จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,469



‘ความเมตตาของเทพโอเวอร์เกียร์’ เปรียบดังจอกยาพิษ


ความเจริญทางเทคโนโลยีเป็นเรื่องที่ดีสำหรับอาณาจักร แต่ก็ต้องระวังว่าศาสนาอาจมีพลังอำนาจมากเกินไปในสายตาคนรอบข้าง


ทุกอาณาจักรยกเว้นโอเวอร์เกียร์ย่อมไม่ปลื้มกับ ‘ความเมตตาของเทพโอเวอร์เกียร์’


พวกมันไม่มีทางทำเป็นหลับตาหนึ่งข้างและแสร้งมองไม่เห็น


หลายฝ่ายเริ่มแสดงท่าทีว่า พวกตนก็ต้องการความเมตตาจาก ‘เทพ’ กริดเช่นกัน


แต่ก็มีนักการเมืองบางรายแสดงความเห็นในแง่ลบ โดยกล่าวว่าการทรยศต่อเทพธิดาแห่งแสงจะนำมาซึ่งความสับสนและแตกตื่นภายในอาณาจักร เพราะศาสนารีเบคก้าเป็นสิ่งที่ชาวเมืองเคารพนับถือติดต่อกันมานานหลายร้อยปี


ทว่า ความเห็นข้างต้นเป็นเพียงส่วนน้อย


สำหรับปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ช่างตีเหล็กที่อยากย้ายมาอยู่ในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ แต่รวมไปถึงอาชีพประเภท ‘ช่าง’ ทุกคนบนทวีป


ท่ามกลางกระแสการย้ายอาณาจักรของเหล่า ‘ช่าง’ ผู้คนเริ่มหันมาสังเกตท่าทีของโบสถ์หลักทั้งสาม


ต้องไม่ลืมว่า ทั้งสามเทพกำลังจะสูญเสียสาวกไปเป็นจำนวนหนึ่ง เนื่องจากอาณาจักรที่มีไหวพริบดีส่วนใหญ่เตรียมประกาศเปลี่ยนศาสนาประจำชาติไปเป็นเทพโอเวอร์เกียร์


แถมนี่ยังเป็นท่าทีของอาณาจักร ‘เป็นกลาง’ ไม่ใช่ชาติพันธมิตร


เหล่าอาณาจักรที่จับมือกับโอเวอร์เกียร์เพื่อเตรียมทำสงครามกับกองทัพอสูร เดิมทีพวกมันก็มีมิตรไมตรีที่ดีกับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างสนิทสนม


พวกมันไม่รอช้า เตรียมแสดงความเชื่อใจต่อกริดโดยการปรับปรุงวิหารของกริด ขณะเดียวกันก็กำหนดให้โบสถ์โอเวอร์เกียร์กลายเป็นศาสนาประจำชาติ


แต่ปัญหาอยู่ตรงนี้


ผลของบัฟ ‘ความเมตตาของเทพโอเวอร์เกียร์’ จะอยู่จำกัดเฉพาะในดินแดนที่ ‘กริดเป็นเจ้าของ’


ใช่แล้ว


ไม่ว่าพวกมันจะเทิดทูนและกราบไหว้บูชาเทพโอเวอร์เกียร์มากเพียงใด สร้างวิหารให้ยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่ก็หมดสิทธิ์ได้รับความเมตตาจากเทพโอเวอร์เกียร์ ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร


หลายอาณาจักรต้องหันหัวเรือกลับ


รัฐบาลของแต่ละอาณาจักรต้องเร่งกำหนดนโยบายชั่วคราวอย่างการห้ามมิให้อาชีพช่างย้ายอาณาจักร หรือบางแห่งก็ซื้อใจด้วยการจ้างในราคาสูง


ต่อให้ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาประจำอาณาจักร แต่ของแบบนี้ย่อมไม่สามารถพันธนาการผู้เล่น


