จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,312



เบริอาเช่ จอมอสูรแห่งความพึงพอใจ


เธอตระหนักถึงความจริงของโลกและพยายามประณามความชั่วร้ายของยาธาน


หลังจากถูกขับไล่ออกจากขุมนรก เบริอาเช่ได้ให้กำเนิดทายาทจำนวนสิบคน และมักย้ำเตือนเหล่าทายาทที่มีความปรารถนารุนแรงเหมือนกับตนเสมอ


‘ห้ามทำร้ายสายเลือดเดียวกันเด็ดขาด หากใครฝ่าฝืน ปณิธานของแม่ก็จะไร้ค่า นี่คือคำเตือน’


บราฮัม·เฮชวาลคือทายาทเพียงคนเดียวที่กล้าแหกกฎอันเคร่งครัดของเบริอาเช่


บราฮัมปรารถนาความรู้อันไร้ขีดจำกัด จึงต้องการหลุดพ้นจากคำสาปเกียจคร้าน


บราฮัมยอมหันหลังให้คำพูดของมารดาที่ตนทั้งรักและเคารพ


นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตของบราฮัมก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเจ็บปวด


‘หากยังถูกคำสาปเกียจคร้านเล่นงานอยู่… เราคงไม่มีโอกาสได้พบเขา’


แม้ชะตาชีวิตจะเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์ที่ทำให้ได้มันได้พบกริด บราฮัมไม่นึกเสียใจเลยสักนิดที่ตนขัดคำสั่งของมารดา


“นภา”


วิชาดาบซึ่งประกาศกร้าวว่าตัวข้าคือท้องฟ้าผืนใหม่


คล้ายกับกำลังแผดเสียงตะโกนกึกก้องว่า ข้าจะขอลงทัณฑ์ทุกคนที่บังอาจเคลือบแคลง


ขณะกริดกำลังรำดาบอย่างสง่างาม บราฮัมยกมุมปากอย่างยินดี


มันทั้งดีใจและภูมิใจ ที่ตนคือส่วนหนึ่งในพัฒนาการของชายหนุ่มตรงหน้า ชายผู้ค่อย ๆ เข้าใกล้ ‘ความสมบูรณ์แบบ’ เข้าไปทุกขณะ ชายผู้เป็นช่างตีเหล็ก ราชาวีรบุรุษ และผู้ครอบครองหนึ่งในสุดยอดวิชาดาบทั้งที่มิใช่อริยดาบ


รวมไปถึง ชายผู้สามารถเรียนรู้เวทมนตร์


ห้วงมิติในโลกจินตภาพ กำลังถูกปกคลุมด้วยแสงสีรุ้งระยิบระยับ


บราฮัมพลันขนลุกหลังจากสะท้อนคลื่นดาบของกริด ด้วยเวทมนตร์ในตำนานที่สามารถสะท้อนได้ทุกการโจมตี สาเหตุเพราะ กริดเองก็สะท้อนพลังทั้งหมดกลับมาเช่นกัน ส่งคลื่นดาบจำนวนมหาศาลพุ่งมาทางบราฮัมด้วยความเร็วสูง


บราฮัมรีบหลบด้วยเทเลพอร์ตและป้องกันตัวเองด้วยบาเรียคุ้มกาย


ก่อนจะกล่าวอย่างตื่นเต้น


“ก็อย่างที่นายรู้ ฉันคืออัจฉริยะ”


“แฮ่ก… แฮ่ก… ก็ใช่… นายมันอัจฉริยะ”


กริดย่อมคาดไม่ถึงว่าวิชาดาบของตนจะถูกสะท้อน หากไม่เพราะครอบครองวิชาลับซือโหยว ป่านนี้ตนคงตายไปแล้ว หมดสิทธิ์ตอบโต้ด้วยวังวนสะพรั่งอย่างทันท่วงที


ตรงข้ามกับกริดที่เหนื่อยหอบ บราฮัมกล่าวอย่างใจเย็น


“แต่โลกนี้ยังมีอัจฉริยะที่เหนือกว่าฉัน”


