จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,483



“น…นี่มันอะไรกัน…”


ภายในวังที่รายล้อมไปด้วยเหล่าข้าราชบริพาร


รอยแมนและบรรดาอัศวินต่างพากันขนลุกเมื่อมาถึงเขตหนึ่งของวังซึ่งเคยเป็นโรงตีเหล็ก นั่นเพราะพวกมันได้เห็นดาบยักษ์ที่ใหญ่กว่ายอดหอคอยที่สูงที่สุดของวังถึงห้าเท่า แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากใบดาบนั้นน่าเกรงขามประหนึ่งเตรียมผ่าโลกออกเป็นสองซีก


ฉากตรงหน้านั้นผิดหลังสามัญสำนึกจนยากจะทำใจเชื่อลง


มีดาบที่ใหญ่ขนาดนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ? แถมยังปรากฏขึ้นโดยไม่มีลางบอกเหตุ


“…เร็วเข้า!”


แม้จะเป็นอัศวินอาวุโสของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ แต่ขอบเขตของโลกจินตภาพก็ยังอยู่นอกเหนือความเข้าใจของรอยแมน


มนุษย์มักหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ ทุกคนตรงนี้ก็เช่นกัน และนั่นคือสาเหตุที่พวกมันชะงักไป


รอยแมนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์รีบออกคำสั่งกับอัศวิน ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่ากลุ่มนักลอบสังหารได้นำหน้าไปก่อนแล้ว


หน่วยโอเวอร์เกียร์เงาถูกบ่มเพาะโดยเฟคเกอร์และคาซิม พวกมันไม่สูญเสียความเยือกเย็นแม้จะได้เห็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าฝันร้าย สามารถตอบสนองต่อดาบยักษ์ได้ดีกว่าอัศวินพอสมควร


แต่ทันใดนั้น


“อะ…”


ระยะห่างระหว่างอัศวินและนักลอบสังหารลดลงอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะฝ่ายแรกชะลอความเร็วลงมาก


เมื่ออัศวินตามมาทัน ฉากตรงหน้าทำให้พวกมันต้องยืนแข็งทื่อเป็นรูปปั้นหิน


รอบๆ ดาบยักษ์ยังมีดาบบินอีกนับหมื่นเล่ม ภาพการพุ่งขึ้นลงของฝูงดาบอย่างว่องไวและเกรี้ยวกราดกำลังสร้างบรรยากาศที่น่าหวาดหวั่น


“อะไรกัน… เป็นมอนสเตอร์แบบไหน?”


หรือจะเป็นเทพสงคราม?


ความคิดแง่ลบมากมายกำลังถาโถมจินตนาการของเหล่าหน่วยรบแห่งวังหลวง พวกมันเป็นห่วงความปลอดภัยของราชากริดขึ้นมาทันที


ด้วยใบหน้าที่ขาวซีด หลายคนพยายามขยับขาเดินอย่างยากลำบากประหนึ่งกำลังอยู่กลางบึงโคลน หลายคนขบกรามแน่นและตัดสินใจออกวิ่ง


ยิ่งพวกมันเข้าใกล้โรงตีเหล็กในจุดที่ดาบปรากฏขึ้น ความตึงเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี


อย่างไรก็ตาม สมาธิของทุกคนกลับกระจัดกระจายจนยากจะรวบรวมความเยือกเย็น


ฝูงดาบบินนับหมื่นเล่ม ยิ่งพวกมันขยับเข้าไปใกล้ ความคมชัดของดาบก็เริ่มลดน้อยลง ดาบแต่ละเล่มพุ่งด้วยความเร็วที่ใกล้กับเสียง เร็วจนอยู่นอกเหนือประสาทสัมผัสของใครหลายคน ถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปใกล้อย่างส่งเดชอาจถูกดาบเสียบตายโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวทำให้ฝีเท้าของทุกคนค่อยๆ ช้าลงตามสัญชาตญาณ


