จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,310
ครอเกลมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแพงเจีย
ต้องไม่ลืมว่า มันคือคนที่ช่วยให้ชาวเมืองแพงเจียรอดพ้นจากความทุกข์ยากที่นักพรตมารก่อขึ้น จนกระทั่งได้รับสมญานาม ‘วีรบุรุษน้อย’
ทว่า แพงเจียที่ครอเกลแวะมาเยี่ยมเยียนหลังจากห่างหายไปนาน กลายเป็นเมื่องที่มันไม่คุ้นเคยเลยสักนิด คนรู้จักตามท้องถนนหายไปโดยสิ้นเชิง
ทั้งหมดเป็นฝีมือกริด
ชาวแพงเจียเดิมได้อพยพไปยังอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ส่วนชาวเมืองใหม่ก็มีชีวิตชีวามากขึ้นจากพรคุ้มครองของฟินิกซ์แดง
“…ไม่เลว”
บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น ไม่ว่าจะมองทางใดก็ได้เห็นผู้คนยิ้มแย้ม ส่งผลให้ตัวเองยิ้มตาม
ไม่มีนักพรตมารหรือยังบันบ้าอำนาจ
สักวัน เราก็อยากทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้บ้าง…
“นักท่องเที่ยวหรือ? เข้ามาดับความหิวด้วยมื้ออาหารรสเลิศสักหน่อยไหม?”
หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังคล้องตะกร้าผักสดและเนื้อไว้ในอ้อมแขน เอ่ยปากถามครอเกลขณะเปิดประตูร้านอาหาร
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเพราะอีกฝ่ายดูไม่มีพิษภัย แตกต่างจากสมัยอดีตที่มีเคยหญิงสาวปริศนาผู้หนึ่ง พยายามหลอกล่อลูกค้าไปกินยาพิษในร้านอาหาร
***
“เป็นโดโปที่ดูดีมาก”
ครอเกลมอบความสุขให้ตัวเองด้วยซุปอุ่น ๆ ร่วมกับผักทอดและข้าวหน้าเนื้อ
“ไม่ใช่นักท่องเที่ยวธรรมดาสินะ?”
หญิงสาวใจดีตั้งคำถาม
สีหน้าของหล่อนค่อนข้างซุกซนขณะสำรวจเสื้อโค้ทตัวใหญ่สีดำลวดลายมังกรทอง
“เป็นผู้ตรวจการจากเมืองหลวงหรือ? ผู้ตรวจราชการลับ?”
ครอเกลสวมเสื้อโค้ทตัวใหญ่ชุดนี้มาเกือบสามปีแล้ว ในยามที่ไปเยือนอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ ชุดที่สวมมักทำให้มันดูคล้ายยาจก แต่สำหรับที่นี่แล้วต่างออกไป
แสดงให้เห็นว่า อาณาจักรโอเวอร์เกียร์มั่งคั่งและพัฒนาด้านความเจริญไปไกลเพียงใด ขณะเดียวกันก็หมายถึง ชาวเมืองแพงเจียยังสวมเสื้อผ้าเกรดต่ำ
เรื่องนี้ค่อนข้างผิดคาด เพราะครอเกลได้ยินมาว่า พักหลังเริ่มมีแรงเกอร์อพยพเข้ามาอาศัยบนทวีปตะวันออกเป็นจำนวนมาก
‘บางที บรรดาท็อปแรงเกอร์อาจมาเยือนทวีปตะวันออกโดยไม่ผ่านแพงเจีย’
ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถข้ามทวีปโดยไม่ต้องผ่านทะเลแดง
แม้จะเต็มไปด้วยอันตรายและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่หลายคนก็ชื่นชอบเพราะใช้เวลาน้อยกว่า
ครอเกลตอบกลับ
“ผมคิดว่าผู้ตรวจราชการลับคงหลีกเลี่ยงสถานที่แบบนี้ แพงเจียเป็นเมืองที่เงียบสงบมากแม้จะไม่มีทหารประจำการ คิดไม่ออกเลยว่า ผู้ตรวจราชการลับจะแวะมาด้วยเหตุผลใด”
ในหมู่ผู้เล่น ครอเกลคือหนึ่งในคนที่ทำภารกิจไปมากที่สุด เพราะมันเชี่ยวชาญการเก็บข้อมูลขณะสนทนากับ NPC
“โฮะโฮะ! เมืองนี้สงบสุขก็จริง แต่ก็ยังมีแขกมาเยือนเป็นจำนวนมาก ควรต้องระวังเรื่องความปลอดภัยสาธารณะเอาไว้ จึงเคยมีทหารประจำการอยู่ไม่น้อย แต่เป็นเพราะช่วงนี้เมืองหลวงมีเทศกาลเฉลิมฉลอง จำนวนทหารที่นี่จึงลดลง”
‘แปลกมาก… ไม่มีทางที่ทหารชายแดนจะถูกส่งกลับเมืองหลวงเพียงเพราะงานเทศกาล’
เห็นได้ชัดว่า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเมืองหลวงของอาณาจักรโช
‘คิดถูกที่แวะมา’
ครอเกลได้รับข้อมูลใหม่จากบทสนทนาแสนสั้น
ชายหนุ่มจัดการข้าวในถ้วยจนเกลี้ยงและยืนขึ้น
“อร่อยมากครับ”
“เดี๋ยวก่อน! เงินทอน”
“ไม่เป็นไรครับ นำเงินไปซื้อของเล่นให้เด็กคนนี้ก็แล้วกัน”
เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งกำลังนั่งยองอยู่หน้าครัว คล้ายกำลังรอให้แม่ของตนเลิกงาน
ครอเกลยิ้มให้เด็กชายที่กำลังเล่นก้อนกรวด ก่อนจะเดินออกจากร้านอาหาร
มันจงใจไม่รับเงินทอนเพื่อตอบแทนข้อมูลที่ได้รับ ครอเกลทำเช่นนี้เสมอมา
เส้นทางที่ตนเลือกเดิน ครอเกลไม่เคยนึกเสียใจหรือละอาย
และหวังว่าในอนาคตก็เช่นกัน
***
“มีอะไรให้ผมช่วยหรือ”
ครอเกลที่เดินออกจากเมือง หยุดเดินและมองกลับหลัง
อีกฝ่ายคือชาวเมืองหกคนที่สวมเสื้อคลุมซอมซ่อ
ครอเกลจับสัมผัสได้ตั้งแต่เดินออกจากร้านอาหาร แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะไม่ต้องการก่อความวุ่นวายภายในเมือง ส่วนหนึ่งเพื่อความปลอดภัยของชาวเมือง ส่วนหนึ่งเพื่อชื่อเสียงในแพงเจีย
“ส่งวิชาลับของมุลเลอร์มาซะ”
ชาวเมืองเปิดเผยจุดประสงค์พร้อมกับล้อมครอเกลเป็นครึ่งวงกลม
ทุกครั้งที่พวกมันขยับขา ครอเกลจะมองเห็นตรวนยาวผ่านช่องว่างเสื้อคลุม
ถูกต้อง ทุกคนถูกพันธนาการแขนขาไว้ด้วยตรวน
เมื่อทราบตัวจริงของอีกฝ่าย ครอเกลชักดาบเสือขาว