ด้วยเหตุนี้ พวกมันจึงไม่เหลือทางเลือกนอกจาก—


“…ขอร้องล่ะ”


จักรวรรดิซาฮารันมีแนวโน้มที่จะสูญเสียช่างไปเป็นจำนวนมาก และนั่นไม่ใช่ปัญหาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยพลังของตัวเอง


ดังนั้น ‘ราชาอมตะ’ เกล็นฮาลตัดสินใจมาเยือนอาณาจักรโอเวอร์เกียร์พร้อมกับก้มศีรษะ


“ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป บรรดาช่างจะหลั่งไหลออกจากจักรวรรดิ… ประชาชนจะตื่นตระหนก”


เรื่องราวลุกลามใหญ่โต


จริงอยู่ ช่างที่ย้ายออกจากจักรวรรดิมีเพียงผู้เล่น ส่วนช่าง NPC ยังคงไม่ไปไหน เพราะมันสำนึกรักในบ้านเกิดและยังถูกผูกมัดด้วยกฎหมายบ้านเมือง


อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีคือสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะสาขาใด


การต้องสูญเสียช่างเป็นจำนวนมาก แปลว่าจักรวรรดิจะสูญเสียความสามารถในการเติบโต และนั่นหมายถึงความเสื่อมถอย


อาณาจักรใดสูญเสียช่างที่มากประสบการณ์ อาณาจักรนั้นก็ยากที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า


“เงยหน้าขึ้นเถิด”


กริดวางค้อนลง แต่เสียงค้อนยังคงดังอึกทึกภายในโรงตีเหล็ก


หัตถ์เทวะทั้งสามสิบข้างกำลังกระหน่ำสร้างไอเท็ม


สิ่งแรกที่กริดทำหลังกลับจากทะเลแดงก็คือ ‘ปรับแต่ง’ หัตถ์เทวะและผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก


ในเมื่อขีดจำกัดด้านปริมาณของละโมบถูกปลดออก สิ่งแรกที่ต้องให้ความสนใจคือ ‘แรงงาน’


เดิมที ละโมบคือวัสดุหลักของหัตถ์เทวะอยู่แล้ว


หัตถ์เทวะรุ่นปรับปรุงใหม่จะสืบทอดค่าพละกำลังและความชำนาญมือจากเจ้าของไป 60% และสืบทอดความแข็งแกร่งในการสร้างไอเท็มไปอีก 40% (ประสิทธิภาพ)


แถมพวกมันยังครอบครองทักษะ ‘ช่างตีเหล็กระดับช่างฝีมือ’


แม้ว่ากริดต้องสูญเสียมานาทุกครั้งที่หัตถ์เทวะสร้างไอเท็ม แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่


อัตราการฟื้นฟูมานาของกริดสูงจนน่าทึ่ง


[หัตถ์เทวะ (3) สร้างไอเท็มสำเร็จ]


[หัตถ์เทวะ (19) สร้างไอเท็มสำเร็จ]


[หัตถ์เทวะ (6) สร้างไอเท็ม…]


“ฉันคุยกับมหาเสนาบดีมาสองแล้ว… อาณาจักรโอเวอร์เกียร์จะไม่ต้อนรับช่างทุกคนแบบส่งเดช… หากต้องการจะเข้าร่วมกับอาณาจักร พวกเขาต้องผ่านเกณฑ์บ้างข้อเสียก่อน”


ดยุคเกล็นฮาลมีอำนาจยิ่งใหญ่ ภายในจักรวรรดิซาฮารัน ตัวตนของมันเป็นรองเพียงหนึ่ง ไม่มีความจำเป็นต้องก้มหัวให้ใคร แต่ถึงอย่างนั้น มันตัดสินใจบากหน้ามาขอร้องกริด และเชื่อว่าอาณาจักรโอเวอร์เกียร์จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับจักรวรรดิให้เหลือน้อยที่สุด


