จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,465



มีชายคนหนึ่ง มันพยายามต่อสู้เพื่อปกป้องโลกนี้


ชายคนนั้นทำเพื่อคนอื่นมาตลอด แต่น่าเสียดาย มันกลับหักหลังเพื่อนสนิทของตัวเอง


มีชายอีกคนหนึ่ง มันใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมาตลอด


ไม่เคยเชื่อใจใครเลย แต่กลับเชื่อมั่นในพวกพ้องเป็นอย่างมาก


ชายทั้งสองร่วมมือกันผลิตวัตถุขึ้นมาบางชิ้น


วัตถุดังกล่าวเกิดจากทักษะ ความรู้ ความทะเยอทะยาน และความหัวรั้นของชายทั้งสอง


วัตถุชิ้นนั้น ตัวมันคือยาพิษมาตั้งแต่ต้น


วัตถุชิ้นนั้น ตัวมันเต็มไปด้วยความเกลียดชัง


อาจเป็นเพราะนิสัยที่แตกต่างอย่างสุดขั้วของชายทั้งสอง วัตถุชินนี้จึงไม่ใช่ผลผลิตที่สมบูรณ์แบบ


มันไม่หลงเหลือพลังงานสำหรับกระทำสิ่งใด


มันมิอาจรองรับความโลภของเจ้านายคนใหม่


มันย่อยเหล็กมังกรคลั่งไม่ได้ ส่งผลให้ความเกลียดชังในตัวเองเริ่มฝังรากลึก


เจ้านายของมันต้องผิดหวัง ความโลภของชายคนนั้นไม่ถูกเติมเต็ม


โลหะที่เย็นชาเริ่มผุกร่อนจากภายใน


นี่คือความจริงที่ไม่เคยมีใครรับรู้


และปัจจุบัน มันคือความจริงที่ไม่จำเป็นต้องรับรู้


หลังจากย่อยเหล็กมังกรคลั่งสำเร็จ บรรลุความปรารถนาและโลภมากของเจ้านาย ในที่สุดความเกลียดชังในใจมันก็ได้รับการแก้ไข


เรื่องราวที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ของโลหะชนิดหนึ่ง จะถูกเก็บไว้เป็นความลับตลอดกาล


เป็นตอนจบที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง


บราฮัมเปิดปาก


“ฉันขอสารภาพ”


เงียบเพราะไม่มีปาก เฉยชาเพราะไร้หัวใจ


‘ละโมบ’ ที่คอยเคียงข้างเจ้านายอย่างเย็นชาและเงียบงันมาตลอด ตอบสนองต่อสิ่งที่มันได้ยิน


ละโมบอาศัยดวงตาสีทองที่ยืมมาจากไรเดอร์ส ช่วยให้มองเห็นชายผมสีเงินคนหนึ่ง


ชายคนที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลย ปรากฏท่ามกลางคลื่นสูงที่สะท้อนแสงระยิบระยับ


ละโมบรู้จักมันเป็นอย่างดี


ในฐานะผู้ให้กำเนิด มิใช่เจ้าของ


ดวงตาสีแดงที่เคยจ้องมาทางมันเป็นครั้งคราว เมื่อก่อนเคยเจือความเสียดายอย่างเบาบาง


แต่ปัจจุบัน ของแบบนั้นไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว


ปราศจากความรู้สึกเสียดายโดยสิ้นเชิง


“ในบางครั้ง ฉันนำนายไปเปรียบกับแพ็กม่า”


“…”


กริดที่กำลังสดใสร่าเริงสุดขีด ถูกเรียกสติคืนกลับมา


“โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพาเฟรเนี่ยม… ฉันเคยคิดว่าถ้าเป็นเจ้านั่น มันจะใช้สัญลักษณ์ชนิดนี้ได้มีประโยชน์กว่านาย”


กริดหันมามองบราฮัม


ดวงตาสีดำที่เจือสีแดง ประสานสายตากับดวงตาสีแดงที่เจือสีดำ


“นายทำให้ฉันรู้ว่า ความคิดดังกล่าวโง่เขลาขนาดไหน… นายดีกว่ามันทุกด้าน… และดีกว่าฉันด้วย”