เสียงถูกกระแทกดึงขึ้นจากหัตถ์เทวะอย่างต่อเนื่อง ทุกคนเห็นว่าหัตถ์เทวะแทบไม่ได้ขยับเนื่องจากปะทะกับฝูงดาบบินเหล่านี้จนชะงักเกือบตลอดเวลา หัตถ์เทวะกลายเป็นสิ่งที่เคลื่อนไหวได้เชื่องช้าไปถนัดตาเมื่ออยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมปัจจุบัน


จริงอยู่ที่ความเร็วของหัตถ์เทวะจะเพิ่มขึ้นในตอนที่พวกมันรำดาบ แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ แถมการยิงถล่มด้วยศรเวทก็แทบไม่ได้ผล เรียกได้ว่าสัญลักษณ์ของเทพโอเวอร์เกียร์กำลังกลายเป็นสิ่งไร้ค่าและน่าสมเพช


“คึ่ก!”


ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวลังเล รอยแมนยกดาบและโล่ขึ้นพร้อมกับพุ่งไปข้างหน้า ผ่านเขตแสงที่สร้างโดยฝูงดาบบินกว่าหมื่นเล่มซึ่งทำเสียงที่น่ารำคาญออกมาตลอดเวลา


ชุดเกราะของรอยแมนถูกทะลวงในพริบตา ปากกระอักเลือดคำโต ราวกับหญิงสาวมิได้แยแสชีวิตของตัวเองอีกต่อไป ความคิดเดียวในหัวที่ทำให้สองขายังคงขยับคือการปกป้องกริด


“ฝ่า… บาท?”


ลานกว้างอเนกประสงค์ที่อยู่ติดกับโรงตีเหล็ก บริเวณนี้ไม่กว้างมาก แถมยังเต็มไปด้วยกองแร่และหิน เป็นแค่ระดับลานฝึกทหารเล็กๆ เท่านั้น การจะให้เรียกว่าเป็น ‘พื้นที่ส่วนตัวของราชา’ คงจะฟังดูอนาถาไปสักหน่อย


แต่กริดกลับนักดาบลึกลับกำลังใช้สถานที่แห่งนี้ราวกับมันกว้างใหญ่ไพศาลเสียเต็มประดา ทั้งสองเอาแต่โจมตีใส่กันอย่างหนักหน่วงจนทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน ราวกับมิได้แยแสหลักการของขนาดและสถานที่


พวกมันปะทะกันหน้าโรงตีเหล็กสองสามเพลงดาบ ก่อนจะหายไปทั้งคู่และไปโผล่อีกครั้งกลางอากาศและทำแบบเดิม แสงดาบวิบวับปรากฏขึ้นกลางอากาศใกล้กับโรงตีเหล็กพร้อมกับเสียงโลหะเสียดสีกว่าสิบครั้ง


“…”


รอยแมนอ้าปากไม่หุบ คงมีเพียงสองคนนั้นที่ไม่ตื่นตระหนกกับเสียงระเบิดที่ดังกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง


เธอเริ่มตระหนักว่า การต่อสู้ตรงหน้าคือหนึ่งในศึกดวลระดับตำนานที่จะไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ และยังตระหนักว่าตนไม่มีสิทธิ์หรือฝีมือมากพอจะเข้าไปแทรกแซง


“แฮ่ก…”


ท่าทีตอบสนองของกลุ่มที่ฝ่าเข้ามาทีหลังนั้นแทบไม่ต่างจากรอยแมน พวกมันฝืนกลั้นหายใจและวิ่งผ่านฝูงดาบบิน หัตถ์เทวะ และแวมไพร์ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล


เดิมที จุดประสงค์ของการเสี่ยงชีวิตครั้งนี้คือเพื่อปกป้องกษัตริย์ของตน แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกคนเอาแต่ยืนนิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อน


หัตถ์เทวะที่แสดงฝีมือไม่ออกได้กลายร่างเป็นยักษ์สีดำ – จักรกลเวทมนตร์สามสิบเครื่อง


ขนาดไม่ใหญ่ แต่เมื่อรวมกันสามสิบตัวก็มากพอถมครึ่งหนึ่งของน่านฟ้า จักรกลเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งสามารถทะลวงผ่านม่านดาบบินและสร้างความคุกคามต่อนักดาบนิรนาม


