จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,306
เทพเต่าดำฟื้นคืนชีพพร้อมกับการเปิดโปงตำนานเทียม ผู้คนต่างโห่ร้องยินดีพลางสวดภาวนาจากก้นบึ้งหัวใจ โดยในเวลานั้น เทพเต่าดำทรงตรัสว่า พระองค์ได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ผู้หนึ่ง
นามของมนุษย์คนนั้นคือ ราชาโอเวอร์เกียร์
บุรุษผู้ลงทัณฑ์เทพเทียมที่หลอกลวงชาวเมืองและให้ปนเปื้อนผืนดินที่เคยบริสุทธิ์
‘…เราคิดมาตลอดว่า นั่นคงเป็นคำกล่าวที่เกินจริง’
กษัตริย์นักรบ
อีกหนึ่งตัวตนของกษัตริย์ชิงคือ ‘นักรบ’
นักรบผู้ฝึกฝนสัญชาตญาณและประสาทสัมผัสมานานหลายสิบปีจนเฉียบแหลม อีกทั้งยังเคยพบยังบันตั้งแต่สมัยเด็ก สามารถกล่าวได้ว่า ประสาทสัมผัสด้านการตรวจจับยอดฝีมือของมันอยู่ในระดับเหนือมนุษย์
และบุคคลตรงหน้า
‘ไม่เกิดจริงไปเลยสักนิด… ชายคนนี้เป็นของจริง!’
เนื้อตัวกษัตริย์ชิงพลันสั่นเทาเมื่อได้เห็นกริด—มนุษย์ผู้สามารถจัดการกับยังบันที่อาศัยความเหนือกว่าซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด ปกครองเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างกดขี่
กษัตริย์ชิงพบว่า ความสำเร็จอันน่าเหลือเชื่อดังกล่าว ไม่เกิดความจริงไปแม้แต่นิดเดียว
“ท่านราชาโอเวอร์เกียร์”
กึก
กษัตริย์ชิงลงจากบัลลังก์และเดินไปหากริด
มันโค้งศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม ท่ามกลางสายตาของขุนพลและขุนนางที่คอยรับใช้ด้วยความจงรักภักดีเสมอมา
“นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง… ถือเกียรติยศที่เรามิอาจหาคำใดมาบรรยายได้”
“…!”
เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ขุนนางทันที
ภาพฉลองพระองค์ทองคำที่ปักด้วยลวดลายเทพเต่าดำ ถูกลากไปกับพื้นจนยับย่น คือสิ่งที่ชาวชิงไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน
“นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาทคืนชีพเทพเต่าดำ ความรื่นรมย์และมั่นคงก็กลับคืนสู่ชิงอีกครั้ง”
ไม่ว่าจะเป็นราชาของราษฎรหลักหมื่นหรือหลักสิบล้าน แต่ราชาก็คือราชา กษัตริย์ชิงยึดถือหลักการนี้มาตลอด ไม่เพียงเท่านั้น มันยังคำนึงถึงความรู้สึกผู้ใต้บังคับบัญชา จึงไม่คิดปฏิบัติตัวราวกับตนเองอยู่ต่ำกว่า
แม้จะติดหนี้บุญคุณกับราชาโอเวอร์เกียร์อย่างใหญ่หลวง แต่ตนจะไม่ยอมก้มศีรษะให้โดยเด็ดขาด บรรดาขุนพลและขุนนางจะได้ไม่รู้สึกอับอายและเสื่อมศรัทธา
บุญคุณก็ต้องตอบแทนด้วยบุญคุณ มิใช่การศิโรราบ
ทว่า ความคิดดังกล่าวเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้พบราชาโอเวอร์เกียร์ตัวจริง
อาจเป็นกษัตริย์ด้วยกันทั้งคู่ แต่อีกฝ่ายมีระดับตัวตนสูงกว่าอย่างชัดเจน การก้มศีรษะให้บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่ส่งผลด้านลบต่อภาพลักษณ์ ไม่ทำให้ขุนนางอับอาย ไม่เกิดเป็นความตะขิดตะขวงใจ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด มนุษย์ผู้มีระดับตัวตนสูงส่งตรงหน้าทุกคน คือผู้มีพระคุณต่อแผ่นดินชิง
“เงยหน้าขึ้นเถอะ”
กษัตริย์ชิงอาจไม่ทราบ แต่กริดเคยใช้เวลาร่วมกับมันหลายวันในร่างไอรีน จึงให้เข้าใจอุปนิสัยและเนื้อแท้ของกษัตริย์ชิง
ชายคนนี้มีเหตุมีผล เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ลืมคุณคน และพยายามวางตัวให้เหมาะสม เพื่อให้ราษฎรเกิดความภาคภูมิใจ
…แต่คนเช่นนี้กลับกำลังก้มศีรษะต่อหน้าบริวารมากมาย?
