จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,487
รอยยิ้มของเทพธิดากำลังแตกหัก
รูปปั้นของเธอซึ่งถูกแกะสลักให้เป็นเทพธิดาแห่งแสง ถล่มลงอย่างกระจัดกระจาย ไม่หลงเหลือความงดงามและศักดิ์สิทธิ์
สีหน้าที่แตกร้าวไม่หลงเหลือความอบอุ่น ดวงตาที่ถูกทำลายมิอาจสะท้อนสิ่งใด
ตรงข้ามกับภาพวาดของเธอที่ปรากฏบนกระจกหลากสี ฉากการพังทลายของรูปปั้นนั้นน่าหดหู่และยากจะให้จินตนาการว่าสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น
เพล้ง!
การทำลายยังคงดำเนินต่อไป
กระจกสีซึ่งเคยอยู่ในสภาพดี ถึงคราวแตกละเอียด ประกายวิบวับอันเกิดจากแสงสะท้อนของเศษแก้ว ดูเหมือนกับหยาดน้ำตาของเทพธิดา
“ลงทัณฑ์… พวกแกทุกคนจะต้องโดนลงทัณฑ์!!”
วิหารที่เคยเฝ้ามองการผงาดและดับไปของอาณาจักรเล็ก
นักบวชชราหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดขณะเฝ้ามองจุดจบของวิหารรีเบคก้าที่ยืนหยัดดูแลผู้คนมานานนับร้อยปี
“พวกเจ้าต่างหากที่ต้องถูกลงทัณฑ์”
ชายคนหนึ่งตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
กลุ่มนักลอบสังหารแห่งหน่วยเงาโอเวอร์เกียร์
ราวกับคนเหล่านี้ไร้อารมณ์
ชายคนเดียวกันกล่าวอย่างไม่แยแสว่าจะทำลายวิหารรีเบคก้าทั้งหมดบนทวีป ราวกับว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ประหนึ่งชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นอาวุธที่นำมาซึ่งความรุนแรง
เหล่านักบวชรีเบคก้าต่างมองเห็นความบ้าคลั่ง
ราวกับชายคนนั้นอ่านความคิดได้จากแววตา
“ในสายตาเรา พวกนายก็เป็นคนบ้าเหมือนกัน”
นักลอบสังหารเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง
สำหรับพวกมัน เป็นเรื่องยากที่จะให้เข้าใจความคิดของนักบวชซึ่งยังคงยืนหยัดศรัทธาในเทพธิดารีเบคก้าจนถึงวินาทีสุดท้าย
ความสมเพชและอึดอัดเริ่มก่อตัวในใจ
หรือนี่จะเป็นความโกรธและเกลียดชัง?
ชายคนดังกล่าวนึกทบทวนคำพูดของลันเทียร์ที่เคยกำชับให้ตนช่วยฟื้นฟูมนุษยชาติ
“นายคงเคยได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในวาติกันมาแล้ว… เทวทูตของเทพธิดาพยายามชักนำให้มนุษย์แตกแยกก่อนที่มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรจะเริ่มขึ้น นั่นคือสิ่งที่ต่ำทรามและชั่วร้าย… นอกจากนั้น เหล่าสาวกของรีเบคก้าซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุล้วนสาบานตนว่าจะรับใช้เทพโอเวอร์เกียร์จากก้นบึ้ง หากมีสมองบ้างสักนิด นายคงถอนชุดขาวออกหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้”
“ต่อให้ข่าวลือนั่นเป็นจริง แต่ต้นเหตุมาจากเทวทูต มิใช่เทพธิดา”
“…? แต่เทพธิดาเป็นผู้ส่งเทวทูตลงมา”
“เรื่องนั้นมิได้เปลี่ยนแปลงความจริงใด… การสงสัยเทพธิดาเป็นสิ่งผิด เพราะเทพธิดาเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์… มนุษย์มีสิทธิ์สงสัยในเจตจำนงของพระองค์ด้วยหรือ? เมื่อบททดสอบใหญ่มาถึง ทางรอดเดียวคือการเชื่อในพระองค์และสวดวิงวอน…”
“…”
สนทนาไปก็คงไม่เกิดประโยชน์
เมื่อรู้ตัวอีกที
กร็อบ!