ในอดีต มันเข้าร่วมงานฉลองทั้งเล็กและใหญ่ของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์โดยไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าจะเป็นพิธีสำเร็จการศึกษาของโรงเรียนหลวง พิธีฉลองการบรรลุนิติภาวะของลอร์ด


เกล็นฮาลคอยทำให้โลกเห็นว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์สนิทชิดเชื้อกับจักรวรรดิมากเพียงใด และนั่นช่วยเพิ่มอำนาจทางการเมืองให้อาณาจักรอย่างมาก เป็นเหตุให้ กริดและลอเอลยอมตั้งกฎไม่รับช่างจากชาติอื่นหากไม่ผ่านเกณฑ์


แน่นอน การตัดสินใจนี้ไม่ได้เกิดจากแนวคิด ‘เห็นอกเห็นใจ’ อาณาจักรอื่น


ลอเอลมองโลกไปตามความจริง


หากช่างทั้งหมดบนทวีปหลั่งไหลเข้ามาจริง เกรงว่าแม้แต่อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ก็คงมิอาจต้อนรับและอำนวยความสะดวกได้อย่างทั่วถึง


นอกจากนั้น ราคาของสินค้าบางชนิดจะสูงขึ้นจนมิอาจควบคุม เช่นที่ดินและบ้าน นั่นมาพร้อมกับความวุ่นวายในเชิงเศรษฐกิจ


ไม่ใช่เรื่องดีที่จะก่อปัญหาก่อนที่มหาสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจจะเริ่มขึ้น


ทางเลือกที่ฉลาดก็คือ สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อชะลอการย้ายเข้าของประชากร


พวกตนไม่จำเป็นต้องรีบร้อน


อาณาจักรโอเวอร์เกียร์สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง แตกต่างจากสมัยที่พยายามดึงดูดช่างตีเหล็กจากทั่วโลกให้มารวมตัวในอาณาจักร


นอกจากนั้น ลอเอลยังใช้ทฤษฎี ‘ยิ่งเห็นคนอื่นได้กิน ก็ยิ่งอยากกินตาม’


ยิ่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ชะลอการหลั่งไหลของช่างทั่วโลก ช่างที่พลาดการเข้าร่วมก็ยิ่งทวีความปรารถนาที่จะเข้าร่วมกับโอเวอร์เกียร์ เมื่อถึงตอนนั้นจะเกิดแรงต้านและการแข็งขืนอย่างรุนแรง และฝ่ายที่ต้องลำบากใจก็คือราชวงศ์ของแต่ละอาณาจักรเอง


เมื่อราชวงศ์เริ่มตกที่นั่งลำบาก พวกมันจะได้ข้อสรุปว่า ‘คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่วมมือกับอาณาจักรโอเวอร์เกียร์’


ลอเอลที่คิดล่วงหน้าไปหลายชั้น ตัดสินใจลงมือด้วยวิธีที่ดูเป็นมิตรกับทุกฝ่าย


สรุปก็คือ:


ในปัจจุบัน อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ไม่ได้ต้องตัวการช่างมากขนาดนั้น ตรงกันข้าม การปล่อยให้เข้ามารังแต่จะสร้างปัญหา พวกมันจึงเลือกชะลอการหลั่งไหลของช่างเพื่อซื้อใจอาณาจักรข้างเคียงไปในตัว


และไม่ผิดคาด กริดเห็นพ้องกับแผนของลอเอล


ชายหนุ่มไม่เคลือบแคลงแผนของอัจฉริยะผู้นำพาอาณาจักรโอเวอร์เกียร์มาสู่ความยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน


ถึงในบางครั้ง กริดจะเมินลอเอลบ้างก็ตาม


เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับมังกรดำอะไรสักอย่าง


“เราต้องอยู่ร่วมกัน… ตอนนี้จดหมายแจ้งอย่างเป็นทางการคงถูกส่งไปถึงทุกอาณาจักรในทวีปแล้ว รวมถึงจักรวรรดิด้วย… เป็นจดหมายที่ชี้แจงว่า ทางเราไม่มีนโยบายที่จะขโมยช่างจากอาณาจักรอื่นๆ”


“ยอดเยี่ยม… ยอดเยี่ยมมาก!”