กริดไม่ต้องการ
เพียงลองนำใจเขามาใส่ใจเรา ชายหนุ่มก็เห็นภาพชัดเจน
สมาชิกโอเวอร์เกียร์จะรู้สึกเช่นไรหากเห็นกริดคุกเข่าต่อหน้าผู้อื่น? คงอยากที่จะทำใจยอมรับแน่
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่า กริดแข็งแกร่งที่สุดในโลก การลดคุณค่าของตัวเองลง ย่อมเท่ากับทำลายความเชื่อที่พวกเขาเหล่านั้นมอบให้
กริดซึ่งตระหนักถึงความไม่เหมาะสม รีบขอร้องให้กษัตริย์ชิงเงยหน้า
ทว่า กษัตริย์ชิงมิได้ทำตาม
“เราคือคนบาป ไม่เพียงจะทดแทนบุญคุณท่านมิได้ แต่ยังทำให้ท่านต้องเป็นกังวล แค่จ้องหน้าท่านโดยตรงก็ยังไม่คู่ควร”
“ทำให้เราเป็นกังวล?”
“ราชินี… ราชินีโอเวอร์เกียร์หายตัวไป”
“อะ…”
กริดเปลี่ยนสีหน้าทันใด เม็ดเหงื่อเย็นเม็ดใหญ่เริ่มผุดขึ้นตามลำตัว
อันที่จริง มันควรใช้ใบหน้าไอรีนกลับมาเข้าเฝ้ามากกว่า
การลืมนึกถึงเรื่องดังกล่าว ส่งผลให้กษัตริย์ชิงตกอยู่ในสภาวะรู้สึกผิด
‘พลาดจนได้’
กริดรำพันในใจพลางไอกระแอมสองหน
“ภรรยาของเรากลับถึงบ้านแล้ว… แฮ่ม… หมายถึงกลับถึงอาณาจักร”
“เป็นความจริงหรือ? การข้ามทะเลแดงคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จนกระทั่งไม่กี่ปีก่อน… แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี”
“สหายคนหนึ่งของเราคือจอมปราชญ์ที่เก่งกาจ ด้วยความช่วยเหลือจากเขา การเดินทางข้ามทวีปจึงไม่ใช่เรื่องยาก”
“เข้าใจแล้ว…”
เรียกบริวารว่าสหาย?
‘จิตใจของเขากว้างใหญ่ดุจดังมหาสมุทร… เราเองก็ต้องเอาเยี่ยงอย่างบ้าง’
กษัตริย์ชิงฉีกยิ้มอย่างมีความสุข โดยไม่เคยทราบเลยว่า ในความเป็นจริงแล้ว ราชาโอเวอร์เกียร์ใช้งาน ‘สหาย’ เยี่ยงพลขับโดยไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
***
‘เป็นวาสนาของลอร์ดที่หน้าตาดีเหมือนแม่’
หลังจากใช้ชีวิตในร่างไอรีนมาสักพัก กริดซึ่งกลับร่างเดิมพลันตระหนักได้ว่า รูปลักษณ์ของมนุษย์นั้นสำคัญไฉน
‘ถ้าจำไม่ผิด คนพวกนี้ไม่ได้ดื่มกันแค่ขวดเดียว…’
ทุกครั้งที่กริดเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วยรูปลักษณ์ไอรีน บรรดาขุนนางชิงจะดื่มเหล้าคนละไม่ต่ำกว่าสามขวด แต่ในงานเลี้ยงต้อนรับกริดวันนี้ อย่าว่าแต่สาม แค่ขวดเดียวก็ยังดื่มไม่หมด คล้ายกับทุกคนคนดื่มเหล้าไม่เป็นขึ้นมากะทันหัน
กระทั่งโอรสของกษัตริย์ชิงที่เคยมาเล่นกับไอรีน ปัจจุบันตีตัวออกหากประหนึ่งเด็กในวัยต่อต้าน
ขุนนางที่เคยพยายามเอาอกเอาใจไอรีน ไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดใกล้กริด
“เป็นอย่างที่คิด ความงามของเธอสามารถดึงดูดผู้คนได้ง่าย”
“…”
ขณะกริดส่ายหัว ปิอาโร่เฝ้ามองด้วยสายตาเอือมระอา
‘ฝ่าบาทไม่รู้จริงหรือ ว่าตัวตนของพระองค์กำลังทำให้พวกเขาสั่นเกร็ง?’
หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน กริดกลับมาในสภาพทรงพลังสุดขีด
กริดในอดีตจะมอบความรู้สึกน่าเกรงขามคล้ายกับ ‘ตำนานที่แข็งแกร่ง’
แต่ปัจจุบัน มีบางสิ่งแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง คล้ายกำลังแผ่ออร่าคุกคามจนทำให้คนรอบข้างหวาดผวาและรู้สึกราวกับอีกฝ่าย ‘เป็นตัวตนที่มิอาจแตะต้อง’
แม้แต่ความรู้สึก ‘อยากดวลกับคนเก่ง’ ของปิอาโร่ก็ยังถูกระดับไว้โดยสมบูรณ์
ความรู้สึกนี้คล้ายคลึงกับ…
‘เทพ’
ไม่สิ คำว่าเทพห่างยังไกลเกินเอื้อม
ถึงแม้ว่าเราจะเฝ้ามองฝ่าบาทด้วยสายตาที่ลำเอียงแล้วก็ตาม…
ขณะปิอาโร่ส่ายหน้าและอมยิ้ม กริดหันมาถาม
“พบวิธีปลูกวอลนัทสีทองแล้วหรือยัง”
“พบแล้วขอรับ”
คนอย่างปิอาโร่ หากยังไม่พบวิธี เกรงว่าคงจะไม่ยอมออกจากป่าวอลนัท
กริดเผยสีหน้ายินดีเมื่อได้ฟังข่าวดีจากปิอาโร่
“ในอนาคต ประชาชนของเราจะมีวอลนัทสีทองกิน”
นอกจากการเป็นโอสถเทียม วอลนัทสีทองยังเป็นอาหารบำรุงสุขภาพ
NPC ที่กินวอลนัทสีทองเป็นประจำ ไม่เพียงจะมีค่าสถานะเพิ่มขึ้น แต่อายุขัยและกำลังวังชาก็ยังเพิ่มขึ้นด้วย
ปิอาโร่สารภาพกับกริดตามตรง
“อากาศทางตอนเหนือของอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ยังหนาวเกินไป ส่วนทางตะวันตกก็ร้อนเกินไป และทางตะวันออกก็มีรังใหญ่ของวิหารยาธานซ่อนอยู่ อากาศแถบนั้นเต็มไปด้วยมลพิษ”
วอลนัทสีทองอ่อนไหวต่อดินและสภาพอากาศอย่างมาก จึงหาจุดเพาะปลูกได้ค่อนข้างยาก
“ในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ สถานที่เดียวที่เหมาะแก่การเพาะปลูกก็คือเกาะคอร์ก และไม่ใช่ว่าเนื้อที่ทั้งหมดบนเกาะจะปลูกได้ ต้องหลีกเลี่ยงบริเวณดันเจี้ยนเฮลกาโอที่มีความร้อนสูง”
“คิดว่าจะปลูกได้สักกี่ต้น”
ได้ยินคำถามกริด ปิอาโร่ตอบทันที
“ห้าร้อยต้น”
“ยังห่างไกลที่จะเก็บเกี่ยวอย่างเหลือกินเหลือใช้…”
ชายหนุ่มได้ประจักษ์ด้วยตาตัวเองมาแล้วที่ป่าวอลนัท
การปลูกวอลนัทสีทองไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังมีอัตราการเก็บเกี่ยวต่ำ เฉลี่ยแล้วหนึ่งต้นจะเก็บได้ราวสิบผลในหนึ่งปี กระทั่งอาณาจักรชิงที่เป็นแหล่งกำเนิดวอลนัทสีทอง ก็มิอาจเก็บเกี่ยวได้อย่างเหลือกินเหลือใช้
ขณะกริดพยายามข่มความผิดหวัง ปิอาโร่หันมายิ้ม
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวล กระหม่อมจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมฝั่งตะวันออกของอาณาจักรให้เหมาะแก่การเพาะปลูกวอลนัทสีทองเอง”
อาจใช้เวลานานหลายปีหรือหลายสิบปี แต่นั่นไม่สำคัญ มันเชื่อว่าตนจะทำสำเร็จอย่างแน่นอน
กริดพยักหน้าหลังจากเห็นความมั่นใจในดวงตาของปิอาโร่
“ฉันสบายใจแล้ว เอาล่ะ กลับบ้านกันเถอะ”
เป้าหมายการมาเยือนทวีปตะวันออกลุล่วงทั้งหมดแล้ว
