดาบและเทคนิคอันซับซ้อนทั้งหมดของอริยดาบซึ่งถูกขัดเกลามานับร้อยปี ล้วนถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งด้วยเนตรมองทะลุ พลังที่แม้แต่เทพยังหวาดหวั่น


นับตั้งแต่วินาทีที่เนตรมองทะลุเริ่มทำงาน กริดก็ได้รับความช่วยเหลือจากระบบอย่างล้นหลาม การตัดสินใจและทางเลือกที่ดีที่สุดพรั่งพรูเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่อง


ขณะกริดเริ่มเปิดฉากตอบโต้ หัตถ์เทวะที่ถือมโยลเนียร์พยายามแอบเข้าข้างหลังบีบัน แต่ตั้งหมดก็ถูกปัดกระเด็นด้วยดาบจิต


กริดจำใจต้องยอมรับ


‘หัตถ์เทวะแทบไม่ประโยชน์ในการเผชิญหน้ากับเหนือมนุษย์’


ไม่จำเป็นต้องเป็นอริยดาบ ในสายตาของกริดที่กำลังเปิดเนตรมองทะลุ ระบบเองก็ประเมินว่าการลอบโจมตีของหัตถ์เทวะถูกมองออกได้ง่ายและเหมาะแก่การใช้ดาบจิตรับมือ


‘เปลี่ยนรูปไอเท็ม ไรเดอร์ส’


วาบ!


หัตถ์เทวะทั้งหมดขยายขนาดอย่างพร้อมเพรียง บีบันที่มองเห็นรูปร่างใหม่อย่างชัดเจนเผยความประหลาดใจทันที


‘จักรกลเวทมนตร์?’


บีบันสลัดกริดจนหลุดและฉากถอยหลัง จากนั้นก็หันไปมองเหล่ายักษ์รอบๆ ตัวด้วยดวงตาสั่นเทาเล็กๆ


มันยังจดจำเหตุการณ์หนึ่งในอดีตได้แม่นยำ เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดในชีวิตบีบัน:


ฮายาเตะเหยียดแขนออกมาหาบีบันพร้อมกับชวนไปปกป้องโลกด้วยกัน ฉากหลังคือจักรกลเวทมนตร์จำนวนมากซึ่งล้วนเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดมังกร


มันกำลังเห็นภาพนั้นซ้อนทับกับกริด


ใช่แล้ว กริดเหมือนกับฮายาเตะในเวลานั้นไม่มีผิด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง บีบันสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบได้จากกริด


มันอดไม่ได้ที่จะสั่นระริกเล็กๆ


“ฮะฮะ…”


บีบันที่เคยเดือดดาลจนโทสะสูงเสียดฟ้า กลับมาใจเย็นลงได้อีกครั้ง


มันยกปลายดาบให้สูงเหนือศีรษะ ทันใดนั้นดาบเล่มหนึ่งก็พุ่งลงมาจากฟ้าประหนึ่งแสงอสนีบาต


เอลฟินสโตนที่พุ่งเข้าหาบีบันถูกฟันเข้าอย่างบริเวณหัวไหล่


“โอนถ่ายโลหิตขั้นสูงสุด”


เอลฟินสโตนที่ได้กลิ่นความตายของตัวเองจากความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ตัดสินใจใช้เวทมนตร์ท่าไม้ตายโดยไม่ลังเล แม้จะมีระยะหน่วงนานถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ประสิทธิภาพก็คุ้มค่ากับการรอคอย


แต่บีบันก็แค่ฟันมันทิ้ง


“คึ่ก…!”


ภาพของเสาโลหิตที่พุ่งออกจากวงแหวนเวทถูกฟันขาดด้วยพลังทางกายภาพ ทำให้เอลฟินสโตนสั่นสะท้านไม่น้อย


ขณะเดียวกัน กริดที่มองเห็นสถานการณ์นี้ล่วงหน้า แทรกตัวผ่านกึ่งกลางเสาโลหิตที่ถูกฟันขาดพร้อมกับแทงดาบชุ่มเลือดในมือออกไป


นี่คือท่าก่อนใช้งานดาบโลหิต แน่นอนว่าบีบันตอบสนองได้ช้าเนื่องจากกริดลงมือในจุดที่คาดไม่ถึงด้วยจังหวะเหมาะเจาะ


บีบันมองออกว่าการโจมตีนี้ไม่สามารถป้องกันหรือฟันทิ้งได้ตามปรกติ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขยับมือซ้ายเพื่อใช้ดาบปัดป้อง


ผลลัพธ์ลงเอยด้วยการระเบิดของดาบโลหิตและผลึกเลือดจำนวนมากกระจัดกระจาย


ร่างกายบีบันเต็มไปด้วยเลือก แต่ทางกริดก็ต้องจ่ายค่าเสียหายไม่ต่างกัน มันถูกฟันเข้าที่เอว


‘ค่าสถานะของเขาสูงขึ้น’


นี่คือความน่าเกรงขามของโลกจินตภาพ บีบันที่เกิดโลกจินตภาพนั้นมีพลังต่อสู้น่าสะพรึงกลัวชนิดที่ในยามปรกติเทียบไม่ติด


ทว่า


ดาบเล่มยักษ์ที่ลอยเด่นตระหง่านกลางท้องฟ้าดุจดังขุนเขา สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกจินตภาพบีบันเริ่มเอียงพร้อมกับการสั่นไหวของพื้นดิน


ในเวลาเดียวกัน ลาทีน่า หนึ่งในแวมไพร์ทายาทน้อยคนที่เป็นสตรี พยายามตรึงขาบีบันไว้ด้วยเวทโลหิต


แม้เธอจะพลาดท่าถูกฟัน แต่นั่นก็ไม่สูญเปล่าเสียทีเดียว เพราะเวทมนตร์ของลาทีน่าประสบความสำเร็จในการตรึงบีบันไว้ครู่หนึ่ง


“ย่าห์!”