“ไม่ต้องซาบซึ้งขนาดนั้น… ทางเราจะไม่ปฏิเสธ ‘ช่างฝีมือ’ ที่สนใจอาณาจักรโอเวอร์เกียร์… ถึงฉันจะอยากให้ทวีปนี้สงบสุข แต่การพัฒนาบ้านเกิดก็สำคัญไม่แพ้กัน”


“ตกลง! ฉันเข้าใจ! เท่านี้ก็ดีมากแล้ว… ความกรุณาของฝ่าบาทช่างกว้างขวางดุจดังมหาสมุทร!”


“ฮะฮะ…”


กริดรับรู้ได้จากสายตาของเกล็นฮาล


เป็นสายตาของคนที่กำลังจ้องมองด้วยความ ‘ศรัทธา’


‘รู้สึกผิดชะมัด…’


กริดมีอันต้องรู้สึกผิดทุกครั้งที่ทำตามแผนการของลอเอล


***


ไม่นานหลังจากที่เกล็นฮาลกลับไป


กริดกลับมาทุ่มความสนใจกับงานอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็คาดหวังว่าเสียงต่างๆ ภายในจักรวรรดิจะเริ่มเสนอแนะแนวคิดทำนอง ‘มาทำให้โอเวอร์เกียร์เป็นจักรวรรดิใหม่กันเถอะ’


แต่ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นความโกลาหล


ช่องสนทนากิลด์มีข้อความขึ้นมากมาย


“เฮสเตอร์?”


เฮสเตอร์ที่ถูกส่งออกจากทีมสำรวจนรกเมื่อสองวันก่อน ปัจจุบันกำลังโวยวายขอกลับเข้าไป


“หืม…”


ชื่อเสียงของเฮสเตอร์ลดลงเรื่อยๆ ในระยะหลัง และเริ่มเป็นเป้าของการเยาะเย้ยถากถาง


เฮสเตอร์ที่หายหน้าหายตาไปนานมาก ได้ปรากฏตัวอีกครั้งเพื่อสมัครเข้าร่วมทีมสำรวจนรก และนั่นทำให้หลายฝ่ายประทับใจ


ลอเอลประเมินฝีมือของอีกฝ่ายในระดับ ‘ค่อนข้างดี’


นอกจากนั้น สาเหตุที่ลอเอลยอมให้เฮสเตอร์ร่วมทางไปด้วย เพราะมันได้ยินมาว่า ‘ปราชญ์สีชาด’ ในหมู่อัศวินสีชาดรุ่นก่อนคือตัวตนที่ยิ่งใหญ่


แต่ผลลัพธ์กลับออกมาล้มเหลว


การเอาชีวิตรอดมาจนถึงนรกขุมที่ยี่สิบสองนั้นไม่แย่ แต่ก็ยังต่ำกว่าความคาดหวัง


เฮสเตอร์ได้ทำให้ชื่อของปราชญ์สีชาดต้องแปดเปื้อนอีกครั้ง


คงเข้าใจได้ถ้าวินฟรีด อาจารย์ของเฮสเตอร์และอดีตอัศวินสีชาดลำดับหนึ่ง จะกำลังระเบิดโทสะอย่างโกรธเกรี้ยวภายในโลกแห่งความตาย


ยังไม่จบเพียงแค่นั้น เฮสเตอร์ยังทำให้ชื่อเสียงของตนในฐานะจักรพรรดิแห่งวงการเกมต้องป่นปี้


แถมยังสร้างความมัวหมองให้ครอเกล ผู้เคยพลาดท่าพ่ายแพ้ให้เฮสเตอร์ไปหนึ่งหน


ถึงจะเป็นเพราะเลเวลของครอเกลถูกรีเซตในตอนนั้น แต่ผู้ที่ผิดหวังกับพัฒนาการของเฮสเตอร์มากที่สุดก็ยังเป็นครอเกล