แม้จะบีบให้เหลือพื้นที่ไม่มาก แต่นักดาบคนดังกล่าวกลับเคลื่อนไหวประหนึ่งไม่มีข้อจำกัด มันหลบหลีกการโหมกระหน่ำโจมตีพร้อมกับดีดตัวทะยานขึ้นฟ้าจนดูใกล้ชิดกับดวงจันทร์ด้านหลัง


เวทโลหิตพันธนาการข้อเท้านักดาบสำเร็จ ตามด้วยการเข้าไปกอดเอวไว้แน่นของทีราเม็ท แต่ก็ไม่มีใครหยุดนักดาบคนนั้นได้


กึก


ไม่มีใครเดาได้ว่าดวงตาที่ชะงักไปครู่หนึ่งของนักดาบหมายถึงสิ่งใด


อริยดาบบีบัน ในระหว่างที่มันกำลังเพ่งสมาธิกับการดวล บีบันสังเกตเห็นว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนโลกจินตภาพ


ทว่า เนื่องจากกระบวนการ ‘ระบุเป้าหมาย’ ของดาบจิตเริ่มต้นขึ้นแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะย้อนกลับและแก้ไขข้อกำหนดของทักษะใหม่


แต่ถึงอย่างนั้น บีบันก็เลือกที่จะทำ มันตัดสินใจย้อนกลับไปแก้ไขและนำเป้าหมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดวลออก


สภาคอหอยตัดสินใจสู้กับมังกรและปกป้องโลกก็เพื่อความสงบสุขของชนรุ่นหลัง สมาชิกสภาหอคอยจึงห้ามทำร้ายมนุษย์โดยเด็ดขาดยกเว้นแต่จะมีเหตุที่สมบูรณ์แบบและรัดกุมมากที่สุด


แน่นอนว่าถ้าเลือกได้ ไม่มีใครสภาหอคอยคนใดอยากฆ่าคน พวกมันไม่ใช่มนุษย์ประเภทที่ยอมสละคนส่วนน้อยเพื่อคนหมู่มาก ทุกคนมีศีลธรรมและทะนุถนอมชีวิตมากกว่านั้น


เลือดสีแดงไหลออกจากมุมปากบีบัน เป็นผลพวงของการย้อนกลับกระบวนการและกำหนดเป้าหมายของดาบจิตใหม่ทั้งหมด


นั่นคือเหตุผลที่ทำให้บีบันเปิดช่องว่าง คือเหตุผลที่มันตอบสนองกริดได้ช้าลง


กริดพุ่งตัวออกจากกึ่งกลางจักรกลเวทมนตร์ที่ผ่าออกเป็นสองส่วนโดยที่บีบันทำได้เพียงยืนมอง


แต่แน่นอน บีบันไม่เสียใจ


ท่ารำดาบของกริดงดงามจนอดชื่นชมออกมาไม่ได้


‘งดงามมาก’


ในตอนที่ก้าวข้ามเรา เขาอายุเท่าไร?


นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมี ‘หัวแถว’ คนใดสามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานของหอคอยได้


แต่ถ้าเป็นเจ้าล่ะก็…


“…?!”


ในวินาทีที่ ‘คลื่นร่ายรำสังหาร’ จาก ‘คลื่นทำลายล้างร่ายรำสังหาร’ ถูกปลดปล่อย


บีบันที่กำลังเหม่อลอยและเฝ้ามองกริดด้วยความชื่นชม สีหน้าพลันเปลี่ยนไปเป็นดำมืด นั่นเพราะกริดทำการชักดาบเล่มใหม่ออกมาผสานกับเล่มเดิมในมือ


‘เหล็กแสงจันทร์!’