ได้เก็บเกี่ยวฟืนฟอสฟอรัสขาว ได้เรียนรู้วิธีการปลูกวอลนัทสีทอง ได้สานสัมพันธ์เลือดกับอาณาจักรชิง กระทั่งกษัตริย์ชิงยังกล่าวออกมาเองว่า ต้องการมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับกริด
‘ได้อะไรกลับไปมากทีเดียว’
นอกจากนั้น มันยังมีวาสนาได้ไปเยือนอาณาจักรฮวาน
ไอรีนได้รับบารมีเทพอย่างง่ายดายจนเหนือความคาดหมาย ตัวกริดเองก็ยังแข็งแกร่งขึ้นจากเดิมหลายเท่า ได้เข้าใจโลกมากขึ้น และได้ผูกมิตรกับสหายที่แข็งแกร่งอย่างแกรนมาสเตอร์
มันต้องการกลับไปพบไอรีนโดยเร็ว ต้องการแบ่งปันความสุขร่วมกันหล่อนผู้ได้รับความเยาว์วัยกลับคืนมา
กริดรีบกล่าวคำอำลาราวกับอดใจไม่ไหว
ส่วนทางด้านกษัตริย์ชิง มันเริ่มลงมือก่อสร้างศาลเจ้าใหม่ถัดจากศาลเจ้าของเทพเต่าดำ
***
ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล
หนึ่งในคลาสสายต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เนื่องจากสืบทอดวิชาดาบบางส่วนมาจากแพ็กม่าขณะทำพันธสัญญากับบาเอล นอกจากนั้นยังเป็นราชาแห่งความตายที่มีอำนาจเหนือคลาสหมอผีทั้งปวง
ภารกิจลับถูกแจกจ่ายโดยตรงจากบาเอล จอมอสูรลำดับที่ 1 และยังเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกซาทิสฟาย
หรือกล่าวได้ว่า ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลคือคลาสที่มีศักยภาพสูงมาก
หากแอ็กนัสปรารถนาและขวนขวายการเป็นที่หนึ่ง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในเกมย่อมต้องเป็นแอ็กนัส
เรื่องราวควรเป็นเช่นนั้น เพราะ ‘หน้าที่’ ของผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลคือ ‘วายร้าย’ ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวและต่อกรกับโลกทั้งใบ จึงไม่แปลกหากจะมีพลังในการสังหารผู้คนนับพันนับหมื่น
ด้วยอัตราการเจริญเติบโตอันก้าวกระโดดและสะดวกสบาย ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลถูกกำหนดให้แข็งแกร่งได้เร็วกว่าอริยดาบ—ผู้ต้องรอจนกว่า ‘พลังจิต’ จะเบ่งบานถึงขีดสุด
รายการ ‘ตะลุมบอนราชาอสูร’ ในงานแข่งซาทิสฟายนานาชาติ ถือเป็นการจำลองให้เห็นถึงพลังของแอ็กนัสทางอ้อม
ในยามที่ชายคนนี้เบ่งบานถึงขีดสุด เขาจะมีอำนาจในมือมากมายถึงเพียงนั้น
“แต่ทำไมถึงกลายเป็นว่า… กริดเข้าใกล้ความเป็นผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลมากกว่าแอ็กนัส…”
ทีมงาน SA กรุปต่างถอนหายใจยาวเมื่อเห็นกริดไปเยือนอาณาจักรฮวานและเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง
พวกมันมิได้รังเกียจที่กริดแข็งแกร่งขึ้น แต่ทุกคนนึกเสียดายที่แอ็กนัสมิได้ใช้ศักยภาพของคลาสตัวเองอย่างเต็มที่ ปล่อยให้กริดแซงหน้าด้วยการอัปเกรดคลาสหนแล้วหนเล่า จนกลายเป็นตัวตนที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้แม้แต่ปลายนิ้ว