> หมอนั่นมาขอร้องหน้าด้านๆ ว่าอยากกลับไปที่นรกอีกครั้ง


ชาวโอเวอร์เกียร์บางคนตอบสนองด้วยทัศนคติเย็นชา


ไม่ใช่เพราะเกลียดชังเฮสเตอร์ แต่เป็นเพราะผิดหวังในฝีมือ


พวกมันก็เป็นอีกกลุ่มที่คาดหวังในตัวเฮสเตอร์ไว้มาก


ยิ่งเป็นคนที่เล่นเกมมานาน ความผิดหวังก็ยิ่งสูง เพราะคนกลุ่มนั้นเคยเทิดทูนเฮสเตอร์มาก่อน


คล้ายกับพวกมันสูญเสียบุคคลที่เคยศรัทธา


“เมอร์เซเดส”


“เพคะ”


ในระยะหลัง เมอร์เซเดสเอาจริงเอาจังกับการฝึกมาก


กล่าวกันว่า เธอฝึกหนักโดยไม่ได้พักผ่อนตั้งแต่เช้าถึงบ่าย และในตอนเย็นก็คอยอารักขาข้างกายกริดตลอดทั้งคืน


แต่กระนั้น ใบหน้าของหญิงสาวกลับปราศจากความเหนื่อยล้า


ตรงกันข้าม คล้ายกับเธอมีชีวิตชีวามากกว่าเก่า


‘ม้วนกระดาษพวกนั้นคืออะไร?’


กริดสังเกตเห็นม้วนกระดาษหนาๆ ที่ถูกสอดเข้าไปในช่องอาวุธรอง – อุปกรณ์ที่เป็นราวกับชีวิตที่สองของอัศวิน ทำให้ชายหนุ่มเกิดความสงสัยว่านั่นคือม้วนกระดาษอะไร


สำคัญถึงขั้นที่ต้องย้ายอาวุธรองไปผูกกับโล่ให้สั่นไปสั่นมาเวลาเดินเชียวหรือ?


ทว่า คำถามของกริดกลับเป็นประเด็นอื่น


“ปราชญ์สีชาดในอดีตเก่งกาจขนาดไหนเมื่อเทียบกับปิอาโร่และอัสโมเฟล?”


“ลอร์ดวินฟรีดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จึงยากที่จะเปรียบกับท่านทั้งสอง… ดิฉันได้ยินมาว่า ทุกภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เขาจะทำคนเดียวเสมอ”


“ถ้าถูกขนานนามให้เป็นปราชญ์… แปลว่าต้องมีความรู้กว้างขวางใช่ไหม? ไม่ใช่แค่ฝีมือที่เก่งกาจ”


“ในระยะประชิด เขาอ่อนแอกว่าอัสโมเฟลและซินกูเล็ด แต่สามารถใช้อาวุธได้หลากหลายกว่า และเวทมนตร์ที่เขาคิดค้นขึ้นเองสามารถเล่นงานมหาจอมเวททีเผลอได้… นั้นคือทั้งหมดที่ดิฉันทราบ… ต้องขออภัยด้วยที่มิอาจให้คำตอบที่เป็นประโยชน์กับฝ่าบาท”


“ไม่ต้องขอโทษ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”


ขณะที่อัศวินสีชาดรุ่นก่อนกำลังโด่งดัง เมอร์เซเดสเป็นเพียงเด็กสาว คงเป็นเรื่องยากที่เธอจะกะเกณฑ์พลังของอัศวินลำดับหนึ่งในเวลานั้นอย่างแม่นยำ ต่อให้พึ่งพาเนตรมองทะลุก็ตาม แถมความทรงจำก็คงเลือนรางไปมาก


“ไปพาตัวชายที่ชื่อเฮสเตอร์มาหาฉัน… ถ้าเจ้านั่นขัดขืน… ก็ไม่ต้องถึงกับฆ่า”