หัวหน้านักลอบสังหารบิดคอนักบวชชราจนหมดสติและทรุดตัวลง
นี่ไม่ใช่การฆ่า
ลันเทียร์กำชับอย่างหนักแน่น หลังจากนี้ห้ามฆ่าคนส่งเดช
หน่วยโอเวอร์เกียร์เงาในปัจจุบันมิได้เป็นแค่อาวุธสังหาร แต่ยังขับเคลื่อนด้วยความศรัทธา นี่คือสิ่งที่ ‘ลันเทียร์’ เฟคเกอร์ปลูกฝังเพื่อให้ทุกคนกลับมามีอารมณ์เหมือนมนุษย์ปรกติ
สิ่งนี้ทำให้ทุกคนเกิดความอึดอัดและสมเพชขณะทำภารกิจ แต่ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่พยายามปกป้องบางสิ่งด้วยหัวใจและความรู้สึก นั่นจะทำให้มนุษย์สามารถก้าวข้ามขีดจำกัด
“เผาสิ่งนอกรีตและเก็บกวาดพวกนักบวชให้หมด”
กลุ่มนักลอบสังหารด้านหลังผงกศีรษะและทำตามคำสั่งของหัวหน้าทันที ซากวิหารถูกเผาทำลาย บรรดานักบวชถูกจับกุม
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วทั้งทวีป
ร่องรอยของรีเบคก้าค่อยๆ ถูกลบเลือนไปจากโลก
ใครบางคนกำลังเฝ้ามองสิ่งนี้จากจุดห่างไกลบนท้องฟ้า
มิใช่เทพสวรรค์
แต่เป็นชายสองคนซึ่งกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้า จุดดังกล่าวอยู่ใกล้กับโลกมากกว่าสวรรค์
“ข้าพอจะรู้อยู่แล้วว่าเฮเลน่าคงอายุสั้น”
บันส์เดล
ลอร์ดแห่งเผ่าดราโกเนี่ยนผู้สืบเชื้อสายจากมังกรมารบันเฮเลียร์ มันกำลังลอยอยู่เหนือท้องฟ้าพร้อมกับสยายปีกสีดำเกรียม
“เด็กคนนั้น… หล่อนเย่อหยิ่งเกินไป ไม่รู้จักประมาณตน มองไม่เห็นช่องว่างระหว่างความแข็งแกร่งของตัวเองและพลังในอุดมคติ เอาแต่อาละวาดอย่างไร้สมอง จนท้ายที่สุดก็หนีออกจากกรอบที่บรรพชนสร้างไว้และตายอย่างน่าสมเพช”
เดิมที เฮเลน่าต้องขึ้นไปเป็นลอร์ด
เนื่องจากลอร์ดรุ่นก่อนมาจากตระกูล ‘บัน’ รุ่นปัจจุบันก็ต้องมาจากตระกูล ‘เฮล’
แต่เฮเลน่าต้องการหนีออกจากกรอบ หากได้กลายเป็นลอร์ด เธอจะแสดงความทะเยอทะยานโดยการย้ายคนของตระกูลไปยังเทือกเขาเคอัสเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและปกครองดินแดนที่นั่น
สิ่งนี้ไม่ต่างอะไรกับความพยายามในการทำลายตระกูล
‘การเสียเวลาเล่นกับจักรวรรดิ’ ที่เฮเลน่ามองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งจำเป็น
“ข้าได้เห็นเหนือมนุษย์ตั้งแต่อายุยังน้อย… แกรนมาสเตอร์ เจ้าสัตว์ประหลาดนั่น… เผ่าพันธุ์ของเราเคยดูแคลนเขาว่าเป็นแค่มนุษย์ แต่ข้ามองเห็นความพิเศษในตัวเขาได้ก่อนใคร… คิดว่าบรรพชนของเราพยายามกักขังเผ่าพันธุ์เอาไว้ในรั้วแคบๆ อย่างไร้เหตุผลจริงหรือ?”