มูมัดและแมรีโรส


การได้พานพบพวกเขา คือบ่อเกิดของอีกหนึ่งคำสาปร้ายแรงในตัวบราฮัม


คำสาปแห่งการเกลียดชังความไร้พรสวรรค์


บราฮัมเคยต้องหลั่งน้ำตาเพียงเพราะนำพรสวรรค์ของตนไปเทียบกับคนทั้งสอง แต่ในบางเวลาก็รู้สึกยินดี เพราะนั่นทำให้ตนมีแรงกระตุ้นที่จะไขว่คว้าเป้าหมายอันสูงส่ง


“ทุกครั้งที่ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะก้าวข้ามพวกเขาให้ได้ ไฟแห่งความมุ่งมั่นใจตัวฉันจะลุกโชนอย่างร้อนแรงราวกับดวงอาทิตย์ แต่ว่าตอนนี้…”


“…?”


“ฉันคิดว่านายก็เป็นอีกหนึ่งคนที่สามารถก้าวข้ามฉันได้ ไฟแห่งความมุ่งมั่นจึงลุกโชนยิ่งกว่าเก่า”


“หือ?”


ไม่สิ หมอนี่กำลังพล่ามอะไร?


คงเป็นการโกหกตัวเองเกินไปสักนิด หากกริดจะเชื่อว่าตนสามารถก้าวข้ามบราฮัมได้ในสักวัน


เขาพูดแบบนั้นหลังจากที่เราตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชมาแล้วห้านาที… 


คงเป็นการปลอบใจกระมัง…


ขณะกริดกำลังขมวดคิ้ว มันผุดความคิดใหม่


ไม่น่าใช่… บราฮัม… พูดปลอบใจ? ไม่มีทาง!


บราฮัมมิได้ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นขนาดนั้น เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดมาเพื่อทระนงตน เย่อหยิ่ง มิใช่เพื่อถนอมน้ำใจใคร ทุกวาจาของบราฮัมล้วนซื่อตรงออกมาจากก้นบึ้งเสมอ


‘หมายความว่า… เราจะเหนือกว่าบราฮัมในสักวัน?’


ขณะชายหนุ่มกำลังยืนสั่นเทาด้วยความยินดี ฝนอุกกาบาตขนาดมหึมาพลันพรั่งพรูจากฟากฟ้า


“…ในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้าล่ะนะ”


“อ๊ากกกก!”


***


ไม่ได้พ่ายแพ้ยับเยินแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?


ความรู้สึกดังกล่าวหายไปนานพร้อม ๆ กับคำสบถหยาบคาย


“แฮ่ก… แฮ่ก…”


กริดนั่งหลังตรงเมื่อค่าเรี่ยวแรงฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย ภายในใจนึกทบทวนรายละเอียดการต่อสู้


ด้วยความสัตย์จริง มันเชื่อว่าการตัดสินใจของตนไม่มีจุดใดผิดพลาด เป็นความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไป


‘จุดแข็งของเหนือมนุษย์กลายเป็นสิ่งไร้ค่า’


ความเร็วของกริดถูกแก้ลำด้วยการอ่านเกม ปฏิกิริยาตอบสนอง และเวทมนตร์ที่ไม่ต้องร่าย


ชุนโปที่เคยใช้พลิกสถานการณ์ ถูกแก้ทางด้วยเทเลพอร์ต


ประหนึ่งการใช้ ‘ปืนใหญ่’ สู้กับ ‘ม้า’ ในหมากรุกเกาหลี


‘ปัญหาใหญ่ก็คือ พฤติกรรมของเราถูกอ่านขาดอย่างทะลุปรุโปร่ง…’


ราวกับกำลังเต้นระบำบนมือพระพุทธเจ้า


สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะบราฮัมเฉลียวฉลาด แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายมีชีวิตอยู่มานานหลายร้อยปี จึงอุดมไปด้วยความชำนาญศึกอันโชกโชน


กริดอาจต่อสู้อย่างสม่ำเสมอมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ช่วงเวลาของบราฮัมต้องมากกว่านั้นแน่


หากเปรียบบราฮัมเป็นเสือ กริดก็เป็นเพียงลูกแมวแรกคลอด


‘แต่เราจะใช้เรื่องนั้นเป็นข้ออ้างไม่ได้’