“รับบัญชา”


สำหรับเมอร์เซเดส คำสั่งของกริดคือกฎที่มีความสำคัญสูงสุดของโลก


เธอสยายปีกสีเงินและบินหายไปจากขอบกำแพงวัง


ใครก็ตามที่ได้เห็นฉากนี้ พวกมันคงคิดว่าจอมอสูรหรือสาวกเทพสงครามปรากฏตัวแล้ว


ผ่านไปสิบนาที กริดและหัตถ์เทวะสร้างไอเท็มเสร็จอีกแปดชิ้น


“พามาแล้วค่ะ”


เมอร์เซเดสกลับมาถึง


ในท่ายกแขนบีบคอเฮสเตอร์จนเท้าลอยจากขึ้น


“…”


กริดบอกว่าห้ามฆ่า


ก็เลยซัดจนปางตายและลาก ‘ซาก’ กลับมา?


“นายขัดขืนเธอหรือ?”


กริดจ้องหน้าเฮสเตอร์ที่บาดเจ็บหนักและถามติดตลก


เฮสเตอร์มอบคำตอบด้วยดวงตาที่ยังคงสุขุม


“เปล่า… ฉันแค่ขอดวลกับเธอ… คิดว่านี่เป็นโอกาสอันดี เพราะชื่อเสียงของเธอโด่งดังมาก”


มันเล่าเหตุการณ์ไปตามจริง— ไม่สิ มันรู้ตัวดีว่าไม่ควรโกหก


ทัศนคติของเฮสเตอร์ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก


แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเมื่อก่อนเฮสเตอร์เป็นพวกป่าเถื่อน ในการพบกันครั้งแรก กริดมองว่าชายคนนี้ก็ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอะไร มันยังสุภาพต่อกริดที่เด็กกว่าพอสมควร


ถึงแม้ในอดีตจะเคยเป็นจักรพรรดิแห่งวงการเกม แต่ก็ดูเหมือนจะรู้จักการให้เกียรติผู้อื่น


นั่นคือภาพจำแรกที่กริดมีต่ออีกฝ่าย


แต่ปัจจุบัน แววตาของเฮสเตอร์ยังขาดจิตสังหาร คล้ายกับคนที่เตรียมถอดใจเลิกเล่น


‘รู้สึกหมดอาลัยตายอยากหลังจากถูกล่าโดยผู้เล่นคลาสทั่วไป? ไม่สิ ผู้เล่นที่ขาดแรงจูงใจคงไม่สมัครเข้าร่วมทีมสำรวจนรก และคงไม่โวยวายที่จะกลับไป… แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหมอนี่?’


กริดย่อมไม่เคยทราบมาก่อนว่า ในอดีต เฮสเตอร์เคยยกย่องชื่นชมกริด


แต่ความรู้สึกดังกล่าวอันตรธานหายไปในตอนที่มันเผชิญหน้ากับฮูเร็น


ถึงกระนั้น ต่อให้อดีตจะน่าขมขื่นสักเพียงใด แต่ปัจจุบันเฮสเตอร์ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเคารพในความสำเร็จของกริด และไม่กล้าทำตัวโอหัง


ด้วยความสัตย์จริง มันไม่กล้าแม้แต่จะสบตา


“แล้วเป็นยังไงบ้าง? เธอแข็งแกร่งสุดๆ ไปเลยใช่ไหม?”


เป็นคำถามที่ไร้สาระมาก สภาพปัจจุบันของเฮสเตอร์คือคำตอบในตัวเองอยู่แล้ว


มันกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว ส่วนเมอร์เซเดสแทบจะไร้รอยขีดข่วน


อาวุธรองยังผูกติดกับโล่ในสภาพใหม่เอี่ยม


แถมม้วนกระดาษก็ยังเหน็บอยู่ในตำแหน่งเดิมของเอว


> ฝ่าบาท ดิฉันไม่เข้าใจ…


เมอร์เซเดสส่งข้อความเสียงหาชายหนุ่ม


> เขาใช้วิชาเดียวกับเซอร์วินฟรีด แต่กลับอ่อนแออย่างน่าฉงน


> ก็แปลว่าเขาไม่มีพรสวรรค์


> ไม่ใช่แบบนั้น… เป็นความรู้สึกเหมือนกับ… เขาจงใจใส่เสื้อผ้าที่ไม่พอดีตัว


> จงใจเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้?