เมื่อสัมผัสถึงพลังงานที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจ บีบันพลันเย็นสันหลังวาบ คำข่มขู่ของกริดที่บอกว่าจะแขนแล่นเข้ามาในหัว


ถ้อยคำที่ก้าวร้าวและลามปามจากเด็กหนุ่มเมื่อครู่ บีบันเริ่มมองว่าเป็นคำเตือนและคำถามที่หวังดี


‘เจ้านี่…’


บีบันประเมินพลังทำลายของดาบจันทราดับพร้อมกับรีบสร้างบาเรียคุ้มกาย พร้อมกันนั้น มันเริ่มสัมผัสกลิ่นอายของวิชาดาบพินาศทัพหนึ่งแสนที่ถูกสอดแทรกระหว่างท่ารำดาบ แถมยังเป็นวิชาดาบที่ทรงพลังยิ่งกว่าของราชาไร้พ่ายตัวจริง


แต่สิ่งที่บีบันกลัวที่สุดมิใช่วิชาดาบพินาศทัพหนึ่งแสน หากแต่เป็นดาบจันทราดับ


วิชาดาบราชาไร้พ่ายแล้วยังไง? ก็แค่ป่นด้วยวิชาดาบที่ทรงพลังมากกว่าก็พอ เพราะแม้แต่วิชาดาบทัพหนึ่งล้านก็สามารถสลายได้ด้วยดาบจิตที่ทรงพลัง แม้การใช้พลังมากมายระดับนั้นจะทำให้โลกจินตภาพสั่นคลอน แต่ก็เป็นราคาที่ต้องจ่าย


ในทางกลับกัน เหล็กแสงจันทร์นั้นต่างออกไป มีหลายครั้งที่บีบันเห็นจักรกลเวทมนตร์ของลาร์ดวูล์ฟทะลวงผ่านแนวป้องกันสุดแกร่งของมังกรได้ง่ายดายเพียงเพราะเคลือบชุดเกราะชั้นนอกด้วยเหล็กแสงจันทร์


และดาบจันทราดับก็มีผิวที่คมกว่าชุดเกราะด้านนอกของจักรกลเวทมนตร์อย่างเทียบไม่ติด ทำเอาบีบันนึกถึง ‘ดาบฆ่ามังกร’ ของลำดับหนึ่งแห่งสภาหอคอย ฮายาเตะ


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอเท็มสุดแกร่ง บาเรียจิตถูกทำลายอย่างง่ายดาย ปราณดาบซึ่งมาพร้อมกับแสงสว่างและอำนาจการทำลายล้างที่ท่วมท้นทำให้บีบันมิอาจอยู่เฉย


ในวินาทีที่แสงดาบพุ่งเข้ามาใกล้ บีบันฉากถอยหลังพร้อมกับบิดลำตัวส่วนบนด้วยการดึงหัวไหล่ไปข้างหลัง ตามด้วยการแทงดาบในมือขวาออกไปด้านหน้า พยายามทำให้ลำตัวแบนราบและเหลือเป้าน้อยที่สุด เป็นการบีบบังคับให้การโจมตีปะทะกับ ‘ดาบ’ ในมือขวาเพียงอย่างเดียว


ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในไม่ถึง 0.1 วินาที ดาบที่ห่อหุ้มด้วยพลังจิตของอริยดาบแตกละเอียดและกระจัดกระจาย ข้อมือบีบันขาดสะบั้น กายเหนือมนุษย์ที่ถูกขัดเกลามาหลายปี ผิวหนังที่ทนทานและผ่านศึกกับมังกรมานับครั้งไม่ถ้วนถูกตัดขาดประหนึ่งเต้าหู้


“คึ่ก…!”


บรรยากาศโดยรอบเริ่มกลับสู่ภาวะปรกติ แสงออร่าเทพที่ดูอบอุ่นของกริดส่องสว่างท่ามกลางราตรีหมู่ดาว แสงปราณดาบสีส้มในแนวนอนที่พุ่งผ่านไปทางด้านหลังบีบันดูราวกับเป็นเส้นขอบฟ้ายามรุ่งสาง


บีบันร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับจ้องข้อมือที่ถูกตัดขาด


แม้จะไม่ขาดทั้งแขน แต่ก็ต้องเสียมือไปหนึ่งข้าง


เรายังไหว…


มันคืออริยดาบที่ยอดเยี่ยมกว่าดาบใดในโลก ต่อให้โลกนี้ไม่มีดาบ มันก็จะเป็นดาบเพียงหนึ่งเดียว