บราฮัมมิได้ถูกแพ็กม่าฆ่าตายเพราะมันอ่อนแอกว่า


เกิดจากการที่แพ็กม่าเตรียมการมาเป็นอย่างดี ส่วนบราฮัมคาดไม่ถึงว่าจะถูกทรยศ


เป็นความผิดพลาดที่มันไม่มีวันลืมไปชั่วชีวิต


ความผิดพลาดที่พรากชีวิตของบราฮัมไปหลายร้อยปี


แต่ถึงอย่างนั้น บราฮัมก็มิได้ลดทอนศักดิ์ศรีของตัวเอง


มันมั่นใจว่า การกลับมาในคราวนี้จะทำให้ตนแข็งแกร่งที่สุด


เป็นความเชื่อมั่นจากก้นบึ้ง หลังจากจัดการไฮดราสำเร็จ


บราฮัมสรุปโดยประเมินจากจุดสูงสุดของตัวเอง และนำไปเทียบกับศักยภาพของอดีตตำนานรุ่นก่อนๆ


มันมองว่ากริดมีสิทธิ์ที่จะเหนือกว่าตนได้ แต่นั่นเป็นอนาคตที่ไกลมาก


บราฮัมมั่นใจ กริดไม่มีวันก้าวข้ามตน หากอีกฝ่ายยังไม่ก้าวข้ามตำนานคนอื่นๆ ที่โลกเคยมีมา


แต่ในวินาทีนี้ มันแก้ไขข้อสรุปดังกล่าว


“ศักยภาพของนาย… ไม่มีขีดจำกัดมาตั้งแต่แรก”


เกิดกว่าศักยภาพของตนที่กว้างใหญ่ประหนึ่งมหาสมุทรเสียอีก


“ฉันขอยอมรับว่า… นายแข็งแกร่งที่สุด”


ลองนึกภาพตาม


ไม่ว่าจะเป็นดาบของอริยดาบที่สามารถผ่าโลกเป็นสองซีก หรือวิชาดาบราชาไร้พ่ายที่สามารถคร่าชีวิตผู้คนนับล้านในพริบตา แต่ทั้งหมดจะไม่มีวันฟันผ่านแนวป้องกันที่ชื่อว่า ‘ละโมบ’


หรือต่อให้ทำสำเร็จ คนเหล่านั้นก็คงถูกสายฝนละโมบเล่นงานจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว


มันคือพลังที่สุดยอดจนแม้แต่บราฮัมยังหนาวสั่นไปถึงกระดูกสันหลัง


กริดสมัยอดีต กริดที่ถูกขอร้องให้สร้างภาชนะสำหรับกักเก็บดวงวิญญาณ – ชามข้าวหมา


กริดคนนั้นตายไปจากใจบราฮัมแล้ว


“คนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกคือนาย”


[เทพโอเวอร์เกียร์กริดกำลังเขียนมหากาพย์บทที่สิบสาม]


[ชายผู้สูงส่งกำลังยกย่องเขา]


[กล่าวว่าเขาไร้ก้นบึ้งประหนึ่งห้วงจักรกาล]


[กล่าวว่าเขาสุกสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์]


[กล่าวว่าเขา… คือศูนย์กลางจักรวาลที่มีอวกาศสีดำห้อมล้อม]


[กล่าวว่าเขา… คือนิยามของคำว่าสมบูรณ์แบบ]




***


『ได้ยินว่าเมื่อสิบวันก่อน ทีมสำรวจนรกที่นำโดยกิลด์โอเวอร์เกียร์ เดินทางออกจากนรกเรียบร้อยแล้วครับ… ทุกคนต่างมีคำถามมากมาย… เหตุใดกิลด์โอเวอร์เกียร์ที่สามารถผูกขาดนรกไว้เพียงผู้เดียว จู่ๆ ถึงตัดสินใจเปิดรับเหล่านักสู้ทั่วโลกเข้ามาอยู่ในทีมสำรวจ? เรื่องนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงอยู่ครับ คุณมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง? 』