ถูกต้อง หากอาศัยประสบการณ์ต่อสู้เป็นเกณฑ์วัดผลแพ้ชนะ ในอนาคต สถิติความพ่ายแพ้ของกริดคงกองสุมเท่าภูเขา เพราะศัตรูวันข้างหน้าล้วนมีประสบการณ์ต่อสู้ในระดับเกินร้อยปีทั้งสิ้น


“อย่าได้หงุดหงิดไป”


บราฮัมที่กำลังฉีกยิ้มกว้าง นั่งลงและเชิดคาง


เมื่อครู่เราเพิ่งสู้กับเทพไปหรือไง? บราฮัมเชื่อว่า กริดที่พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด คงอุทานในใจทำนองนี้แน่


ชายหนุ่มผู้ขยับเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบ ย่อมต้องเต็มไปด้วยความทระนงตนและมั่นอกมั่นใจ แต่กลับได้เผชิญความพ่ายแพ้อย่างน่าสมเพชในการดวล


บราฮัมคิดว่ากริดจะเสียขวัญ แต่ความจริงแล้วตรงกันข้าม


“ในเมื่อคู่ต่อสู้เป็นนาย ทำไมฉันต้องหงุดหงิด”


กริดกล่าวจากใจจริง


ศัตรูของตนคือบราฮัม มหาจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาล แถมยังเพิ่งสั่งสมบารมีเทพไปเมื่อไม่นาน ถึงบราฮัมจะยังห่างไกลจากสมัยรุ่งเรือง แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะแข็งแกร่งกว่ากริด


ต้องไม่ลืมว่า บราฮัมเคยเอาชนะปิอาโร่ได้อย่าง ‘ขาดลอย’ โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า และนั่นเกิดขึ้นก่อนที่จะสั่งสมบารมีเทพเสียอีก


“ในทางกลับกัน โชคดีแล้วที่ฉันแพ้นาย เพราะถ้าไปแพ้คนอื่นคงทำตัวไม่ถูกแน่”


กริดเข้าใจความรู้สึก ‘อยากดวล’ ของบราฮัมได้ดีกว่าใคร


ขณะบราฮัมเตรียมตอบกลับไปว่า ‘นายจะแพ้ใครได้อีกนอกจากฉัน’ มันเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน


ก่อนจะลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบหอสมุดและเอ่ยปากถาม


“นายไม่ชอบอ่านหนังสือใช่ไหม”


กริดเคยเป็นโรคกลัวการอ่าน


เหตุเกิดจากสมัยเรียนที่ต้องจมอยู่กับกองหนังสือและปึกกระดาษ ชายหนุ่มรู้สึกเกลียดชังพวกมันเป็นอย่างมาก เนื่องจากพยายามอ่านเท่าไรก็ไม่เข้าใจเลยสักนิด


แต่สิ่งนั้นได้เปลี่ยนไปเมื่อเริ่มเล่นซาทิสฟาย


กริดฝืนตัวเองอย่างหนักเพื่อให้ตนอ่านหนังสือกลยุทธ์และสารานุกรมเข้าใจ แม้กระทั่งวารสารทางการแพทย์ก็เคยอ่านมาแล้วในตอนที่ลองสร้างหัตถ์เทวะครั้งแรก


ชายหนุ่มตอบเสียงขรึม


“เปล่า… การอ่านคืออีกหนึ่งงานอดิเรกของฉัน”


“งั้นหรือ? ได้ยินแบบนี้ค่อยชื่นใจ”


“…”


กริดพลันฉงน เพราะบราฮัมตอบสนองโดยปราศจากท่าทีดูแคลน


ย้อนกลับไปหลายปีก่อน กริดยังเป็นไอ้งั่ง กระทั่งเคยถูกบราฮัมเรียกว่า ‘หัวก้อนหิน’ มาแล้ว


ชายหนุ่มจึงคิดว่าบราฮัมจะพ่นลมหายใจเย้ยหยัน เมื่อตนตอบว่าชอบการอ่านหนังสือ


แล้วเหตุใดถึงได้แสดงท่าทีพึงพอใจออกมา?