บีบันสามารถฟันศัตรูได้ด้วยความว่างเปล่า การสูญเสียดาบจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่


‘ไม่สิ… เราไม่ต้องจำเป็นต้องดื้อรั้นใช้ชีวิตด้วยมือข้างเดียว ภายในเมืองใหญ่ล้วนมีวิหารรีเบคก้า เราสามารถฟื้นฟูได้ที่นั่น…’


กริดได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องอวัยวะขาด เพราะตนจะหาคนมาซ่อมให้


บีบันไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำพูดนั้นจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้


มันรีบพัดแผลด้วยเศษผ้าและยิ้มให้กริดที่กำลังร่อนลงมาหา


สภาพของกริดก็ยับเยินไม่ต่างกัน บาดแผลเต็มตัวและร่างกายเผยอาการสั่น


บีบันกล่าว


“ข้าแพ้แล้ว… คลาดสายตากันไม่นาน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเติบโตมาถึงจุดนี้ได้… ข้านับถือจากใจ”


“ขอดูแผลหน่อย”


สีหน้ากริดกำลังซีดเผือด


ไม่ปฏิเสธว่ามันต้องการทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะบีบัน เพราะลงทุนทำถึงขั้นเตรียมใช้ชุนโปในวินาทีที่บาเรียจิตแตกกระจัดกระจาย เพื่อไม่เปิดโอกาสให้บีบันหลบหนีไปตั้งหลักพักหายใจ แต่กระนั้น ในวินาทีที่เห็นข้อมือบีบันถูกตัด หัวใจของมันพลันดำดิ่ง


กริดต้องการมอบรางวัลให้ตัวเองด้วยชัยชนะ แต่นั่นแลกมากับการทำลายร่างกายของผู้มีพระคุณ


ชายหนุ่มกำลังสับสนและกระวนกระวาย โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงคำสอนของบีบันระหว่างกำลังดวล นั่นยิ่งทำให้หัวใจเจ็บแปลบ


นี่คือความรู้สึกของคนที่ทำร้ายอาจารย์ตัวเองอย่างนั้นหรือ


บีบันกล่าวขณะดึงผ้าพันแผล


“เลือดหยุดไหลแล้ว เห็นไหมไม่มีสักหยด?”


กายาเหนือมนุษย์ก้าวข้ามหลักสามัญสำนึกในหลายเรื่อง บีบันสามารถเกร็งกล้ามเนื้อรอบๆ แผลเพื่อยับยั้งอาการเลือดไหลได้ และถ้ามันต้องการ เส้นเลือดใหญ่ทั่วร่างสามารถขยับได้ตามความคิดของบีบัน


บทสรุปลงเอยด้วย กริดเอาชนะบีบันไปได้


ยังคงมีคำถามว่า ถ้าเป็นการดวลอย่างแท้จริงโดยไม่พึ่งพาสัตว์เลี้ยงและพลังไอเท็ม ผลลัพธ์จะยังเป็นเหมือนเดิมไหม


แต่แน่นอน บีบันยอมรับในความแข็งแกร่งของกริดจากก้นบึ้ง การจะทุ่มเททุกสิ่งเพื่อคว้าชัยชนะนั้นไม่ใช่เรื่องผิด และดาบจันทราดับก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่บีบันจะนำมาปฏิเสธผลการดวล


‘เมื่อไรเซฮีถึง?’


อีกฝ่ายรับข้อความเสียงขณะอยู่ในนรกไม่ได้ กริดจึงต้องวานให้ลอเอลช่วยติดต่อทางโลกความจริง


แต่เธอกลับยังมาไม่ถึงที่เกิดเหตุ แถมยังไม่มีข่าวคราว


บีบันตบไหล่กริด


“ไม่ต้องกังวล อันดับแรก ข้าพาไปที่วิหารของรีเบคก้า”


“ที่นี่ไม่มี…”


“หืม…? ไม่ใช่ว่าอยู่ตรงนั้นหรอกหรือ? ข้าจำได้”


“เคยอยู่… แต่ไม่มีแล้ว”


“อะไรกัน… เมืองใหญ่แบบนี้ไม่มีวิหารรีเบคก้าแม้แต่หลังเดียว?”