“ไล่ตามมาจากซากปรักหักพังเทพสงครามเลยหรือ? พิสัยการทำงานไกลเอาเรื่อง”
“ส่งวิชาลับของมุลเลอร์มาซะ”
สาวกเทพสงคราม
คงเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะสนทนากับพวกคนบ้าที่ปรารถนาเพียงวิชาต่อสู้
ครอเกลยักไหล่ หยิบหนังสือที่บรรจุหนึ่งในวิชาลับของมุลเลอร์ ยื่นส่งให้อีกฝ่าย
“…”
สาวกเทพสงครามพลันดวงตาเบิกโพลง หนึ่งในพวกมันรีบคว้าหนังสือและเปิดอ่านทันที
จากนั้นก็ต้องตกอยู่ในภวังค์สับสน เนื่องจากไม่มีใครเข้าใจเนื้อความของวิชาลับด้านใน
“หึหึ… ระดับสูงกว่าวิชาลับของเทพสงครามสินะ”
ครอเกลลอบโจมตีทีเผลอใส่เหล่าสาวกที่กำลังมัวสนใจหนังสือ ท่าแทงอันเด็ดขาดส่งให้ผู้นำกลุ่มล้มลง ขณะเดียวกันก็โน้มตัวไปด้านหลังเพื่อหลบสาวกเทพสงครามฝั่งซ้ายและขวา ต่อด้วยการก้าวเท้าไปข้างหน้า ใช้ศีรษะโขกสาวกเทพสงครามที่กำลังถือหนังสือ
วิชาลับมุลเลอร์ลอยขึ้นไปในอากาศเล็กน้อย ก่อนจะตกลงมาบนมือครอเกลประหนึ่งได้กลับสู่เจ้าของที่แท้จริง
“ส่งวิชาลับของมุลเลอร์มาซะ!”
ดวงตาสีแดงของสาวกเทพสงครามพลันสว่างวาบขณะพวกมันรุมโจมตีครอเกลจากทุกทิศ
ประเมินจากฝีมือ คนเหล่านี้น่าจะเรียนเคล็ดวิชาลับอย่างน้อยห้าชนิด
“ข้าจะมอบมันให้เทพสงคราม!”
‘นึกแล้วเชียว… ฝีมือเซราทุล’
สาวกเทพสงครามย่อมไม่มีทางเข้าใจวิชาลับมุลเลอร์ เพราะเงื่อนไขการใช้งานระบุว่าต้องเป็น ‘อริยดาบ’ เท่านั้น เหตุผลเดียวที่มันไล่ตามตั้งแต่ซากปรักหักพังก็คือเซราทุล
‘น่ารังเกียจ…’
มุลเลอร์ทิ้งวิชาลับไว้ทั้งหมดแปดชนิด ครอเกลรวบรวมมาได้สี่ การค้นพบทุกครั้งจะช่วยให้ครอเกลเข้าใจเรื่องราวของมุลเลอร์มากขึ้น และนั่นหมายถึงการเข้าใจโลก
แต่ดูเหมือนว่า ระหว่างขั้นตอนการรวบรวม เซราทุลที่แอบมองจะเผยธาตุแท้ออกมา
ใช้ทักษะการต่อสู้หลอกล่อและครอบงำเหยื่อ แถมยังปรารถนาความแข็งแกร่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความโฉดของเทพสงครามมากพอจะทำให้ยังบันดูเป็นคนดี
ครอเกลใช้ปลอกดาบรับลูกเตะจากด้านข้าง เพียงขยับเอวแผ่วเบา ปลอกดาบพลันหมุนรอบตัวด้วยความเร็วสูงประหนึ่งลูกข่าง ผลลัพธ์นั้นยอดเยี่ยม ตรวนที่ตรึงขาของสาวกเทพสงคราม พัวพันกันยุ่งเหยิงจนเสียหลักล้มลง
ครอเกลเล็งจังหวะที่สาวกร่างใหญ่บดบังการมองเห็นของคนที่เหลือ ปลดปล่อย ‘มังกรปฐพีผงาด’ เต็มกำลัง มีเพียงเหนือมนุษย์เท่านั้นที่จะป้องกันการโจมตีในวิถีนี้ได้