『มีการเปิดเผยจากสื่อต่างๆ หลายสำนัก พวกเขาระบุตรงกันว่า กิลด์โอเวอร์เกียร์มองมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรเป็นวิกฤติ ไม่ใช่เทศกาลครับ… พวกเขาพยายามสร้างพันธมิตรกับขั้วอำนาจใหญ่ของทวีปอย่างจักรวรรดิและวัลฮัลล่า คงไม่ต้องเดาว่าสถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน… ผมคิดว่ากิลด์โอเวอร์เกียร์ต้องการยกระดับฝีมือแรงเกอร์จำนวนมาก ฝ่ายมนุษย์จะได้ถือครองความได้เปรียบในสงคราม』


『แต่บางคนยังยืนกรานว่า สงครามนี้เป็นเพียงเทศกาลของเกม เพราะค่าเฉลี่ยเลเวลผู้เล่นสูงถึงสามร้อยแล้วในปัจจุบัน… พวกเขาเชื่อว่า ฝ่ายมนุษย์สามารถคว้าชัยชนะได้ไม่ยาก แตกต่างจากสมัยอดีตที่โลกเกือบถูกทำลายเพราะจอมอสูรเพียงไม่กี่ตน… เป็นความคิดที่โง่เขลาดีนะครับ 』


『 ตามชื่อของมัน มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรคือสงครามใหญ่… ศัตรูจะต้องไม่ใช่จอมอสูรแค่สองสามตัวอยู่แล้ว แต่เป็นกองทัพนรก! นำไปเทียบกับอดีตไม่ได้! สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โลกจะเผชิญกับวิกฤติที่ไม่เคยประสบมาก่อน เฉกเช่นที่กิลด์โอเวอร์เกียร์พยายามรวบรวมและพัฒนาผู้เล่นระดับสูง ผมคิดว่าผู้เล่นทุกคนก็ต้องให้ความร่วมมือเช่นกัน』


ผ่านไปแล้วหลายปีนับตั้งแต่ซาทิสฟายเปิดตัว


ปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญปลอมๆ แทบไม่หลงเหลือ


กลุ่มคนที่เอาแต่นั่งหลังจอและปั้นข้อมูลกับสถิติขึ้นมาเอง กลุ่มคนที่อวดสรรพคุณว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแต่ไม่เคยวิเคราะห์อะไรถูก พวกมันล้วนถูกคัดออกโดยธรรมชาติ


เหลือเพียงผู้ที่เล่นเกมนี้อย่างจริงจัง และเข้าใจซาทิสฟายลึกซึ้ง


บรรดาผู้มีความรู้ซึ่งคอยทำหน้าที่สื่อ ไม่คิดเพิกเฉยต่อคำตักเตือนของกิลด์โอเวอร์เกียร์


พวกมันพยายามส่งต่อข้อมูลที่ถูกต้องให้ผู้คน โดยหวังว่าหลายฝ่ายจะตื่นตัวและฝึกฝนกองกำลังแบบเดียวกับที่กิลด์โอเวอร์เกียร์ทำ


แน่นอน นั่นมาพร้อมปัญหา


วิหารยาธานบูชาอสูร ดังนั้น มหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูรจึงกลายเป็นสงครามทางศาสนาไปโดยปริยาย


ในมุมมองของวิหารยาธาน ศึกใหญ่ดังกล่าวคือเทศกาลที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองโดยแท้จริง


จำนวนสาวกเพิ่มขึ้นมากในระยะหลังเนื่องด้วยระบบซื้อไอเท็มเป็นเงินจริง และคนเหล่านี้กำลังมีความสุขสุดเหวี่ยง


พวกมันใจจดใจจ่อที่จะได้ร่วมมือกับนรก


การล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์ คือเป้าหมายและอนาคตอันสดใสของพวกมัน