> มันดูผิดธรรมชาติยิ่งกว่านั้นอีก… คงต้องจับตามองมากกว่านี้อีกสักนิด อาจช่วยให้เข้าใจเจตนา


> ถ้าได้สวมเสื้อผ้าที่พอดีตัว เขาจะเป็นยังไง?


> ก็ยังอ่อนแอ…


น่าผิดหวังฉิบ


เนตรมองทะลุของเมอร์เซเดสสามารถประเมินทุกสิ่งได้แม่นยำมาตลอด


สิ่งใดที่ไม่มั่นใจ เธอจะไม่พูด เพราะมั่นหมายถึงความปลอดภัยของกริด


ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจเปลี่ยนไปในพักหลัง แต่กริดก็คงไม่ทราบอยู่ดี


กริดจ้องหน้าเฮสเตอร์โดยไม่กล่าวอะไรสักพัก ก่อนจะตรงเข้าประเด็น


“อยากกลับเข้าร่วมทีมสำรวจนรกหรือ?”


“ใช่… คราวนี้ฉันจะทำให้ดีที่สุด ได้โปรดให้โอกาสด้วย”


“ตอบฉันมา… นายคิดว่าการทำแบบนั้น จะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปของยูร่าไหม?”


“…”


เฮสเตอร์ตอบไม่ได้


ปัจจุบัน หลังจากเข้าร่วมทีมสำรวจนรกได้สักพัก มันพอจะกะเกณฑ์ฝีมือตัวเองได้อย่างคร่าวๆ


คุ้มไหมกับการให้ยูร่าเสียเวลากลับมารับ?


คำตอบคือไม่ เพราะนั่นจะสร้างความเสียหายกับทีมสำรวจที่ยังเหลือ


แต่ว่า


“ฉันอยู่ว่าฉันทำตัวน่ารำคาญ… แต่ไม่ว่ายังไงก็อยากกลับไป… ฉันไม่ละอายใจอะไรทั้งนั้น”


เฮสเตอร์ได้แต่ภาวนาให้อีกฝ่ายยอมมอบโอกาส


อายุของมันอาจจะเลยช่วงที่ดีที่สุดมาแล้ว แถมการตัดสินใจก็ยังช้ากว่าตอนเป็นวัยรุ่น แต่อยากแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความยอดเยี่ยมของปราชญ์สีชาดและหนึ่งในเจ็ดนักบุญภัยพิบัติ


การปล่อยให้พลังเหล่านี้เลือนหายไปตามกาลเวลา ถือเป็นบาปร้ายแรงที่มันละอายใจ


“ถึงแม้จะน้อยนิด… แต่ฉันมั่นใจว่าตัวเองมีประโยชน์ในสงครามใหญ่”


“นายมองว่ามหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรเป็นวิกฤติรึเปล่า?”


“…ถามอะไร? ต้องแน่นอนอยู่แล้ว… การที่อาณาจักรโอเวอร์เกียร์ต้องเตรียมรับมืออย่างเต็มที่ก็เพราะมันคือวิกฤติไม่ใช่หรือ? และอาจารย์วินฟรีดก็เคยบอกว่า ระวังสิ่งมีชีวิตจากนรกไว้ให้ดี”


“ทำไมนายถึงอยากเป็นกำลังสำคัญในสงคราม?”


