จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,311



“ตรงนี้ห้ามผ่าน”


ณ สุดเขตถนนคาราสึ เมืองหลวงอาณาจักรโช


แม้ชายหนุ่มจะเลือกเส้นทางภูเขาวิบาก แต่ระดับความปลอดภัยก็มิได้หย่อนยานลง ทุกจุดล้วนเข้มงวดเหมือนกันหมด แม้แต่มดสักตัวก็ผ่านเข้าไปในคาราสึไม่ได้


“ฉันต้องเข้าไปทำธุระในคาราสึ คำสั่งห้ามผ่านจะหมดลงเมื่อไร?”


“ไม่แน่ใจ… แต่คิดว่าเมืองหลวงคงปิดตายไปตลอดไม่ได้ คงเป็นในอนาคตอันใกล้กระมัง”


“ขอถามได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”


“เกิดอะไรขึ้น? พวกเราแค่กำลังเตรียมงานเทศกาลสำคัญ จึงปิดกันทุกเส้นทางชั่วคราว”


“เข้าใจแล้ว… พยายามเข้านะครับ”


เมืองหลวงถือเป็นหัวใจสำคัญและหน้าตาของอาณาจักร การปล่อยให้บุคคลภายนอกทราบว่ามีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลในเมือง ย่อมไม่ส่งผลดีต่ออาณาจักรแน่นอน


ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาเล็กน้อย


ครอเกลอำลาอย่างสุภาพ ก่อนจะแอบใช้ ‘หมอกเมฆคราม’


เมฆาสีครามเริ่มปกคลุมหุบเขาที่เต็มไปด้วยสายหมอก ประสาทสัมผัสทั้งห้าของทหารเวรยามเริ่มออกอาการชาและไร้ความรู้สึก


ครอเกลบรรจงเดินผ่านเขตห้วงห้ามเข้าไปด้วยท่าทีผ่อนคลาย


“เมฆมาจากไหน…?”


กลุ่มทหารที่กำลังยืนฉงนล้วนคิดไม่ถึงว่า บุรุษนิรนามหน้าตาหล่อเหลาที่เพิ่งหันหลังอำลาพวกมัน จะลอบผ่านแนวคุ้มกันเข้าไปอย่างง่ายดาย


***


เมื่อเข้ามายังด้านในคาราสึ ครอเกลตรวจสอบสภาพเมืองพลางหลบสายตาทหาร


รอบเมืองเต็มไปด้วยซากกระดูกสีขาวกระจัดกระจาย เขตสุสานมีร่องรอยการขุดคุ้ย ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่า ความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นบนถนน กำแพง และบ้านเรือน เกิดจากฝีมือการรุกรานของคลาสหมอผี


เป็นกองทัพหมอผีที่ไม่ต่ำกว่าสิบคน


‘หือ…?’


ครอเกลขมวดคิ้วขณะตรวจสอบซากกำแพง


ผิวกำแพงมีรอยหักคล้ายกับถูกตัดด้วยเลื่อย แต่ผิวการตัดเรียบเนียนมาก


คล้ายกับถูกตัดด้วยคมเลื่อย มิใช่คมดาบ แถมยังเป็นการตัดให้ขาดในครั้งเดียว


ครอเกลรู้จักเจ้าของวิชาดาบนี้เป็นอย่างดี


‘คาโฮ’


นักรบออร์ค อัศวินความตาย และบริวารของแอ็กนัส


ในอีกความหมายหนึ่ง ผู้ที่บุกรุกคาราสึไม่ใช่กองทัพหมอผีนับสิบ หากแต่เป็นแอ็กนัสเพียงหนึ่ง


แอ็กนัสทำตัวเป็นหมาป่าเดียวดายนับตั้งแต่ทอดทิ้งกิลด์อิมมอทัล


ใครบางคนอาจโต้แย้งว่า ผู้เล่นเพียงหนึ่งคนจะทำให้เมืองกลายเป็นซากปรักหักพังเช่นนี้เชียวหรือ


‘น่าแปลก… คาราสึยังปลอดภัยแม้จะถูกแอ็กนัสบุกรุก’


แต่ครอเกลมองในมุมกลับ มันประทับใจเป็นอย่างมาก เรื่องที่กองทัพคาราสึสามารถปกป้องเมืองจากการรุกรานของแอ็กนัสไว้ได้


‘เพราะอำนาจของฟินิกซ์แดง?’