เผ่าดราโกเนี่ยนสืบสายเลือดมาจากมังกร ความเย่อหยิ่งและโอหังจึงตกทอดมาโดยปริยาย เป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะมีใครเข้าใจ
แต่บันส์เดลนั้นแตกต่าง
มันมีพรสวรรค์สูงกว่าเฮเลน่า และตระหนักดีว่าความยโสของเผ่าดราโกเนี่ยนนั้นไร้ราคา
โลกใบนี้กว้างใหญ่ไพศาล สำหรับตัวตนที่แข็งแกร่งโดยแท้จริง ดราโกเนี่ยนก็ไม่ต่างอะไรกับเหยื่ออันโอชะ เพราะทั้งกระดูกและเกล็ดคือสิ่งที่มีมูลค่ามาก
บันส์เดลเชื่อว่า ดราโกเนี่ยนไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างที่พวกตนเข้าใจ
เป็นเผ่าพันธุ์ที่ต้องการเวลา
เวลาสำหรับเสริมสร้างความแข็งแกร่ง
“เจ้าบอกว่าราชาโอเวอร์เกียร์เองก็เป็นเหนือมนุษย์? แถมยังสั่งสมบารมีเทพ คงแข็งแกร่งกว่าแกรนมาสเตอร์เสียอีก… แม้จะข้ามกำแพงที่สูงที่สุดของโลกได้แล้ว แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับภูเขาลูกใหญ่กว่า…”
“ภูเขาลูกนั้นคือรั้วแห่งใหม่ที่จะคอยปกป้องดราโกเนี่ยน”
“ก็อาจจะใช่… เฮ่า… คำกล่าวของเจ้าอาจจะจริง โอกาสตรงหน้าอาจไม่ปรากฏขึ้นมาให้ไขว่คว้าอีกเป็นหนที่สอง แต่ว่า…”
ขณะมองไปยังวิหารที่ลุกไหม้ สีหน้าของบันส์เดลเริ่มดำมืด
“…ป่าเถื่อนเกินไป ข้าไม่คิดว่าเป็นวิธีที่ฉลาดนัก… การเหยียบย่ำชาวรีเบคก้าที่ดำรงอยู่มานานพอๆ กับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ อาจทำให้พวกเขามีจุดจบไม่สวยนัก… ไม่ใช่ว่าชายคนนั้นกำลังมัวเมาไปด้วยอำนาจจนมองไม่เห็นผลกระทบที่ตามมาหรอกหรือ? ไม่สิ หากพิจารณาว่าเขาเคยฆ่าเฮเลน่าอย่างเลือดเย็น แปลว่าหมอนั่นมีนิสัยโหดเหี้ยมเป็นทุนเดิม”
เฮเลน่าคือว่าที่ลอร์ดตัวจริง นอกเหนือจากฝีมือและพรสวรรค์ เธอยังเป็นคนของตระกูลใหญ่
การฆ่าเธอย่อมหมายถึง ต้องเตรียมใจที่จะทำสงครามกับดราโกเนี่ยนทั้งเผ่าไว้แล้ว ทั้งที่ตอนนั้นราชาโอเวอร์เกียร์ยังแข็งแกร่งไม่เท่าปัจจุบัน
แต่ตอนนี้ ชายคนเดิมกลับพยายามผูกมิตรกับดราโกเนี่ยนผ่านเฮ่า โดยไม่คิดเลยสักนิดว่าเป็นการกระทำที่เหลวไหล
“คงไม่ได้… ชายคนนั้นคาดเดาไม่ได้เลย มิอาจกะเกณฑ์ได้ด้วยสามัญสำนึก การร่วมหัวจมท้ายกับเขาอันตรายเกินไป… เราไม่ควรยึดติดกับเรือที่กำลังจะจม”
“…”
สีหน้าเฮ่าเริ่มดำมืด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังบินอยู่ในระดับความสูงที่มากเกินไปจนหายใจได้ลำบาก แต่อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุดประสงค์ของตนกำลังจะล้มเหลว
เฮ่าต้องการโน้มน้าวบันส์เดล
ไม่ใช่เพราะความต้องการของลอเอล
สิ่งเดียวที่เฮ่ากังวลคือมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร
มันคาดการณ์ไว้ว่า มหาสงครามจะนำมาซึ่งหายนะและความยากลำบากชนิดที่ไม่มีใครจินตนาการถึง
มนุษย์ต้องการพลังของดราโกเนี่ยนเพื่อต่อต้าน
ขณะเดียวกัน นี่ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ดราโกเนี่ยนได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
ยิ่งพลังอำนาจของเผ่าดราโกเนี่ยนเพิ่มขึ้น ตัวเฮ่าก็จะยิ่งได้รับสิทธิประโยชน์
“กริดเป็นคนอารมณ์รุนแรง”
“ก็คงอย่างนั้น”