เหล่าสาวกที่ส่งเสียงคราง พลันยืนตัวแข็งเนื่องจากถูกดาบเสือขาวเสียบใส่ปลายคาง
จากนั้น ครอเกลซ้ำด้วยจาจินโมริ กระโดดขึ้นพร้อมกับใช้ดาบอุกกาบาต
เป็นชัยชนะที่หมดจด
หากใครก็ตามที่ทราบมาก่อนว่า สาวกเทพสงคราม ‘ห้าวิชาลับ’ สามารถต่อกรกับดยุคแห่งจักรวรรดิได้อย่างสูสี มาเห็นฉากนี้เขา คงทำได้เพียงอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
ในทางกลับกัน ฉากตรงหน้าค่อนข้างน่าเศร้าสำหรับคนที่ตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงของอริยดาบ
เดิมที สมญานามอริยดาบจะหมายถึงบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ควรนำไปเทียบกับตัวตนที่มีระดับเพียงดยุคแห่งจักรวรรดิอยู่แล้ว
แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ผู้ถือครองอำนาจสูงสุดกลับมิใช่อริยดาบ ครอเกลไม่สามารถทวงบัลลังก์คืนแม้จะเป็นอริยดาบมานานหลายปี จึงไม่แปลกที่พรสวรรค์ของเขาจะถูกตั้งคำถาม
“แต่ข้าไม่เคยเคลือบแคลงในพรสวรรค์ของเจ้า”
“…?”
ผ่านไปไม่นานสำหรับการต่อสู้กับสาวกเทพสงครามที่ทนทายาดราวกับตุ๊กตาล้มลุก เมื่อครอเกลปาดดาบลงบนคอสาวกตนสุดท้าย สุ้มเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง
ชายหนุ่มหันไปมอง
“ไม่ได้พบกันนาน… บีบัน”
ครอเกลคือ ‘หัวแถว’ คนแรกที่ได้ไปเยือนหอแห่งปัญญา
ณ ช่วงเวลาที่คลาสตำนานยังเป็นเพียงเรื่องเล่ากึ่งข่าวลือ ครอเกลได้ไปเยือนหอแห่งปัญญา พบกับสภาหอคอย และยืนยันการมีอยู่ของคลาสตำนานด้วยตาตัวเอง
ในตอนนั้น บีบันสร้างแรงบันดาลใจให้ครอเกลได้มากที่สุด
“ลืมไปแล้วหรือ ผมไม่ใช่หัวแถวอีกแล้ว”
หอแห่งปัญญาสงวนไว้ให้หัวแถวเท่านั้น สภาหอคอยเองก็ไม่มีสิทธิ์ติดต่อกับใครนอกจากหัวแถว และหัวแถวคนปัจจุบันคือกริด
อันที่จริง ครอเกลได้แจ้งข่าวนี้กับบีบันไปตั้งแต่ปีก่อน แต่อีกฝ่ายกลับยังมาปรากฏตัวต่อหน้าตน
บีบันพลันเดือดดาลเมื่อได้เห็นแววตาเจือความสมเพชของครอเกล
“อย่าคิดว่าข้าเป็นตาแก่โง่เขลา! วันนี้ข้ามาเยือนในฐานะรุ่นพี่ มิใช่สภาหอคอย”
“ในฐานะอริยดาบบีบัน?”
ครอเกลเริ่มเข้าใจสถานการณ์
“คงเป็นเรื่องยากสินะครับ… ที่ต้องคอยเฝ้ามองรุ่นน้องโง่เขลาอยู่เงียบ ๆ”
“เข้าใจก็ดีแล้ว เหตุใดเจ้าถึงหันหลังให้วิชาลับที่ครอบครองได้ยากยิ่ง?”
