จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,305
ในซาทิสฟายมี ‘กำแพงสูง’ อยู่เป็นจำนวนมาก สิ่งนี้หมายถึงกำแพงที่ผู้เล่นเฉลี่ยในละแวกนั้นยังมิอาจปีนข้ามไปสำรวจ เทือกเขาเคอัสทางตอนเหนือของวินสตันก็ถือเป็นอีกหนึ่ง ‘กำแพงสูง’ ที่ผู้เล่นยากจะปีนข้าม
แต่ในวินาทีนี้
“งดงามมาก…”
ณ ใจกลางทวีปตะวันออก ที่นี่คือ ‘แอ่งสวรรค์’ ซึ่งรายล้อมด้วยผืนป่าต้นท้อขนาดใหญ่ เป็นประตูสำหรับเข้าสู่สรวงสวรรค์ที่ผู้เล่นทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เฉียดใกล้
ถือเป็นคืออีกหนึ่ง ‘กำแพงสูง’ ของโลกซาทิสฟาย แถมยังเป็นกำแพงที่สูงที่สุดบนทวีปตะวันออก
‘ลองสู้ดีไหม?’
หลังจากเดินพ้นป่าท้อ กริดที่ได้พบกับ ‘วิญญาณเซียน’ เริ่มถกชายกระโปรงขึ้น
ชายหนุ่มตระหนักดีว่า การต่อสู้ตรงหน้าจะยากลำบากเพียงใด จึงต้องขจัดปัจจัยที่อาจฉุดรั้งความคล่องตัว
วิญญาณเซียน
พวกมันปรารถนาจะเป็นเซียน แต่สุดท้ายกลับล้มเหลวและร่วงหล่น
ความล้มเหลวทำให้วิญญาณเซียนสูญเสียร่างเนื้อและชีวิต แกรนมาสเตอร์เชื่อว่า พวกมันมารวมตัวกันรอบแอ่งสวรรค์ด้วยความตั้งใจของห้าอาวุโส
ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือวิญญาณเซียน ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของห้าอาวุโส จึงมิใช่เรื่องแปลกที่จะถูกใช้งานในฐานะหมาเฝ้าบ้าน
“ก…กลิ่นเนื้อหอมหวนรัญจวนใจมาก!”
พวกมันล้มเหลวและกลายเป็นวิญญาณเซียนเพราะมีนิสัยชั่วร้าย อีกทั้ง สิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณมักทำตามสัญชาตญาณและความหลงใหลเป็นหลัก มิใช่เหตุและผล
หรือก็คือ วิญญาณเซียนทั้งหมดชั่วร้าย และกล้าที่จะเผยใบหน้าบิดเบี้ยวอัปลักษณ์โดยไม่ปิดบัง
“จ…เจ้ายอดเยี่ยมที่สุดจากบรรดาสตรี 266 คนที่ข้าเคยลิ้มรสมา! แฮ่ก… แฮ่ก! อยากกิน! ข้าอยากกินเจ้าเดี๋ยวนี้!”
พวกมันแข็งแกร่งเพราะสัญชาตญาณเดิมยังคงอยู่
วิญญาณเซียนยังคงใช้วิชาดาบและเทคนิคอันยอดเยี่ยมที่สั่งสมมาทั้งชีวิต การปะทะซึ่งหน้าจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่แกรนมาสเตอร์ก็ยังต้องชักปฐมดาบซาฮารันออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับวิญญาณเซียนสามตนขึ้นไป
“…”
ก่อนจะขึ้นไปเยือนอาณาจักรฮวานและเข้าสอบซือโหยว กริดรับมือวิญญาณเซียนตามลำพังไม่ไหว มีแต่ต้องพึ่งพาแกรนมาสเตอร์
ไม่ใช่แค่กริด แต่ทั้งกลุ่มอัศวินสีชาดใหม่และซีบาล ทุกคนล้วนพึ่งพาการปกป้องของแกรนมาสเตอร์เพื่อที่จะมาให้ถึงจุดหมาย
แต่ในตอนนี้
“วังวนสะพรั่ง”
กริดที่เผชิญหน้ากับวิญญาณเซียนตามลำพัง เลือกจะดวลกับมันซึ่งหน้าโดยไม่ถอยหนี
คล้ายกับจิตรกรสักคนในอดีตที่ตัดหูของตัวเองเพื่อให้จินตนาการทางด้านแสงจันทร์และดวงดาวบรรเจิดกว่าเดิม ปราณดาบพราวพรายจำนวนมหาศาลผุดขึ้นกลางอากาศอันว่างเปล่ารอบตัวกริด
เพียงพริบตา โลกทั้งใบเต็มไปด้วยวังวนกลีบดอกไม้
วังวนทุกจุดดูดกลืนคลื่นดาบจากวิญญาณเซียนและสะท้อนกลับไปทำร้ายเจ้าตัว
“…?”