ครอเกลเริ่มอนุมานสาเหตุที่แอ็กนัสเข้ายึดครองคาราสึล้มเหลว


อัตราการสูญเสียของฝั่งคาราสึคงต่ำมาก มีผู้เสียชีวิตเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้แอ็กนัสมิอาจชุบชีวิตซากศพเพื่อเปลี่ยนเป็นกองทัพ สุดท้ายจึงต้องตัดสินใจหนี


ทฤษฎีข้างต้นมีความเป็นไปได้ เพราะฟินิกซ์แดงสามารถเยียวยาบาดแผลของทหาร


‘แอ็กนัสมีพัฒนาการช้าจนน่าแปลกใจ…’


ในเรื่องราวของมุลเลอร์ได้เอ่ยถึงผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลเป็นครั้งคราว แต่ทุกครั้งจะมาพร้อมพลังที่ยิ่งใหญ่เสมอ เช่นการปกป้องหมู่เกาะเบเฮ็นตามลำพังจากกองทัพจอมอสูร


ทหารคาราสึย่อมเสียชีวิตได้ง่ายกว่าจอมอสูร และซากศพเหล่านั้นจะกลายมาเป็นพลังให้ผู้ทำพันธสัญญากับบาเอล จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่กองทัพมนุษย์จะต้านทานการรุกรานของผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลไหว


แต่คาราสึกลับทำสำเร็จ และดูเหมือนจะง่ายกว่าที่คิด


บ้านเรือนที่ถูกทำลายล้วนอยู่ด้านนอกกำแพงเมืองชั้นใน


หรือก็คือ พวกมันเอาชนะแอ็กนัสได้โดยสูญเสียเพียงกำแพงชั้นนอกเท่านั้น


ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่และน่าทึ่ง แม้จะประเมินให้แอ็กนัสอ่อนแอกว่าผู้ทำพันธสัญญากับบาเอลคนก่อนแล้วก็ตาม


พิจารณาจากสภาพสุสาน แอ็กนัสคงพยายามอย่างหนักในการรวบรวมกองทัพ


‘แม้แต่อาณาจักรที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ก็ยังถูกยังบันข่มขวัญอย่างง่ายดาย’


ครอเกลที่ตระหนักถึงความแข็งแกร่งของยังบันทางอ้อม เริ่มเผยสีหน้าดำมืด


“ครอเกล?”


ชายหนุ่มยืนรอโดยไม่หลบหน้าหญิงสาวเจ้าของเสียงเรียก


ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจิสึกะ สตรีเลอโฉมผู้ทำให้ครอเกลเกิดความประทับใจ ทั้งที่มันมิได้สนใจรูปลักษณ์ของมนุษย์สักเท่าไร


“เธอคนเป็นช่วยอาณาจักรโช?”


คงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แอ็กนัสพ่ายแพ้…


ขณะจิสึกะยืนยิ้มให้ ครอเกลเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น


“เป็นพลังของอริยศร”


อริยศร มิใช่ผู้สืบทอดโพเวีย


หญิงสาวที่บุกเบิกเส้นทางของตัวเอง กำลังยืนอย่างสง่างามด้านหน้าชายหนุ่ม


ครอเกลจ้องจิสึกะด้วยสายตาอบอุ่น เจือความเคารพนับถือ


“ขอแสดงความยินดีกับตำนานคนใหม่”


“ยังอีกห่างไกลกว่าจะตามกริดทัน… แต่ก็ขอบคุณมาก”