“ผมกวาดล้างไปหมดแล้ว”


“บ…บัดซบ! ทำไมถึงเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้!”


แม้บีบันจะพ่ายแพ้ในการดวลและถูกตัดมือไปหนึ่งข้าง มันก็ยังเยือกเย็นและยิ้มได้


แต่ในวินาทีนี้ บีบันอยากจะกระชากคอเสื้อกริดและจับเขย่า


“ทำไมถึงไม่บอกแต่แรกว่าที่นี่ไม่มีวิหารรีเบคก้า!”


“ข…ขอโทษ…”


“แปลว่าเจ้าหลอกข้า? ทั้งที่ไม่มีวิหารรีเบคก้า ทำไมถึงกล้าสัญญาว่าจะซ่อมอวัยวะให้?”


“…”


หากไม่มีความหวังตั้งแต่ต้น ผู้เผชิญเคราะห์กรรมคงไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ถ้าถูกหลอกให้มีความหวังแล้วพรากไปในภายหลัง นั่นคือความทุกข์ทรมานโดยแท้จริง


กริดเริ่มสัมผัสได้ว่าบีบันกำลังหัวเสีย เพราะอีกฝ่ายเอาแต่โหวกเหวกโดยไม่สนใจว่าที่นี่กำลังมีคนมุงดูเป็นจำนวนมาก


‘ช่วยสำรวมหน่อยเถอะครับ…’


แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่อยู่นอกเหนือเหตุและผล จะมีสักกี่คนที่ยังใจเย็นได้หลังจากมือถูกตัดขาด?


“หอคอย… ที่นั่นต้องมีทางออกแน่… ข้าจะกลับหอแห่งปัญญา… อุฟ!”


กริดรีบใช้มือปิดปากบีบันขณะอีกฝ่ายกำลังพึมพำความลับสุดยอดของโลกออกมา การพูดถึงหอแห่งปัญญาต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องฉลาดนัก


‘ฉิบหายของแท้…’


บางทีเราอาจจะไม่ได้พบหน้าบีบันอีกแล้ว…


ขณะกริดกำลังทำให้บีบันสงบด้วยหัตถ์เทวะ


“พี่!”


พระผู้ไถ่บาปเสด็จมาโปรด ไม่ใช่ใครนอกจากนักบุญหญิงรูบี้ที่กริดกำลังรอ


แม้จะมาสายไปสักหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา


ทว่า ถ้าจุดที่บีบันโดนตัดคือสะโพก ไม่ใช่ข้อมือ บางทีการมาถึงตอนนี้ก็อาจไม่ช่วยอะไร


‘แต่เรื่องนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้น’


บีบันโดนผ่าครึ่งตัวตั้งแต่เอวลงไป?


เหตุการณ์เช่นนี้ไม่น่าเกิดขึ้นได้ในทางทฤษฎี ต่อให้กริดอยากทำมากแค่ไหน แต่อีกฝ่ายก็คงไม่ปล่อยให้เกิดขึ้น


“บ…เบาๆ มือหน่อยนะ… ได้โปรด สาวน้อย”


“…”


กริดที่อ่อนเพลียจนดูเหมือนแก่ลงไปสิบปี ยืนมองบีบันทำตัวประหนึ่งลูกแกะน้อยต่อหน้ารูบี้


ปัจจุบันบริเวณรอบๆ ถูกรายล้อมไปด้วยคนที่มามุงเพราะได้ยินเสียงความวุ่นวาย สายตานับร้อยคู่กำลังจ้องมาทางบีบันเป็นตาเดียว บ้างตั้งคำถามว่า ‘หอแห่งปัญญา’ หมายถึงสิ่งใด รายชื่อหอคอยเวทมนตร์ทั้งหมดบนทวีปต่างถูกไล่ไปทีละหนึ่ง


สีหน้าบีบันพลันบิดเบี้ยวเมื่อเริ่มตระหนักถึงความฉิบหายที่แท้จริง

______________
ปัจจุบันแปลถึงตอน 2,020
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00