เป็นเพราะเหลือเพียงสัญชาตญาณ วิญญาณเซียนจึงตอบสนองตามอารมณ์
มันเอียงคอฉงนเมื่อเห็นปราณดาบจำนวนมหาศาลที่ควรคร่าชีวิตมนุษย์ อันตรธานหายเข้าไปในกระแสวังวน ก่อนจะถูกส่งกลับมาหาตัวเอง
ด้วยพลังทำลายและผลข้างเคียงรุนแรงยิ่งกว่าของเก่า การโจมตีของวิญญาณเซียนพุ่งผ่านแอ่งสวรรค์และปะทะกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจนเกิดเป็นความพังพินาศ
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เผชิญหน้ากัน วิญญาณเซียนได้เปิดฉากโจมตีใส่กริดด้วยทุกท่าไม้ตาย แต่ภายในสองวินาทีหลังจากนั้น ทั้งหมดก็ถูกสะท้อนกลับด้วยวังวนสะพรั่ง
แม้วิญญาณเซียนจะพยายามหยิบยันต์ออกมาป้องกัน แต่ก็ตอบสนองได้ช้าเกินไป ทุกสิ่งเกิดขึ้นและจบลงภายในเสี้ยววินาที
“อั่ก!”
จ๋อม!
วิญญาณเซียนมิอาจทนรับแรงกระแทก ร่างวิญญาณกระเด็นไปในอากาศก่อนจะตกลงบนแอ่งสวรรค์ เกิดเป็นคลื่นกระเพื่อมรุนแรงบนผิวน้ำ รอจนกระทั่งร่างวิญญาณเซียนลอยจนถึงก้นแอ่ง คลื่นจึงค่อยกลับมาสงบนิ่ง
อย่างไรก็ตาม วิญญาณเซียนยังไม่ตาย มันรีบพาตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้งด้วยความเร็วที่ราวกับแรงดันน้ำไม่มีผล
“บ…บัดซบ!”
วิญญาณอันมืดมนปรากฏกายขึ้นกลางอากาศ ร่างกายโยกคลอนไปมาเล็กน้อยคล้ายเปลวเทียนปะทะสายลม
สิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณอาจทนทานต่อการโจมตีทางภาพ แต่จะอ่อนแอต่อพลังเซียนอย่างมาก แถมยังเป็นพลังเซียนของตัวเอง
“มันเจ็บนะโว้ย!”
ดวงตาวิญญาณเซียนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ภายในใจหวนนึกถึงความเจ็บแค้นในอดีตที่ตนเลื่อนขั้นเป็นเซียนล้มเหลว พลางปรี่เข้าหากริดด้วยโทสะสุมอก
ในอดีต มันเคยปรารถนาจะเป็นเซียนดาบในหมู่เซียน ย่อมถนัดวิชาดาบมากกว่าพลังเซียน
ทุกครั้งที่ดาบกวัดแกว่งจะเกิดสายฟ้าฟาดกระหน่ำ เพียงไม่นานเกิดเป็นเมฆดำลอยตัวเต็มท้องฟ้า
วิชาดาบของวิญญาณเซียนทั้งดุดันและยากจะคาดเดาทิศทาง
‘มาแล้ว…’
วิชาดาบที่เคยทำให้แกรนมาสเตอร์ตกที่นั่งลำบากไปพักหนึ่ง
ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อครั้งได้เห็นวิญญาณเซียนสร้างบาดแผลบนหัวไหล่แกรนมาสเตอร์ กริดเคยเตือนตัวเองว่า การฝืนเอาชนะศัตรูที่เก่งกาจพอ ๆ กับยังบัน แต่มีระดับตัวตนเป็นเพียงมอนสเตอร์ธรรมดา มิใช่บอสหรือ NPC พิเศษ คงไม่เกิดประโยชน์อันใดนัก
แต่ไม่ใช่กับวินาทีนี้
วิญญาณเซียนที่ชายหนุ่มเคยคิดจะหลีกเลี่ยงมาตลอด กลายเป็นเหยื่อที่น่าสนใจ
“หน่วง”
“…!”