จิสึกะเกาศีรษะคล้ายกำลังเขินอายเพราะคำชม


ขณะเดียวกัน สีหน้าแววตาบ่งบอกชัดเจนว่า หญิงสาวมิได้นึกเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองเลือก


นั่นยิ่งทำให้ครอเกลเชื่อมั่นในเส้นทางของตัวเอง


นับตั้งแต่มารดาได้รับการรักษา มันก็เล่นซาทิสฟายเพื่อความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว


แก่นแท้ของเกมคือความ ‘สนุก’ มาแต่ไหนแต่ไร


“ทางนี้ต่างห่างที่ต้องขอบคุณ… ขอบคุณมาก เธอทำให้ฉันมีความหวัง”


“หือ? เรื่องอะไร?”


“ฮะฮะ!”


“เรื่องอะไร? บอกมานะ!”


จิสึกะคงเป็นบุคคลเดียวในโลกที่สามารถกระชากคอเสื้ออริยดาบครอเกลได้โดยที่เขาไม่โกรธ


ทั้งสองแลกเปลี่ยนข้อมูลกันเล็กน้อย ก่อนที่ครอเกลจะออกเดินทางไปยังอาณาจักรคายา


***


กระแสเวลาเท่าเทียมกับทุกคนเสมอ


เฉกเช่นที่สมาชิกโอเวอร์เกียร์เติบโตขึ้นระหว่างกริดออกผจญภัย เมอร์เซเดสเองก็บัญญัติเกียรติแห่งอัศวินขึ้นมาใหม่


<สถานที่ตายของอัศวินคือสนามรบ>


เป็นเกียรติอัศวินที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปลักษณ์อันอ่อนเยาว์และแข็งแรงของไอรีน


เมอร์เซเดสตระหนักว่า กริดไม่ต้องการให้คนสำคัญเสียชีวิตอย่างสูญเปล่า เธอจึงบรรจุปราณของเกียรติอัศวินข้อล่าสุด เข้าไปในร่างกายตัวเอง


ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก เกือบเรียกได้ว่ามหัศจรรย์


‘แก่นพลัง’ ที่เมอร์เซเดสเคยสูญเสียไปขณะสู้กับมอนสเตอร์ดึกดำบรรพ์ในป่าเอลฟ์ ฟื้นคืนสภาพกลับมาอย่างน่าเหลือเชื่อ มวลกระดูกเพิ่มขึ้น ผมขาวกลับคืนสีปรกติ ผิวหนังชั้นนอกลอกออก แทนที่ด้วยผิวหนังเต่งตึง แผลเป็นและหนังด้านบนร่างกายล้วนอันตรธานหายในพริบตา


ในช่วงแรก เธอออกอาการสับสน


เมอร์เซเดสรู้สึกอับอายที่ฝ่ามือและผิวหนังกลับไปอ่อนนุ่มเหมือนเด็กทารก


เมื่อหนังด้านที่เกิดจากการฝึกหนักมาตลอดชีวิตหายไป เธอกังวลว่าตนอาจไม่หลงเหลือคุณสมบัติในการเป็นอัศวิน


แต่ความกังวลทั้งหมดต้องกลายเป็นหมัน


การเปลี่ยนแปลงในคราวนี้คือพัฒนาการ มิใช่ความเสื่อมถอย


“ฉันยังจำวันแรกที่เราเจอกันได้…”


กริดเผยรอยยิ้มสดใสเมื่อได้เห็นเส้นผมของเมอร์เซเดสกลับเป็นสีฟ้าอีกครั้ง


การพบกันครั้งแรก


เมื่อหญิงสาวนึกทบทวนความทรงจำที่กริดกล่าวถึง เธอรีบคุกเข่าด้วยใบหน้าแดงก่ำ


“ข…ขอประทานอภัยฝ่าบาท!”