ในอดีต มุลเลอร์เรียนรู้และพัฒนาวิชาลับของบีบัน เปลี่ยนตัวเองให้เป็นอริยดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ทว่า อริยดาบในยุคถัดมา ครอเกล กลับมองข้ามแก่นสำคัญ
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า… ต้องการจารึก ‘เพลงดาบครอเกล’ ไว้ในประวัติศาสตร์ เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองยอดเยี่ยมที่สุด แต่ลำพังทักษะในปัจจุบันของเจ้ายังไม่เพียงพอ มีจุดให้พัฒนาได้อีกมาก และวิชาลับของมุลเลอร์จะช่วยกลบจุดอ่อนเดิมที่เจ้ามี เจ้ามิได้ถูกวิชาดาบมุลเลอร์กลืนกิน เพียงแค่ยอมรับมันเป็นส่วนหนึ่ง ทำให้มันเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า”
บีบันยอมรับในพรสวรรค์ของครอเกล จึงเป็นเหตุผลที่มันรู้สึกเสียใจ เมื่อครอเกลปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างสูญเปล่าเพราะความดื้อรั้น
“ลองมองไปที่หัวแถวคนปัจจุบัน เจ้านั่นยอมรับพลังใหม่ กลบจุดอ่อนตัวเองจนมิดชิด สั่งสมบารมีเทพไปพร้อมกับยกระดับตัวตนเหนือมนุษย์ ส่วนเจ้ายังมิอาจสำแดงแม้แต่เศษเสี้ยวศักยภาพที่แท้จริงของอริยดาบ ไม่เพียงจะถูกแย่งตำแหน่งหัวแถวไป เจ้ายังล้าหลังเขามาก”
“แล้วทำไมถึงต้องรีบแซงหน้า?”
“นับตั้งแต่อดีตกาล อริยดาบคือตัวตนอันดับหนึ่งมาตลอด นั่นคือเหตุผลที่เจ้าต้องรีบ”
“ท่านบีบัน คุณแข็งแกร่งกว่าฮายาเตะรึเปล่า?”
“ร…เรื่องนั้น!”
“ตามความคิดของผม ลำพังวิชาลับของมุลเลอร์คงทำให้ผมแข็งแกร่งที่สุดไม่ได้”
ไม่ต้องเทียบกับสภาหอคอย แค่กริดก็อาจแซงไม่ได้
“นั่นก็จริงอยู่… เพราะเจ้าเพิ่งครอบครองวิชาลับเพียงสี่ชนิด แต่ถ้าลองศึกษาและใช้มันเป็นบันไดในการไขว่คว้าพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เจ้าจะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ในสักวัน”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ท่านบีบันก็เห็นด้วยใช่ไหม กับเรื่องที่ว่า ถึงผมจะเรียนวิชาลับมุลเลอร์ทั้งสี่ชนิดในวันนี้ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะก้าวไปเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ก…ก็ใช่”
“แล้วทำไมถึงพยายามรบเร้าให้รีบเรียน?”
ใบหน้าบีบันเริ่มแดงนับตั้งแต่ถูกเปรียบเทียบกับฮายาเตะ ตอนนี้จึงขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว
“ข้าแนะนำให้เจ้าเรียนก็เพื่อพัฒนาการของเจ้าเอง! ทำไมต้องยอกย้อนด้วยโวหาร? เจ้ากำลังไม่พอใจข้าอยู่หรือ?”
“ผมแค่ไม่อยากให้ท่านบีบันแทรกแซงเส้นทางที่ตัวเองเลือก”
“ก็ทางเดินของเจ้ามันผิด!”
“ผิดยังไง? เหตุใดคุณถึงเชื่อว่า วิชาดาบบีบันที่ถูกพัฒนาโดยมุลเลอร์คือสิ่งที่ดีที่สุด?”
“เจ้าคิดจะดูหมิ่นวิชาดาบไร้เทียมทานรึไง!!”
เสียงตะโกนของบีบันดังก้องไปทุกทิศ
ปราณดาบอันแหลมคมสะท้อนแสงแดดยามเย็นจนระยิบระยับ ฉากตรงหน้าสว่างไสวประหนึ่งกลับไปเป็นตอนกลางวันอีกครั้ง
ครอเกลยืนรับจิตคุกคามโดยไม่หลีกหนี กล่าวออกไปตามสิ่งที่ใจคิด
“วิชาดาบมุลเลอร์ไม่เหมาะกับผม”
“…!”