ดาบในมือวิญญาณเซียนซึ่งกำลังแหวกอากาศตรงมาทางกริด พลันชะงักค้างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ไม่มีสัญญาณการชะลอตัวแม้แต่น้อย
แม้ในอดีตจะเกือบได้เป็นเซียน แต่เมื่อต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากร่างกายกริด มันเลี่ยงไม่ได้ที่จะตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ
ถึงจะชะงักไปเพียง 0.2 วินาที แต่นั่นก็มากพอแล้ว
วิชาดาบของวิญญาณเซียนถูกหยุดลง สายฟ้าฟ้าและเสียงคำรามรอบตัวเริ่มเลือนหาย
กริดที่ไร้รอยขีดข่วน ลงมือโจมตีตอบโต้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“คลื่น”
ปราณดาบที่หมุนราวกับพายุกำลังสั่นสะเทือนโลกทั้งใบ ร่างของวิญญาณเซียนถูกกระชากมาอยู่ตรงหน้ากริดในระยะประชิด เป็นระยะที่กวัดแกว่งดาบได้ไม่ถนัด
อาศัยสัญชาตญาณ วิญญาณเซียนตระหนักถึงภัยอันตรายและรีบก้าวถอยหลัง แต่ก็เปล่าประโยชน์ แม้จะไม่ได้รับดีบัฟ ‘ความเร็วทุกชนิดลดลง’ หรืออาการ ‘เสียสมดุล’ แต่ก็ยังตกอยู่ภายใต้ผลของอาการ ‘ลดความเร็วเคลื่อนที่ 30%’
ดาบในมือกริดพุ่งไปข้างหน้าได้เร็วกว่าที่วิญญาณเซียนพยายามถอยหลัง
“ทำลายล้าง”
นี่คือทักษะชั่วพริบตา
วิชาดาบที่จำลองการฟาดฟันของเทพสงคราม ซือโหยว
ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใด แต่หากเปิดใช้งานภายในระยะแสดงผล คลื่นดาบจะทำการฟาดฟันใส่เป้าหมายทันที
[เป้าหมายได้รับความเสียหาย 1,095,000 หน่วย]
“!?”
ดวงตาแดงก่ำของวิญญาณเซียนเริ่มสั่นสะท้านขณะถูกฟันเข้าที่หน้าอก
สิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณนั้นต้านทานการโจมตีทางกายภาพ เพราะโดยปรกติแล้ว คมดาบจะฟันได้เพียงร่างมายาและมิอาจก่อความเสียหายกับวิญญาณ
อย่างไรก็ตาม กริดกำลังทำให้มันเจ็บปวด
เมื่อยืนยันว่าศัตรูได้รับบาดเจ็บ ชายหนุ่มฉีกยิ้มพลางพึมพำ
“ได้ผล”
[เทคนิคการต่อสู้ของกริด (ขั้นกลาง) Lv.7]
เมื่อติดตั้งอาวุธ พลังโจมตีทางกายภาพและเวทมนตร์จะเพิ่มขึ้น 25% ความแม่นยำของการโจมตีทุกชนิดจะเพิ่มขึ้น 7% และลดเวลาร่าย 7%
★ ท่านสามารถเน้นเพิ่มพลังโจมตีทางกายภาพหรือเวทมนตร์โดยเฉพาะได้
★ หากท่านเน้นพลังโจมตีกายภาพ เอฟเฟคความรุนแรง ความแม่นยำ และลดเวลาร่ายของเวทมนตร์จะหายไป แต่จะได้รับพลังโจมตีกายภาพเพิ่มขึ้น 15% แทน
★ หากท่านเน้นพลังโจมตีเวทมนตร์ เอฟเฟคความรุนแรง ความแม่นยำ และลดเวลาร่ายของทักษะทางกายภาพจะหายไป แต่จะได้รับพลังโจมตีเวทมนตร์เพิ่มขึ้น 15% แทน
* โหมดปัจจุบัน : เพิ่มทั้งกายภาพและเวทมนตร์
ออปชันหนึ่งที่สำคัญของดาบมังกรเพลิงก็คือ การเปลี่ยนพลังโจมตีกายภาพให้เป็นการโจมตีชนิดเวทมนตร์ ตัวกริดซึ่งตัดสินใจสับเปลี่ยนประเภทการโจมตีให้เป็นเวทมนตร์ ปัจจุบันจึงดูคล้ายกับจอมเวทมากกว่านักดาบ
แต่เดิมนั้น วิชาดาบ ‘ทำลายล้าง’ มีเพียงพลังโจมตีกายภาพ แต่กริดสับเป็นเวทมนตร์ล้วนเนื่องจากศัตรูคือวิญญาณ อีกทั้งยังจะมองข้ามพลังป้องกันจากเอฟเฟคหลักของ ‘ทำลายล้าง’ ด้วย
แน่นอน คอมโบยังไม่จบ
“สะพรั่ง”
ในวินาทีนี้ ทุกวิชาดาบของกริดคือเวทมนตร์ล้วน
[เป้าหมายได้รับความเสียหาย 3,170,500 หน่วย]
ห่าฝนกลีบบุปผาอันงดงามที่รุนแรงยิ่งกว่าทำลายล้าง พุ่งถล่มใส่ร่างของวิญญาณเซียนจนเกิดระเบิดสนั่นหวั่นไหว เนื่องด้วยผลลดพลังป้องกันและ ‘มาร์ค’ วิญญาณเซียนได้รับความเสียหายหนักหน่วงจนต้องรีบควักยันต์สีน้ำเงินออกมา
เป็นยันต์สำหรับหลบหนีเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ แกรนมาสเตอร์ที่ไม่ทราบจุดประสงค์ของยันต์ เคยปล่อยให้วิญญาณเซียนหนีรอดไปได้
แต่กริดทราบเรื่องนี้มาก่อน จึงไม่คิดปล่อยให้อีกฝ่ายหนีรอด
“มายาร่ายรำสะพรั่ง”
“…!”