บันส์เดลหันหลังกลับ ราวกับไม่คิดจะสนทนาต่อ แต่ขณะเตรียมบินจากไป มันมีอันต้องชะงัก
นั่นเพราะน้ำเสียงอันฉะฉานของเฮ่าดังเข้ามาในโสตประสาท
“เมื่อใดก็ตามที่มิตรสหายของเขาถูกคุกคามแม้เพียงเล็กน้อย เขาจะรีบตรงมาช่วยและทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างใส่ศัตรู ไม่สนว่าศัตรูจะเป็นจอมอสูรหรือเทวทูต… หรือแม้กระทั่งเทพ… เขาจะประจัญบานด้วยทุกสิ่งที่มีโดยไม่แบ่งแยก”
“…”
“บางที ท่านเฮเลน่าคงไปแตะต้องคนของกริดเข้า… เรื่องหนึ่งที่แน่ชัดก็คือ อย่างน้อยฉันก็ไม่เคยเห็นกริดใช้อำนาจและความรุนแรงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว”
เฮ่าไม่รู้จักนิสัยและพฤติกรรมของกริดในอดีต
แต่มีหนึ่งสิ่งที่มันมั่นใจ
ผู้คนในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์สามารถยิ้มแย้มได้โดยไม่แบ่งแยกว่าเป็นผู้เล่นหรือ NPC
เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับข่าวลือที่ออกมาว่า หลังจากผู้เล่นส่วนใหญ่เข้าปกครองดินแดนในฐานะลอร์ด ที่นั่นก็กลายเป็น ‘นรกของใครบางคน’ ทันที
“เขาไม่ใช่คนที่จมอยู่กับความแค้น… กริดไม่มีทางเป็นศัตรูกับทุกคนบนโลก ในอนาคต ศัตรูของกริดจะมีเพียงฝ่ายชั่วร้ายจากก้นบึ้ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อคุกคามมนุษยชาติ”
“ยกตัวอย่างเช่น… บันเฮเลียร์?”
“…ก็ไม่เสมอไป”
“คุยกันพอแล้ว… เตรียมเครื่องดื่มดีๆ รอไว้เลย ได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ข้าชักอยากจะพบเขาสักครั้ง… แต่ถ้าเจ้าไม่อยากร่วมวงก็ไม่เป็นไร”
หลังจากกลายเป็นลอร์ด บันส์เดลมิได้เปิดฉากทำสงครามกับจักรวรรดิซาฮารัน
เป็นทัศนคติที่เกิดขึ้นหลังจากตำแหน่งจักรพรรดิมีการเปลี่ยนมือ
ดังที่เฮเลน่าเคยกล่าว บันส์เดลมองว่าสงครามกับจักรวรรดิเป็นสิ่งไร้สาระ จึงตัดสินใจยุติมัน
แต่ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวแกรนมาสเตอร์
มันแค่กังวลว่าตนจะคลุ้มคลั่งขณะสู้กับแกรนมาสเตอร์ จนอาละวาดและเข่นฆ่าฝ่ายเดียวกัน
ดราโกเนี่ยนผู้สืบทอดสายเลือดของมังกรมารบันเฮเลียร์มามากที่สุด
ตัวมัน ราชาแห่งดราโกเนี่ยนและสิ่งมีชีวิตที่ถูกยกระดับ หันศีรษะไปยังทิศทางของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์
***
“พวกเราแข็งแกร่งขึ้นมากเลยไม่ใช่หรือ?”
ไอเบลลินกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น
รอยยิ้มที่สดใสของชายหนุ่มไม่เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของนรกเลยสักนิด
สีหน้าแววตาของสมาชิกคนอื่นในปาร์ตี้ก็ไม่แตกต่าง
ราวกับกำลังพิสูจน์ว่ามนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่เชี่ยวชาญการปรับตัว คณะเดินทางเริ่มคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายของนรก
จิตใจของทุกคนกำลังแน่วแน่ อสูรและเผ่าอสูรถูกกำจัดโดยไม่เกี่ยงว่าฝีมือจะถดถอยลงจากผลข้างเคียงของสภาพแวดล้อม
“ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่เก่งขึ้นแบบสุดขีด เลเวลของฉันเพิ่มขึ้นสี่ระดับแล้ว ไอเบลลิน ของนายก็น่าจะหกเลเวลใช่ไหม?”