“…ในที่สุดก้อนหินก็หลุดออกจากหัวนายได้สักที ฉันรอให้เป็นแบบนี้มานานแล้ว รอว่าเมื่อไรนายจะชื่นชอบการอ่าน”


ขณะกริดนั่งจ้องบราฮัมที่ยืนพึมพำกับตัวเอง


ชั้นหนังสือที่มีอยู่อย่างมหาศาลในห้วงมิติหอสมุด เริ่มปรับเปลี่ยนโครงสร้าง


เพียงไม่นาน ชั้นหนังสือหนึ่งได้เลื่อนมาอยู่ตรงหน้ากริดในสภาพเด่นตระหง่าน


“เชิญเลือก”


หนังสือหลายสิบล้านเล่มในหอสมุดแห่งนี้คือตัวแทนเศษเสี้ยวความรู้ของบราฮัม


หรือกล่าวได้ว่า แต่ละเล่มจะมีเนื้อหาที่แตกต่าง


อย่างไรก็ตาม หากมองจากภายนอก ทุกเล่มล้วนเหมือนกันราวกับแกะ


“หนังสือพวกนี้อยู่ในหมวดหมู่ไหน?”


“เวทมนตร์ของฉัน”


“…!”


หนังสือเวทมนตร์ของบราฮัม!


หัวใจกริดพลันเต้นระรัวอีกครั้ง


ในความเป็นจริง ชายหนุ่มละทิ้งเวทมนตร์ไปนานแล้ว


กริดไม่สามารถเรียนเวทมนตร์ใหม่ได้ นับตั้งแต่คลาสรอง ‘มหาจอมเวทในตำนาน’ ถูกเปลี่ยนเป็น ‘ดยุคแห่งปัญญา’


แต่ปัจจุบัน มันได้รับสิทธิ์ให้เลือกหนังสือเวทมนตร์ได้อย่างอิสระ แถมยังมีกว่าหลายร้อยเล่ม!


‘ถ้าเราเรียนหมดนี่ล่ะก็…’


ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นผู้สืบทอดบราฮัมทันทีเลยหรือ?


กริดกลืนน้ำลายพลางหยิบออกมาหนึ่งเล่ม


ขณะเตรียมเปิดอ่าน บราฮัมซักถามด้วยน้ำเสียงแฝงความประหลาดใจ


“ไม่กังวลเลยหรือ”


“ในเมื่อภายนอกเหมือนกันหมด ยังมีอะไรให้ต้องกังวลอีก?”


หนังสือกว่าร้อยเล่มบนชั้นล้วนมีปกและสันปกเป็นสีดำสนิท ไม่มีชื่อเขียนกำกับ ไม่มีทางเดาได้ว่าเนื้อหาด้านในเป็นอะไร การเจาะจงเลือกหยิบจึงไม่ต่างอะไรกับหลับตาสุ่มหยิบ


“ในเมื่อนายเลือกได้แค่เล่มเดียว ก็ควรคิดก่อนสักนิด”


“หา?”


ที่บอกให้ ‘เชิญเลือก’ หมายถึงเลือกได้แค่เล่มเดียว?


จากหนังสือมากมายขนาดนี้เนี่ยนะ?


ขณะกริดทำหน้าเหมือนเหยียบอึ บราฮัมอธิบาย


“ค่อนข้างน่าเสียดาย แต่นายไม่สามารถเรียนเวทมนตร์ได้หลายชนิด”


“ทำไม?”


ในยามที่ตนมีค่าสติปัญญาน้อย กริดเคยเข้าใจถ้อยคำข้างต้น


เวทมนตร์ยกระดับของบราฮัม เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมเวทชื่อดังบางคนก็มิอาจเรียนสำเร็จ


คงโลภเกินไปสักนิด หากคิดจะเรียนเวทมนตร์ทุกชนิดทั้งที่ตัวเองมีแต้มสติปัญญาแค่พันกว่า


แต่กริดในปัจจุบันมีค่าสติปัญญาสูงกว่าห้าพันหน่วยไปแล้ว และบราฮัมเคยกล่าวว่า เงื่อนไขขั้นต่ำสำหรับเรียนเวทมนตร์ ‘พื้นฐาน’ คือการมีค่าสติปัญญาสี่พันหน่วย ตอนนี้จึงควรผ่านเกณฑ์


“ไม่ใช่ว่าฉันมีสิทธิ์เรียนเวทมนตร์พื้นฐานทุกชนิดหรอกหรือ?”