บางคนเริ่มนำข้อมูลดังกล่าวไปคิดในมุมกลับ


ความมั่นคงของทวีปและมนุษยชาติ? ช่างปะไร


ผู้เล่นส่วนมากไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ สิ่งที่พวกมันสนก็คือ ความร่ำรวยและกำไรทางลัด


เมื่อได้ยินว่ากองทัพอสูรถือแต้มต่อในสงคราม หลายคนตัดสินใจเข้าร่วมกับวิหารยาธาน


พวกมันต้องการเป็นฝ่ายชนะและได้ประโยชน์จากสงคราม และเพื่อการนั้น การอยู่ฝ่ายอสูรคือตัวเลือกที่มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่า


แน่นอน อีกหลายๆ คนยังคงต้องการผดุงคุณธรรมและเข้าร่วมกับกองทัพของโบสถ์หลักหรืออาณาจักรในพันธมิตร


ทว่า นั่นเป็นตัวเลขที่น้อยเมื่อเทียบกับผู้เล่นที่เปลี่ยนฝั่งไปเข้ากับวิหารยาธาน


ในปัจจุบัน ยังมีผู้เล่นจำนวนไม่มากที่เห็นถึงคุณค่าของชีวิต NPC และยังมีไม่มากที่รู้สึกหวงแหนบ้านในซาทิสฟายของตัวเอง


ท่ามกลางความโกลาหล โบสถ์หลักทั้งสามประกาศว่าจะดำเนินนโยบายไปตามครรลองของพวกตน


กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันปฏิเสธที่จะจับมือกับฝ่ายชาติพันธมิตร


นั่นเพราะอาณาจักรโอเวอร์เกียร์อยู่ในกลุ่มพันธมิตร


ต้องไม่ลืมว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์เป็นถิ่นฐานสำคัญของศาสนาเทพโอเวอร์เกียร์ หากสามโบสถ์หลักยอมร่วมมือ เท่ากับว่าพวกมันยอมรับให้ศาสนาใหม่กลายเป็นสิ่งชอบธรรม


สามเทพหลัก ผู้กำหนดให้เทพทั้งหมดนอกแอสการ์ดเป็นเทพนอกรีต ย่อมไม่เพิกเฉยต่อสิ่งนี้


โดยเฉพาะโบสถ์รีเบคก้าที่ขึงขังยิ่งกว่าใคร เพราะพวกมันสูญเสียสันตะปาปาและอัจฉริยะจำนวนหนึ่งให้กับโบสถ์เทพโอเวอร์เกียร์


ลงเอยด้วย ผู้เล่นถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และดูเหมือนจะมิได้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว


อย่างไรก็ตาม ผู้นำของฝ่ายพันธมิตรยังคงสงบนิ่ง


สถานการณ์เช่นนี้ พวกมันคาดเดาได้ในระดับหนึ่ง


เพราะต้องไม่ลืมว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะควบคุมผู้เล่นจำนวนมากซึ่งมีความเชื่อและแนวคิดแตกต่างกันไป


***


ขณะกิลด์โอเวอร์เกียร์กำลังยอมรับสภาพอย่างไม่ตื่นตระหนัก


“บัดซบ! ต้องเป็นมนุษย์แบบไหนกันวะ ถึงเลือกอยู่ฝ่ายอสูรมากกว่ามนุษย์ด้วยกันเอง!”


SA กรุปกำลังเดือดดาล


“วิหารยาธานที่ถูกดึงกลับมาเพราะความสมดุล ตอนนี้มันกำลังทำพิษ!”