“เธอสวยเหมือนกับตอนนั้น อย่าให้มันกลับไปเป็นสีขาวอีกเด็ดขาด”


ชายหนุ่มมิได้กำลังอธิบายรสนิยม หากแต่เป็นการตักเตือนว่าอย่าทำเกินตัว


การกระตุ้นแก่นพลังจะส่งผลกับอายุขัย กริดไม่ต้องการให้เมอร์เซเดสกระตุ้นแก่นพลังเพราะหวังปกป้องตนอีก


ย้อนกลับไปขณะได้เห็นผมของเมอร์เซเดสเปลี่ยนเป็นสีขาว หัวใจชายหนุ่มแทบแหลกสลาย


“ดิฉันจะจำใส่ใจไว้”


เมอร์เซเดสตกปากรับคำ


แต่ตรงข้ามกับท่าทีอันขึงขัง ดวงตาของเธอกำลังส่องประกาย


กริดเห็นดังนั้นจึงส่ายหน้า


‘ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเดิมขึ้นอีก… ถึงตาฉันปกป้องเธอบ้างแล้ว’


มันรู้สึกเช่นนี้จากก้นบึ้ง


ปัจจุบัน กริดแกร่งขึ้นจากเหตุการณ์คราวนั้นหลายเท่า กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ และนั่นมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น


ทันใดนั้น กริดชะงักฝีเท้า


ชายคนหนึ่งกำลังยืนขวาง ณ กึ่งกลางโถงทางเดินหลัก


แสงจันทร์ด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับเส้นผมสีเงิน


“บราฮัม”


จมูกบราฮัมโด่งราวกับจะชนเพดานเสียให้ได้


มหาจอมเวทเหลือบตาลงพลางเชิดคาง คล้ายกับกำลังดูแคลนโลกทั้งใบ


“นายมันอวดดี”


“หือ?”


นี่คือคำทักทายของสหายรักที่ไม่ได้พบหน้ากันนาน?


กริดขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำว่า ‘อวดดี’ แทนการทักทายอย่างอบอุ่น


บราฮัมยิ้มพลางตวัดนิ้ว ทัศนียภาพถูกสับเปลี่ยนในทันที ฉากของโถงทางเดินกว้างขวางที่มีพรมแดงพาดใจกลางพลันเลือนหาย แทนที่ด้วยชั้นหนังสือจำนวนมหาศาลซึ่งผุดขึ้นจนเต็มห้วงมิติราวกับเม็ดทรายในทะเลทราย


ห้องสมุดอนันต์แห่งนี้คือโลกจินตภาพของบราฮัม


เป็นห้องแรก ห้องแห่งความรู้


“สุดยอด…”


กริดยืนสั่นเทาด้วยสีหน้าสุดทึ่ง


มันทึ่งในความกว้างขวางของโลกจินตภาพบราฮัม


กว้างจนทำเอานึกถึงโลกจินตภาพของซือโหยวเลยทีเดียว…


เป็นโลกอีกหนึ่งใบที่สามารถเพิ่มองค์ประกอบอย่างนรก สวรรค์ และปฐพีเข้าไปได้


และในความเป็นจริง บราฮัมมีโลกทั้งหมดสามใบ หมายความว่าโลกอันกว้างใหญ่ใบนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง


“นายรู้ไหม… บาปใดน่ากลัวที่สุด”


บราฮัมปรากฏตัวตรงมุมหนึ่งของหอสมุด


กริดตอบกลับหลังจากใคร่ครวญ


“ความเกียจคร้าน?”


ชายหนุ่มได้ประจักษ์ความน่ากลัวของคำสาปเกียจคร้านด้วยตาตัวเอง


แกรนมาสเตอร์ที่ถูกคำสาปเล่นงาน จะกลายเป็นคนละคนกับในยามปรกติ


บราฮัมส่ายหน้า


“ผิดแล้ว… สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความทระนงตน”


“…”


คำพูดเช่นนี้สมควรออกมาจากปากบราฮัม…?