“ไม่เกี่ยวกับสติปัญญา… แต่เป็นเรื่องของความสามารถ”


“นายกำลังจะบอกว่าฉันมีความสามารถไม่พอ?”


ด้วยความสัตย์จริง ประโยคเมื่อครู่ไม่น่าฟังสักเท่าไร


ในฐานะเจ้าของคลาสรองมหาจอมเวทในตำนานที่พัฒนาไปเป็นดยุคแห่งปัญญา แต้มสถานะจะถูกบังคับนำไปลงกับสติปัญญาหกหน่วยทุกการอัปเลเวล


แต่บราฮัมกลับบอกว่า ตนยังมีความสามารถไม่เพียงพอ?


เช่นนั้นแล้วจะบังคับอัปค่าสติปัญญาไปทำพระแสงอะไร?


กริดพยายามข่มโทสะที่เริ่มคุกรุ่น


“เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ปราณต่อสู้ของนายไหลเวียนทับกับจุดที่มานาควรไหลเวียน”


“…”


“แต่ไม่ต้องเสียดาย สิ่งนี้ทำให้ปราณดาบของนายทรงพลังขึ้น”


ความปรารถนาของบราฮัมไม่เคยเปลี่ยน เพียงแค่ไม่เคยแสดงออก


บราฮัมต้องการให้กริดเป็นศิษย์เอกของตน หวังให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นคลาสมหาจอมเวท


แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ตนจะทำอะไรได้อีก?


ร่างกายกริดค่อย ๆ กลมเกลียวกับปราณดาบและปราณต่อสู้จนไม่เหมาะแก่การเป็นจอมเวท


ข้อดีเพียงอย่างเดียวก็คือ กริดมีค่าสติปัญญาค่อนข้างมาก


ในเมื่อช่องทางการไหลเวียนของมานาถูกจำกัดให้แคบลง ชายหนุ่มจึงหมดสิทธิ์เรียนเวทมนตร์หลายชนิดไปโดยปริยาย


อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเวทมนตร์เพียงชนิดเดียวก็ไม่ใช่ปัญหา


แต่นั่นต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า บราฮัมยื่นมือช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ


“สำหรับนาย เวทมนตร์เป็นเพียงทางเลือก และต้องใช้สมาธิกับมันมากหน่อย”


ศาสตร์ของเวทมนตร์จะแบ่งออกเป็นหลายขั้น ราวห้าถึงสิบขั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของเวทมนตร์ แต่กริดที่สามารถเรียนเวทมนตร์ได้เพียงหนึ่งชนิดต่อหนึ่งขั้น ย่อมเสียเปรียบเหล่าจอมเวทอย่างมาก


แต่เรื่องราวจะต่างออกไปทันที ถ้าเวทมนตร์ชนิดนั้นเป็นเวอร์ชันยกระดับของบราฮัม


เวทมนตร์ยกระดับของบราฮัมจะสร้างผลลัพธ์มากมายแม้เป็นเพียงหนึ่งเวทมนตร์ ดังนั้น ถึงกริดจะได้เรียนเพียงหนึ่งชนิด ก็ไม่จำเป็นต้องไปอิจฉาคนที่ได้เรียนเวทมนตร์สิบชนิด


บราฮัมเหลือบมองหนังสือเล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองไปทางกริด


“หากโชคชะตานำพาให้นายหยิบเล่มนี้ เช่นนั้นก็อย่าได้ลังเล”


“เปลี่ยนใจยังทันไหม?”


กริดเลือกหนังสือส่งเดชโดยไม่ได้คิด จึงไม่แปลกหากจะเกิดความลังเล


บราฮัมฉีกยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายร้อนรน


“ความรู้ของฉัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ย่อมต้องช่วยชดเชยข้อบกพร่องให้นายได้อยู่แล้ว”


“…ตกลง”


มาถึงตรงนี้ กริดทำใจยอมรับโชคชะตา


ชายหนุ่มละทิ้งความลังเลและเปิดหนังสือเวทมนตร์อ่าน


ดวงตาบราฮัมพลันส่องประกาย


“เลือกได้ดี”


______________
ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน
ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,753
ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/

Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00