แอ็กนัสพ่ายแพ้ต่อจิสึกะชนิดเหนือความคาดหมายทุกคน
แอ็กนัสที่ควรบดขยี้จิสึกะไปพร้อมอาณาจักรโช กลับพ่ายแพ้อย่างหมดรูป
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ทีมงาน SA กรุปตกตะลึงเป็นอย่างมาก
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป จุดประสงค์ในการสร้างคลาสผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลคงถูกบิดเบือนไปจากความตั้งใจเดิม และอนาคตของซาทิสฟายก็จะไม่เป็นไปตามแผน
“ด้วยพฤติกรรมของแอ็กนัส มีหลายเหตุการณ์ที่ควรเกิดกลับไม่เกิด ส่งผลให้วิหารยาธานตกที่นั่งลำบากและใกล้ล่มสลายเต็มที ทีมปฏิบัติการลงความเห็นตรงกันว่า วิกฤตินี้จะถูกแก้ไขก็ต่อเมื่อ บาเอลตัดสินใจยอมรับผู้ทำพันธสัญญาคนใหม่”
“เป็นแบบนั้นได้ก็ดี แอ็กนัสไม่เคยสนใจภารกิจของบาเอลเลยไม่ใช่หรือ? ค่าการผสานจึงต่ำมาก ส่งผลให้ไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควรขณะร่วมร่างกับบาเอล ตามความเห็นของผม บาเอลก็คงไม่พึงพอใจแอ็กนัสสักเท่าไร”
“…แต่ผิดคาด บาเอลชอบแอ็กนัสมาก”
“เขามีรสนิยมชอบคนขัดคำสั่งรึไง?”
“เปล่า แต่คล้ายกับบาเอลกำลังรับชมเรื่องน่าขบขัน เขาชื่นชอบในตัวเลือกและการกระทำของแอ็กนัส”
“เป็นแบบนี้ไปได้ยัง… แล้วไม่คิดจะหาผู้ทำพันธสัญญาคนอื่นบ้างหรือ?”
“ถ้าในตอนนี้ก็ใช่ บาเอลไม่มีแนวโน้มจะมองหาคนใหม่”
“…”
ห้องประชุมพลันถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศตึงเครียด
พวกมันกังวลว่า หาก ‘กลยุทธ์ปราบตำนาน’ ที่เหล่าไฮแรงเกอร์เพิ่งค้นพบได้ ถูกแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง แอ็กนัสจะกลายเป็นกระสอบทรายให้ผู้คนระบายอารมณ์
ย้อนกลับไปในยุคเริ่มแรกของซาทิสฟาย แอ็กนัสไล่ฆ่าผู้เล่นจำนวนมากอย่างสะใจจนเกิดเป็นความเคียดแค้นฝังลึก หากแอ็กนัสกลายเป็นกระสอบทรายเมื่อไร ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลก็คงมิอาจกลับมาเดินบนเส้นทางปรกติได้อีก
ท่ามกลางความกังวลของทุกฝ่าย ยุนซังมินเปิดปาก
“สาเหตุที่แอ็กนัสไม่พัฒนาเท่าที่ควร… ข้อแรก เขาไม่ยอมรับฟังบาเอล ข้อสอง เขาไม่ได้ชื่นชอบการเก็บเลเวลมากนัก และข้อสุดท้าย เขาไม่คิดถอยเมื่อใกล้ตาย นับเป็นการเล่นเกมในสไตล์ที่ไม่ละเอียดอ่อน ผลลัพธ์จึงเป็นเช่นทุกวันนี้”
เหนือสิ่งอื่นใด แอ็กนัสใช้ทักษะสำคัญอย่าง ‘สร้างคนตาย’ ไปในทางไร้สาระ
มันแทบไม่สนใจเกมทั้งที่ตัวเองเป็นท็อปแรงเกอร์
“แต่ผมคิดว่า สิ่งเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปในอนาคต”
ผู้อำนวยการยุนซังมินยกมุมปากขณะนำรายงานจากทีมปฏิบัติการฉายขึ้นโฮโลแกรม
“มีสถิติบันทึกไว้ว่า แอ็กนัสพยายามหลบหนีหลังจากที่พลังชีวิตตกอยู่ในระดับอันตราย”
“…!!”