บราฮัมผู้โอหัง บราฮัมผู้คิดว่าตัวเองเก่งกาจที่สุดในโลก


ขณะกริดคิดเช่นนั้น คล้ายกับบราฮัมเดาใจได้


“นั่นมิใช่ความทระนงตน… แต่เป็นความจริง”


“อา…”


“ในทางกลับกัน นายไม่ใช่”


ดวงตาสีแดงของบราฮัมเผยความยั่วยุมากเป็นพิเศษ


“นายยังเป็นแค่เด็กน้อย อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเก่งกาจ”


กริดเริ่มหงุดหงิด


แม้จะทราบเจตนาของบราฮัม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด


บราฮัมกล้าตราหน้าตนว่าเป็นเด็กน้อย ทั้งที่เพิ่งผ่านสอบซือโหยวและได้สั่งสมระดับบารมีเทพ?


ชายหนุ่มครุ่นคิดสักพัก


“ฉันคิดว่าสายตาของนายมีปัญหา”


“ไม่เห็นด้วยกับการประเมินของฉัน?”


“แน่นอน”


“ถ้าอย่างนั้น… เปลี่ยนใจฉันให้ได้”


บราฮัมนำไม้เท้าบีเลียลออกมาพาดไหล่


สีหน้าแววตาเผยความโอหังราวกับกำลังยั่วยุให้กริดโจมตีเข้าไป


แน่นอน กริดไม่ปฏิเสธ มันเองก็อยากวัดประสิทธิภาพของทักษะที่ถูกยกระดับ


ในเมื่อบราฮัมยังฟื้นฟูพลังไม่สมบูรณ์ การต่อสู้ในคราวนี้ก็ควรจะสูสี


กริดปลดปล่อยมายาในท่าถือดาบ ต่อด้วยชุนโป


ในวินาทีที่ปรากฏตัวด้านหลังบราฮัม มันพบว่าอีกฝ่ายหายไปจากการมองเห็น


ชุนโป หนึ่งในหลักฐานการเป็นเหนือมนุษย์ ทัดเทียมได้กับเวทมนตร์เทเลพอร์ต


กริด ผู้กำลังทึ่งกับความยอดเยี่ยมของเวทมนตร์ที่ไม่ต้องร่าย พยายามกวาดตามองหา


“…!”


ชายคนนี้สามารถอ่านกริดได้อย่างทะลุปรุโปร่ง?


เวทมนตร์ที่บราฮัมร่ายไว้ล่วงหน้าโดยการตั้งเวลา แสดงผลออกมาในจังหวะสมบูรณ์แบบ


<ดิสอินทิเกรต> (Disintegrate)


หอกแสงที่ทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง พุ่งทะลวงร่างกริดเข้าอย่างจัง


‘ตึงมือกว่าที่คิด…’


ดวงตาบราฮัมเผยความวูบวาบขณะจ้องกริดที่กำลังยืนสั่นเทาอย่างเจ็บปวด


รอดชีวิตจากหนึ่งในท่าสังหารของเราได้…


ฉากตรงหน้ายอดเยี่ยมจนทำให้บราฮัมขนลุกไปทั้งตัว


หนนี้ถือเป็นครั้งแรกที่บราฮัมต่อสู้กับมนุษย์ในโลกจินตภาพด้วยไม้เท้า เจตนาเพื่อบดขยี้กริดในเวทมนตร์เดียวและมอบบทเรียนชีวิต จากนั้นค่อยถ่ายทอดเวทมนตร์ชนิดใหม่


แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อผลลัพธ์ออกมาเหนือความคาดหมาย การดวลมิได้ง่ายดายอย่างที่คิด


‘เติบโตถึงจุดที่เราต้องหวั่นเกรงแล้วสินะ…’


หรือว่า ฝ่ายที่โอหังเกินไปจะเป็นตน?


บราฮัมเผยรอยยิ้ม


เป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากปรกติ แฝงความยินดีและชื่นชมไว้อย่างเต็มเปี่ยม


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,751
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00