ดวงตาบีบันพลันเบิกโพลง มันเผยสีหน้าสุดทึ่งราวกับศีรษะถูกทุบด้วยค้อน
ก่อนจะฉุกคิดได้เมื่อสาย
“ผมไม่มีปราณต่อสู้ของราชาวีรบุรุษ”
มุลเลอร์แข็งแกร่งที่สุดในยุคสมัยเนื่องจากเป็นทั้งอริยดาบและราชาวีรบุรุษ การผสมผสานระหว่างปราณต่อสู้และปราณดาบ ช่วยให้มุลเลอร์ทรงพลังจนถึงขั้นไร้เทียมทาน
ทว่า ครอเกลแตกต่างจากมุลเลอร์
ถึงจะเรียนวิชาลับของมุลเลอร์อย่างครบถ้วน แต่ก็คงมิอาจสำแดงประสิทธิภาพได้เต็มส่วน
บีบันผงะไปพักใหญ่ ก่อนจะหัวเราะแห้ง
“เจ้าเองก็มองเห็นสินะ… ฉลาดมาก… แน่นอน ข้าก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว ฮะฮ่าฮ่า!”
“…”
“แต่เพียงเพราะสิ่งนั้น เจ้าถึงกับหันหลังให้วิชาลับมุลเลอร์เลยหรือ? จริงอยู่ เจ้าอาจไม่มีปราณต่อสู้ แต่ก็ยังมีปราณดาบ วิชาดาบมุลเลอร์ล้วนมีรากฐานจากปราณดาบ ข้ามั่นใจว่า หากเจ้าศึกษาวิชาลับมุลเลอร์และตีความใหม่ในแบบของตัวเอง เจ้าจะได้รับแรงบันดาลใจสำหรับการสร้างวิชาดาบครอเกล”
“ผมทราบดี แต่ก่อนหน้านั้น ผมอยากประเมินขีดจำกัดของตัวเองก่อน ต้องทราบให้แน่ชัดว่า ลำพังพลังของตัวเองจะไปได้ไกลแค่ไหน จากนั้นค่อยเรียนวิชาลับมุลเลอร์เพื่อเติมเต็มในสิ่งที่ขาด”
“อา…”
ฟังดูสมเหตุสมผล
ค่อนข้างชัดเจนว่า หากครอเกลตรวจสอบข้อบกพร่องของตัวเองให้เรียบร้อยก่อนศึกษาพลังของคนอื่นเข้าไป การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากกว่า
บีบันพยักหน้าพลางหัวเราะ
“แล้วทำไมเพิ่งมาบอกเอาป่านนี้? ข้าคงเข้าใจเจตนาได้ไม่ยากหากเจ้ายอมชี้แจง นึกว่าเจ้าคิดจะทอดทิ้งดาบเสียอีก”
“ผมคิดว่า… ถึงไม่บอก คุณก็น่าจะเข้าใจได้เอง”
“ป…แปลว่าข้าเข้าใจถูกสินะ ฮะฮะ! ข้าคิดแบบนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว!”