“มอร์เฟียสเป็นคนดึงวิหารยาธานกลับมา และมอร์เฟียสคือผู้ริเริ่มมหาสงคราม… ถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่พวกเราจะเริ่มเคลือบแคลงในการตัดสินใจของมอร์เฟียส”


“ชิ… วุ่นวายกันหมดแล้ว”


“เฮ้อ… ดูเหมือนว่า การปล่อยข่าวสงครามออกไปก่อนจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก”


“ถึงจะต้องแหกกฎของตัวเอง แต่เราควรแจ้งให้ทราบถึงความเลวร้ายของสงครามนี้”


“คุณคิดว่าพวกที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายจะไม่ตระหนักถึงความเลวร้ายของสงครามหรือ? ผิดแล้ว พวกมันรู้ แต่ไม่สนใจ… คนส่วนใหญ่ไม่ได้แคร์โลกในเกม ต่อให้พวกเราแหกกฎของตัวเองและประกาศออกไป แต่นั่นก็จะไม่ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไร”


“ชิ… ให้ตายสิ”


“…”


ขณะสมาชิกของทีมบริหารกำลังจับตามองสถานการณ์อย่างเคร่งเครียด พวกมันเปลี่ยนท่าทีเล็กน้อย


นั่นเพราะผู้อำนวยการยุนซังมินพรวดเข้ามาในห้อง


พิจารณาจากลักษณะการหายใจ ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะวิ่งมาตลอดทาง


แต่มันมิได้พักหายใจ


มันรีบอ่านรายงานแนวโน้มจากหัวหน้าทีมบริหารด้วยใบหน้าเหนื่อยหอบ


พิจารณาจากสภาพ ดูเหมือนว่ายุนซังมินปลีกตัวมาจากประชุมคณะผู้บริหารที่อยู่อีกห้องหนึ่ง


ขณะสมาชิกภายในทีมเริ่มเห็นอกเห็นใจ


“อ…เอ๋? เอ๋!?”


พนักงานใหม่ที่ถูกจ้างมาเพื่อเฝ้าสังเกตแนวโน้มของซาทิสฟายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่งเสียงร้องอย่างตกใจขณะจ้องมองจอฉายภาพ


“อะไร? เกิดอะไรขึ้นอีก?”


“นรกส่งกองทัพมาล่วงหน้าแล้วหรือ?”


“ม…ไม่ใช่แบบนั้น…”


“พวกเรายุ่งจนจะตายกันอยู่แล้ว แต่นายกลับมัวแต่ทำตัวงี่เง่า… อ…อะ”


ขณะโรเบิร์ตตำหนิเด็กใหม่พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ดวงตาของมันพลันเบิกกว้าง


“ท…ท่านผอ.!”


“…?”


บรรยากาศในสำนักงานใหญ่ของ SA กรุปอย่างดูเป็นกันเอง แต่ไม่บ่อยนักที่รองผอ. จะเรียกชื่อเต็มของผู้อำนวยการฝ่าย


สมาชิกในทีมเริ่มตระหนักว่าสถานการณ์ไม่ปรกติ จึงมองมาทางโรเบิร์ตเป็นตาเดียว


ผอ. ยุนซังมินและหัวหน้าทีมปฏิบัติการเดินเข้าไปหาโรเบิร์ต


เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในห้อง


‘อย่าบอกนะว่าต้องทำโอทีอีกแล้ว…’


ขณะทุกคนในทีมเริ่มยกมือขึ้นมากุมหัว


“ฮะฮะ… ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”


ยุนซังมินระเบิดเสียงหัวเราะ


เป็นเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่งจนทำให้ทุกคนกลัว


“…?”


เกิดอะไรขึ้น


สมาชิกคนอื่นในทีมมิอาจเก็บงำความอยากรู้อยากเห็น พวกมันเริ่มเดินมามุงจอ


จากบรรดาจอภาพที่มีมากกว่าร้อย เกินครึ่งกำลังฉายภาพของผู้เล่นหนึ่งคน


ไม่ใช่ใครนอกจากกริด


ชายหนุ่มกำลังเขียนมหากาพย์บทใหม่หลังจากลบข้อเสียที่คอยรักษา ‘สมดุล’ ของละโมบซึ่งเป็นไอเท็มประจำคลาส


“ฮะฮะ…ฮะฮะ!”