“ฮุฮุฮุ”
ความแตกต่างที่สุดระหว่างซาทิสฟายและโลกแห่งความจริงคือ ‘รางวัล’
ตรงข้ามกับโลกแห่งความจริงที่ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด มนุษย์คนหนึ่งก็ยากที่จะได้รับรางวัลอย่างเป็นรูปธรรม แต่ซาทิสฟายจะมอบรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ตลอดทุกความพยายามเสมอ ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งตอบแทนมากเท่านั้น
ในช่วงแรก คณะสำรวจเดินไปบนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ จากนั้นก็เผชิญหน้ากับนรกอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างตกที่นั่งลำบากในตอนต้น แต่หลังจากผ่านมาได้ ค่าประสบการณ์และเลเวลก็พุ่งทะยานอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ผู้ที่มีบทบาทมากที่สุดคือยูร่า เธอคอยใช้ ‘สยบขุมนรก’ ในยามที่สมาชิกปาร์ตี้ใกล้ถึงขีดจำกัด
การสนับสนุนจากรูบี้ก็ช่วยได้มาก รวมไปถึง ‘เขตเป็นกลาง’ ที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องประหนึ่งโอเอซิสกลางทะเลทราย
เขตเป็นกลางของนรกนั้นคล้ายกับพื้นผิวโลก
เป็นดินแดนสำหรับพักอาศัยของเผ่าอสูร สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แตกต่างจากมนุษย์เพียงรูปร่าง เพราะพวกมันอาศัยร่วมกับภายใต้กฎระเบียบ มีศีลธรรมและความสงบสุข เป็นแหล่งชุมชนที่เจริญแล้ว
กล่าวกันว่า เนื่องด้วยกฎที่ไม่ถูกเขียนไว้ อสูรจึงไม่ฆ่ากันเองในสถานที่ซึ่งมีเทวรูปของยาธาน ช่างน่าขัน เหตุใดสัญลักษณ์ของสิ่งชั่วร้ายถึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพไปได้
“หลังจากเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถ้าได้สวมใส่ไอเท็มที่ก็อดกริดสร้างล่ะก็…”
นักดาบที่กำลังคุยกับไอเบลลินอย่างตื่นเต้น ชะงักคำพูดกะทันหัน
ดวงตาของยูร่าและครอเกลต่างแหงนมองท้องฟ้า จากนั้น จิสึกะ เฟคเกอร์ และยูเฟอมิน่าต่างก็มองตามขึ้นไป
สีหน้าของนักดาบคนดังกล่าวเริ่มแข็งทื่อ
ทุกคนในปาร์ตี้ต่างแหงนมองตาม
ณ จุดที่ดวงดาวเรียงร้อย พลังงานประหลาดสีคล้ายเลือดซึ่งเคยแพร่กระจายจนเต็มท้องฟ้าเริ่มอันตรธานหาย หมู่ดาราค่อยๆ กลับคืนสู่รูปลักษณ์ปรกติ
จันทร์ขุมนรกที่เคยจ้องมองลงมาด้วยดวงตานับหมื่น ปิดตาลงพร้อมกับส่องแสงเจิดจ้า
นี่คือภาพของท้องฟ้าในความทรงจำทุกคน
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ทุกคนเคยเห็นอยู่ทุกวัน
ฉากคล้ายกับท้องฟ้าของโลกมนุษย์ ถูกนำมาซ้อนทับลงบนท้องฟ้าขุมนรก
“เกิดอะไรขึ้น…?”
“อย่าบอกนะว่า…!”