ทีราเม็ทที่ฝ่าฟันห่าฝนดาบจิตมาได้อย่างยากลำบาก กระโจนเข้าไปกอดเอวบีบันด้วยพลังกำลังทั้งหมดที่มี เป็นเวลาเดียวกันกับที่จักรกลเวทมนตร์จำนวนมากบนท้องฟ้าเริ่มเคลื่อนไหว


ทว่า ทั้งหมดกลับถูก ‘ฟันขาดสองท่อน’ ด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น ร่างกายทีราเม็ทและพี่น้องกระจายกลายเป็นเงาดำ ส่วนบรรดาจักรกลเวทมนตร์ร่วงหล่นกระแทกพื้น แม้แต่กริด แรนดี้ และโนเอะก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องถูกฟันด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นจากวิถีและมุมที่แตกต่าง


สิ่งนี้คือ ‘ดาบไม่ได้อยู่ในมือ แต่อยู่ที่ใจ’ สุดยอดทักษะไม้ตายของอริยดาบซึ่งจะทำการ ‘ผ่าทุกเป้าหมาย’


ไม่ใช่การฟันขาดสองท่อนใส่ ‘ทุกเป้าหมายในการมองเห็น’ แต่เป็น ‘ทุกเป้าหมายในรัศมี’


‘สุดยอด…’


หัตถ์เทวะมีความคงทนเป็นอนันต์ แต่ไหนแต่ไร อย่างมากก็แค่ชะงักและไม่เสียหาย แต่ในวินาทีนี้ พวกมันทั้งหมดล้วนถูกฟันขาดสองท่อน เป็นฝันร้ายที่กริดเคยจินตนาการไว้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าความคงทนอนันต์เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งซึ่งครอบครองพลังที่สามารถ ‘ตัด’ ได้อย่างไร้เงื่อนไข แน่นอนว่าพวกมันมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าต้องใช้เวลานานเพียงใด


แต่สถานการณ์ยังไม่เลวร้ายมากนัก กริดสามารถลดทอนความเสียหายส่วนใหญ่ได้ด้วย ‘จิตวิญญาณเสือขาว’ ในวินาทีที่มองเห็นล่วงหน้า


หลังจากกัดฟันทนแรงปะทะ กริดทำการปลดปล่อย คลื่นทำลายล้างร่ายรำสังหาร


บีบันที่ถูกบีบให้ต้องใช้ทักษะใหญ่เนื่องจากต้องเผชิญหน้ากับจักรกลเวทมนตร์ถึงสามสิบตัว เผยให้เห็นช่องว่างอย่างมิอาจเลี่ยง และแน่นอนว่าเนตรมองทะลุของกริดไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย มัดกล้ามเนื้อในร่างกายกู่ร้องกึกก้อง เสียงเสียดสีของกระดูกดังขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว เป็นผลข้างเคียงมาจากการฝืนใช้ ‘ดาบพินาศทัพหนึ่งแสน’ ในรอยต่อของ ‘คลื่น’


อาวุธที่ใช้โจมตีคือดาบผสานมังกรเพลิงและจันทราดับ โดยไม่ลืมที่จะเสริมแกร่งให้พวกมันด้วยพลังมิคาเอล


“…!”


บีบันเผยสีหน้าตกตะลึงเมื่อแสงสว่างจากดาบสะท้อนบนกระจกตา เป็นการตอบสนองที่รุนแรงยิ่งกว่าเมื่อครั้งได้เห็นกองทัพจักรกลเวทมนตร์


ทันใดนั้น ดาบจิตที่ล่องลอยอยู่รอบๆ และดาบยักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกจินตภาพพลันโผล่ขึ้นด้านหน้าบีบันเพื่อสร้างแนวป้องกัน


เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า โลกจินตภาพกำลังทำตามเจตจำนงของบีบัน


เป็นความปรารถนาที่กำลังกู่ร้องว่า ‘ข้าต้องรอด’


สถานการณ์คล้ายคลึงกับในยามที่มันเคยเผชิญหน้ากับลมหายใจมังกร


คล้ายกันมากในหลายๆ ด้าน


เคร้ง!


เป้าหมายที่กริดตั้งไว้นั้นยิ่งใหญ่กว่าอุดมคติของสุดยอดนักดาบที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์


เป็นพลังทำลายที่ท่วมท้นและเหนือกว่าอย่างสมบูรณ์แบบ


ชายผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่อย่างการบุกสวรรค์และทำสงครามกับเหล่าทวยเทพ ย่อมไม่พ่ายแพ้กับแค่นักดาบอันดับหนึ่งของโลก

______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,019
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ


Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00