คนในทีมเริ่มหวาดกลัวและถอยห่างยุนซังมิน


พวกมันกังวลว่าอีกฝ่ายจะเสียสติไปแล้วเพราะความโกรธที่ปะทุออกมา


แต่ในที่สุด ยุนซังมินหยุดหัวเพราะพลางพึมพำ


“นายเป็นคนเดียว… ที่พวกเราเชื่อใจได้…”


“…?”


ใบหน้าของคนในทีมกลายเป็นสีขาวซีด


พวกมันเริ่มมั่นใจว่าผอ. ยุนซังมินเสียสติไปแล้ว


แต่ตรงข้ามกับความกังวล ยุนซังมินยังปรกติดีมาก


เมื่อไม่นานมานี้ ยุนซังมินเคยตั้งคำถามหลังจากเห็นกริดครอบครองวิชาดาบราชาไร้พ่าย


ตัดความชื่นชอบในตัวกริดออกไปก่อน มันจำเป็นต้องสงสัยว่า ทาง SA กรุปควรไว้ใจกริดอย่างไร้เงื่อนไขจริงหรือ เสี่ยงเกินไปไหมที่จะฝากอนาคตไว้กับผู้เล่นเพียงคนเดียว


ความรู้สึกดังกล่าวค้างคาในใจยุนซังมินจนกระทั่งเมื่อครู่


เมื่อได้เห็นแนวโน้มในการพัฒนาและการตัดสินใจของกริด และเมื่อลองมองย้อนกลับไปยังเส้นทางที่กริดเดินผ่านมา ยุนซังมินมั่นใจได้หนึ่งเรื่อง


SA กรุปสามารถเชื่อใจกริด


มันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ทำไมตนถึงเป็นแฟนตัวยงของกริดมาตั้งแต่แรก


“ติดต่อทีมเสียงด่วน! แต่งเพลงธีมขึ้นมาใหม่ห้าเพลง!”


“หือ? เพลงธีม… ห้าเพลง? คุณหมายถึงเพลงประกอบมหาสงครามระหว่างมนุษย์และอสูร? ถ้าเป็นเพลงนั้น ผมได้ยินว่าเสร็จตั้งแต่สี่วันก่อนแล้ว…”


“ไม่ใช่! เพลงสำหรับกริด! สำหรับกริดคนเดียวเท่านั้น! พวกเราจะเล่นเหล่าเพลงนี้ทุกครั้งที่กริดปรากฏตัวบนหน้าจอ!”


“…”


“ท่านผอ… คุณหัวหน้าทีม… ทางผู้บริหารเรียกไปเข้าประชุมค่ะ”


“ตกลง… ได้จังหวะพอดี ผมจะนำเรื่องนี้ไปแจ้งพวกเขาด้วยตัวเอง”


“…แบบนี้ดีแล้วหรือ?”


“เขากำลังบอกให้สร้างเพลงธีมสำหรับผู้เล่นคนเดียว… มันจะดีได้ยังไง?”


หลังจากที่ผอ. ยุนซังมินเดินออกไป คนในทีมต่างปรึกษากันด้วยสีหน้ากังวล


ต้องไม่ลืมว่า ตัวละครในซาทิสฟายที่มีเพลงประกอบ ส่วนใหญ่เป็น NPC พิเศษสุดๆ หรือไม่ก็มอนสเตอร์ระดับบอสเท่านั้น


แถมแต่ละตัวละครยังมีเพลงธีมแค่ไม่เกินสอง และจะเล่นภายใต้เงื่อนไขและเหตุการณ์พิเศษ


ดังนั้น การสร้างเพลงธีมสำหรับผู้เล่น (แถมยังห้าเพลง) และเล่นมันทุกครั้งที่ผู้เล่นปรากฏตัวบนจอ


คนเดียวที่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ ไม่ใช่ใครนอกจากประธานใหญ่


แน่นอน ไม่มีใครในทีมที่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริง


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 3 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,984
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/
#จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ #BJKNovel #BJK_Novel #Overgeared_แปลไทย #Overgeared #นิยาย_เกมออนไลน์ #พระเอกเทพ



Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00