คนสติดีทั่วไปมักหาโอกาสหลบหนีหากพลังชีวิตของตนเข้าขั้นวิกฤติ
การหนีไม่ใช่เรื่องน่าอาย เป็นแต่ทางเลือกที่ฉลาด เพราะความตายหมายถึงการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงทั้งในแง่เวลาและทรัพยากร
ทุกคนกลัวตายเนื่องจากไม่ต้องการชดเชยบทลงโทษที่ความตายมอบให้
ปัจจุบัน แอ็กนัสเริ่มตอบสนองในทิศทางเดียวกัน เป็นหลักฐานว่ามันเริ่มกลับสู่ลู่ทางอีกครั้ง
“ผมมั่นใจว่าเขาจะเปิดอกคุยกับบาเอลในอีกไม่ช้า… และอยากให้ทุกคนเฝ้ารอยุคสมัยใหม่ที่แอ็กนัสกำลังจะสร้างขึ้น”
ถ้าเป็นการดวลหนึ่งต่อหนึ่ง แอ็กนัสอาจตกเป็นรองเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่กับสงครามใหญ่แน่นอน สมรภูมิดังกล่าวเปรียบเสมือนบ้านเกิดของหมอผี
นี่คือแก่นแท้ของผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล
หากผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลไม่ละเลยหน้าที่มาตั้งแต่ต้น วิหารยาธานก็ไม่ต้องตกอับถึงเพียงนี้
หรือกล่าวได้ว่า ถ้าแอ็กนัสกลับสู่ลู่ทางสำเร็จ สมดุลของเกมก็จะกลับคืนมาอีกครั้ง
สีหน้าของคณะกรรมการ SA กรุปเริ่มผ่อนคลาย
ขณะเดียวกัน ประธานใหญ่ลิมชอลโฮ ผู้เงียบงันมาตลอดการประชุม ยังคงมีสีหน้าดำมืด
‘ยังเหลืออีกหนึ่งคน’
อริยดาบ
คลาสที่มีอัตราการเติบโตต่ำเพราะต้องพึ่งพา ‘พลังจิตไร้รูปร่าง’ อย่างมาก และยังเป็นคลาสที่ต้องอาศัยพรสวรรค์สูงที่สุด เพราะต้องสร้างวิชาดาบขึ้นมาใช้เอง
ถึงอัตราการเติบโตจะต่ำ แต่ก็แลกมาด้วยศักยภาพที่สูงที่สุดในซาทิสฟาย
เป็นเหตุผลว่าทำไม ประธานลิมชอลโฮถึงมีความสุขมากเมื่อครอเกลได้ครอบครองคลาสอริยดาบ
ทว่า ครอเกลในปัจจุบันได้ทำลายความคาดหวังของลิมชอลโฮจนแหลกละเอียด
จริงอยู่ ไม่มีแรงเกอร์คนใดไม่หัวรั้น แต่การมัวจดจ่ออยู่กับ ‘เส้นทางของฉันคนเดียว’ หรือ ‘วิชาดาบของฉันคนเดียว’ โดยที่ไม่แยแสพลังตกทอดจากอริยดาบรุ่นก่อนเลย…
นี่ไม่ใช่ความหัวรั้น หากแต่เป็นอีโก้
‘แม้แต่แอ็กนัสยังเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถึงเวลาที่คุณต้องปล่อยวางอีโก้บ้างแล้ว’
นั่นที่สิ่งที่ประธานลิมชอลโฮปรารถนา
“…”
ในวิดีโอ เป็นอีกครั้งที่ครอเกลไม่เรียนทักษะลับของมุลเลอร์ที่เพิ่งได้มา
บรรดาคณะกรรมการต่างคาดหวังเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงมิได้ให้ความสนใจครอเกลมากนัก
ประธานลิมชอลโฮถอนหายใจยาว
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ลิมชอลโฮก็คงคาดไม่ถึง
ว่าพฤติกรรมดังกล่าวของครอเกล จะทำให้ศักดิ์ศรีของบีบันเริ่มระคายเคือง
พวกSa โคตเลือดเย็นอ่ะ แอ็กนัสไม่พัฒนาอ่ะ ดีแล้ว เพราะถ้าแอ็กนัสพัฒนา จะหมายถึงจะต้องมีคนบริสุทธิ์ต้องตาย
ReplyDeleteคงต้องการแบบนั้นแหละค่ะ เพราะมันเป็นเกมต่อสู้ ถ้าไม่มีตัวร้ายเกมก็จะไม่สนุก
Delete