ราวกับสมาชิกปาร์ตี้ได้เห็นในสิ่งที่ตนมองไม่เห็น สายตาทุกคนหันไปทางยูร่าเป็นตาเดียว
ยูร่าผงกศีรษะ
“มันเริ่มขึ้นแล้ว”
สิ่งที่ทุกคนรับรู้ล่วงหน้าและเตรียมรับมืออย่างยาวนาน
พรมแดนระหว่างนรกและโลกกึ่งกลางเริ่มพร่ามัว
ฉากซึ่งยากจะบรรยายกำลังปรากฏขึ้นตรงหน้า
ประตูมิติหลายพันจุดผุดขึ้นจากความว่างเปล่าบนท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างใหญ่
และเฉพาะแค่นรกขุมที่ยี่สิบเอ็ด
“บ้าบอสิ้นดี…”
เมื่อเห็นเหล่าอสูรและเผ่าอสูรบินออกจากประตูมิติ สีหน้าทุกคนพลันขาวซีด
“กองทัพอสูรรุกรานโลกด้วยวิธีนี้…? แล้วพวกเราจะสกัดกั้นยังไง…”
“บัดซบ! ประตูมิตินั่นมันอะไรกัน?!”
นับตั้งแต่ได้รับแจ้งข่าวว่าจะมีสงคราม
ผู้คนต่างเชื่อว่ามนุษย์มีเวลาเตรียมตัวที่มากพอ
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะรุกรานผ่านประตูมิติจำนวนมหาศาล โดยที่อสูรกับเผ่าอสูรสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างอิสระ
แต่ไหนแต่ไร การรุกรานโลกต้องเริ่มจากการรวมตัวสักแห่งภายในขุมนรก อาจเป็นจุดที่เชื่อมต่อกับหมู่เกาะเบเฮ็น
ยิ่งไปกว่านั้น เคยมีการคาดเดากันว่า กองทัพอสูรไม่สามารถผ่านประตูมิติออกไปได้พร้อมกัน จำเป็นต้องบุกหลายระลอก
แต่ความเป็นจริงแตกต่างจากสิ่งที่คิดโดยสิ้นเชิง สถานการณ์กำลังเลวร้ายสุดขีด
กองทัพอสูรจะปรากฏตัวขึ้นทุกจุดบนโลกอย่างพร้อมเพรียง
ขณะสมาชิกปาร์ตี้กำลังแตกตื่น ยูร่ารีบเปิดประตูนรก
“ทีมแรก… คุณเซฮี จิสึกะ ครอเกล…”
ขณะยูร่ากำลังกำหนดว่าใครจะได้กลับโลกเป็นชุดแรก
ฟ้าว—!!
บางสิ่งซึ่งมีขนาดมหึมาตกลงจากท้องฟ้าและขวางทางประตูของยูร่า
สัตว์ร้ายสามหัว ขนาดตัวใหญ่กว่าช้างราวสี่เท่า
ด้านบนคืออสูรที่สวมชุดเกราะสีดำ
“ข้าไม่สนใจสงครามบนพื้นดิน… แต่ข้าก็ปล่อยพวกเจ้ากลับไปไม่ได้ การสร้างความวุ่นวายในนรกมีราคาที่ต้องจ่าย”
[จอมอสูรลำดับยี่สิบ อัศวินดำ ‘เอลิกอส’ ผู้ปกป้องแม่น้ำแห่งการคืนชีพ ปรากฏตัว]
[เอลิกอสคือผู้ปฏิเสธชีวิต เผ่าพันธุ์ของท่านถูกเปลี่ยนให้เป็นอันเดด]
[เอลิกอสมักใช้พลังแทรกแซงการคืนชีพของวิญญาณ หากถูกเอลิกอสฆ่า มีโอกาส 50% ที่จะติดสถานะ ‘คืนชีพไม่ได้’ หากได้รับสถานะนี้ ท่านจะถูกบังคับออฟไลน์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง]
[ท่านเผชิญหน้ากับสัตว์วิเศษในตำนาน ‘เซอร์เบอรัส’]
[เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาทั้งหกของเซอร์เบอรัส ความสิ้นหวังจะกลืนกินท่าน ประสาทสัมผัสของท่านจะเกิดปัญหา]
[ค่าต้านทานธาตุไฟ ค่าต้านทานความเย็น และค่าต้านทานพิษจะลดลงมากเนื่องจากออร่าของเซอร์เบอรัส]
มหาสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เวทีแรกของสงครามคือนรก
Comments
Post a Comment