“ใช่ครับ”
บีบันอาจทำตัวผ่อนคลาย แต่มันหารู้ไม่ว่า ครอเกลไม่วันถึงขีดจำกัด
ศักยภาพของผู้เล่นนั้นสูงมาก และยิ่งมากพรสวรรค์ เพดานก็ยิ่งสูงเสียดฟ้า
‘แต่ในสักวัน เราคงต้องเรียนวิชาลับมุลเลอร์อยู่ดี’
เดิมที ครอเกลไม่ใช่คนหัวรั้นขนาดนั้น
ความยืดหยุ่นทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจขอร้องคิรินัสเป็นอาจารย์ และไม่เพียงเท่านั้น ครอเกลยังเรียนหนึ่งในทักษะที่สาวกเทพสงครามดรอปมา
เหตุผลแรกที่ครอเกลหันหลังให้วิชาลับมุลเลอร์คือปราณต่อสู้ ส่วนเหตุผลที่สองคือศักดิ์ศรี
มันไม่ชอบใจนักที่ผู้คนมักเอาแต่พูดว่า ‘อริยดาบก็ต้องมุลเลอร์เท่านั้น’
ไม่เหมือนกริด คลาสของครอเกลคืออริยดาบ มิใช่ทายาทมุลเลอร์
และนั่นหมายถึงการพิสูจน์ตัวเอง
หากพิสูจน์แล้วว่าไปต่อไม่ได้ ครอเกลก็เตรียมยอมจำนนและเรียนวิชาแต่โดยดี แต่ก่อนหน้านั้นขอพยายามอย่างสุดฝีมือเสียก่อน เป้าหมายแรกคือการแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ตนสามารถกลายเป็นอันดับหนึ่งได้โดยไม่ต้องพึ่งพาวิชาดาบมุลเลอร์
‘แต่ก็ต้องไม่ลืมรวบรวมวิชาลับทั้งหมด’
ทุกครั้งที่ได้ครอบครองวิชาลับมุลเลอร์ ภารกิจบทใหม่จะปรากฏขึ้น ช่วยส่งเสริมรากฐานของครอเกลให้มั่นคง ลำพังสิ่งนี้ก็มากพอจะยกระดับฝีมือโดยไม่ต้องเรียนวิชาลับ ครอเกลจึงวางแผนจะรวบรวมวิชาลับทั้งหมดให้ได้
‘คายา’
ครอเกลมุ่งหน้าไปทางตะวันออก เป้าหมายคือคายา อาณาจักรที่เทพมังกรครามถูกผนึก และยังเป็นดินแดนที่ท้าทายที่สุดบนทวีปตะวันออก ข้อมูลนี้ได้รับจากครอบครองวิชาลับที่สี่ของมุลเลอร์
ขณะเดียวกัน มันต้องเตรียมตัวรับศึกหนัก หากยังบันปรากฏตัวระหว่างพยายามเสาะหาวิชาลับ
‘ตอนนี้เราเอาชนะยังบันได้หรือยัง…’
คงยัง
แต่ถ้าพยายามต่อไปอย่างไม่ลดละ ก็คงประสบความสำเร็จได้ในสักวัน แม้ต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปีก็ตาม
“ผมขอตัวก่อน ขอบคุณสำหรับกำลังใจในวันนี้”
ขณะครอเกลกล่าวคำอำลา บีบันตะโกนเรียก
“รับนี่ไป! เจ้าคงไม่คิดจะปฏิเสธใช่ไหม”
บีบันถอดเสื้อคลุม แววตาแฝงความกังวลเกี่ยวกับเสื้อโดโปตัวเก่าของครอเกล
“สิ่งนี้ผลิตจากการถลุงเกล็ดมังกรด้วยปราณดาบ ลำดับสามแห่งหอคอยเองก็มีส่วนร่วมในการสร้างด้วย แต่เป็นเพราะฝีมือของข้ายังห่วยแตก ผลลัพธ์จึงห่างไกลความสมบูรณ์แบบมาก กระนั้น มันก็คงดีกว่าที่เจ้าสวมอยู่”
“…ขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ”
ครอเกลโค้งศีรษะอย่างนอบน้อมและเดินจากไป
ดวงบีบันแฝงความเจ็บปวดขณะจ้องมองแผ่นหลังครอเกล
“เราน่าจะทำความสะอาดห้องน้ำชั้นสามก่อนออกมา…”
บ้าจริง! เราดันตื่นเต้นหลังจากได้ยินข่าวของครอเกล จึงรีบออกมายังโลกภายนอกโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง…
ดวงตาบีบันเริ่มดำมืดขณะจินตนาการถึงถ้อยคำตำหนิของลำดับที่สอง
Comments
Post a Comment