“แน่นอน… เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง”


‘ตรงไปตรงมาดี’


สำหรับศักยภาพและประสิทธิภาพของปราชญ์สีชาด อดีตอัศวินสีชาดเคยแสดงให้โลกประจักษ์มาแล้ว


นั่นคือเหตุผลที่กริดอยากพบเฮสเตอร์ มันต้องการประเมินชายคนนี้ให้แม่นยำ


และคำตอบของเฮสเตอร์ได้ยืนยันความแน่วแน่แล้ว


ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธความช่วยเหลือจากคนอื่น เพราะในสถานการณ์ปัจจุบัน แค่มีมือยื่นมาช่วยเพิ่มอีกสักข้างก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว


แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันช่วยเฮสเตอร์ แต่ในอนาคตกลับถูกหักหลัง?


คำถามงี่เง่า


มันไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องกลัวว่าจะถูกผู้เล่นคนใดทรยศอีกแล้ว


หากมันยังหวาดกลัวผู้เล่น การช่วยเหลือเฮ็กเซเทียก็คงเป็นแค่ความฝัน


คงเป็นเรื่องที่โง่มาก หากยังคลางแคลงในมือฝีมือตัวเองทั้งที่แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว


สิ่งที่กริดต้องใช้ย้ำเตือนตัวเองคือความเชื่อมั่น ไม่ใช่ข้อสงสัย


“ตกลง… ฉันจะโน้มน้าวยูร่าให้… แต่มีเงื่อนไข”


กริดที่มีหัตถ์เทวะแปดข้างรายล้อม ส่งคำขอท้าดวลไปถึงเฮสเตอร์


เป็นการดวลที่ไม่มีบทลงโทษ


“สู้กับพวกมันและชนะให้ได้”


“ฮะฮะ… นายกำลังบอกให้ฉันดวลกับปัญญาประดิษฐ์?”


เฮสเตอร์อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ


หัตถ์เทวะ


พวกมันอาจเป็นสัญลักษณ์ของกริด แต่จุดอ่อนคือการที่มิอาจทำตามคำสั่งซับซ้อน


เฮสเตอร์เคยเห็นการต่อสู้ของกริดมาแล้วหลายครั้งในอินเทอร์เน็ต แต่มันมิได้ปลื้มหัตถ์เทวะเป็นพิเศษ


ไม่ว่าจะศึกใด หัตถ์เทวะแทบไม่เคยเป็นตัวแปรสำคัญในชัยชนะของกริด


ช่วงแรกๆ อาจจะใช่ แต่หัตถ์เทวะไม่ได้เป็นอาวุธหลักของกริดมานานแล้ว


พวกมันก็แค่อุปกรณ์เสริมที่ช่วยให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น


“ต่อให้มาสามสิบข้างฉันก็มั่นใจว่าจะชนะ นับประสาอะไรกับแปด… แต่ช่างเถอะ มาลุยกันเลย”


เฮสเตอร์หัวเราะแห้งเมื่อตระหนักว่าตนถูกประเมินไว้ต่ำแค่ไหน


จากนั้น มันรับคำท้าดวล


มันเดินตามหัตถ์เทวะแปดข้างออกไปยังลานโล่ง


ส่วนกริดยังคงอยู่ในโรงตีเหล็กและเริ่มผลิตไอเท็มใหม่


สี่นาทีถัดมา


เฮสเตอร์เดินกลับมาและยื่นข้อเสนอ


“แปดต่อหนึ่งมันไม่แฟร์แต่แรกแล้ว… หกได้ไหม… เอ่อ… ไม่สิ ขอเริ่มจากสาม นั่นน่าจะเหมาะกว่า”


มันพยายามประเมินฝีมือของตัวเองโดยไม่เอนเอียง


กริดพยักหน้ารับเงียบๆ


อันที่จริง มันแอบดูการต่อสู้ด้วยเนตรบาร์บาทอส


ส่วนเมอร์เซเดสก็แอบมองจากหน้าต่าง


ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะช่ำชองการแอบมองขึ้นมากในระยะหลัง

______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,990
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ




Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00