วิญญาณเซียนมิอาจตอบสนองได้ทันท่วงที เพราะในจังหวะที่ ‘มายาร่ายรำสะพรั่ง’ แสดงผล กริดก็กระตุ้น ‘ชุนโป’ ไปโผล่ด้านหลังพร้อมกับปลดปล่อยคลื่นดาบในระยะประชิด
“เหนือมนุษย์… นี่เจ้า!”
“ตั้งเวลา… ศรเวท”
กลุ่มก้อนเวทมนตร์สุกสว่างพุ่งออกจากความว่างเปล่า รุมทะลวงร่างของวิญญาณเซียนทุกทิศทางนัดแล้วนัดเล่า ท้ายที่สุด มันตัดสินใจสละร่างเทียมและพยายามหลบหนี แต่ก็ไม่แคล้วถูกเล่นงานด้วย ‘เขตแดนพายุเพลิงเทพ’ จนมอดไหม้
“…อยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันดีไหม”
ในอดีต กริดเคยคิดว่าการล่าวิญญาณเซียนเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพราะพวกมันอยู่ในหมวดหมู่มอนสเตอร์ทั่วไปทั้งที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับยังบัน การจะฆ่าแต่ละตัวต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรและเวลามาก คงมีประโยชน์กว่าหากจะออกไปล่ายังบันและได้รับลมหายใจเทพผู้พิทักษ์เป็นของแถม
แต่ในวินาทีนี้ ความคิดดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไป
กริดแข็งแกร่งจนวิญญาณเซียนไม่เป็นภัยคุกคาม
“ตัดสินใจได้แล้ว… อยู่ต่ออีกสักสองวันก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มเริ่มลงมือไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งก่อนกลับ
วิญญาณเซียนดรอปไอเท็มไม่บ่อยนัก แต่เนื่องด้วยพวกมันเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งและค่อนข้างพิเศษ ค่าประสบการณ์จึงมหาศาล เพียงการสังหารหนึ่งตัว กริดได้รับ EXP มากถึง 2.1%
ท่ามกลางสถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า ‘กำแพงสูง’ สำหรับผู้เล่นคนอื่น รอยยิ้มของกริดมิได้จางหายไปแม้แต่วินาทีเดียว
***
‘ตื่นเต้นชะมัด’
การเก็บเลเวลที่ห่างหายไปนาน
ค่าประสบการณ์อันมหาศาลช่วยให้กริดสามารถปลุกปั้นโครงกระดูกโอเวอร์เกียร์ โนเอะ และแรนดี้ได้ในเวลาเดียวกัน ความสุขอันล้นปรี่จึงถาโถมไม่หยุดหย่อน
‘ผ่านไปนานขนาดนี้เชียว…’
ลงเอยด้วย กริดหมกตัวอยู่ในแอ่งสวรรค์นานสามวันเต็ม ปัจจุบันเริ่มไม่พบวิญญาณเซียนเดินเตร็ดเตร่เหมือนแต่ก่อน
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น เมื่อพิจารณาว่าพวกมันคือ ‘ตัวตนที่ล้มเหลวในการเป็นเซียน’ ปริมาณย่อมมีไม่มาก และอัตราการเกิดใหม่ก็ต่ำจนน่าใจหาย
“เราควรรีบกลับ ก่อนที่ปิอาโร่จะเป็นกังวล”
ชายหนุ่มมิได้ต้องการกลับเพราะไม่มีเหยื่อให้ล่า แต่เพราะเป็นห่วงปิอาโร่
กริดแสดงความรักต่อโนเอะครู่หนึ่ง ก่อนจะปืนขึ้นหลังโอเวอร์เกียร์คอร์นเพื่อเดินทางกลับ
ปัจจุบัน ทักษะเกี่ยวกับ ‘มายา’ ทั้งหมดอยู่ในระยะหน่วง อีกทั้งยังสิ้นเปลืองค่าเรี่ยวแรงอย่างมาก แทนที่จะพึ่งพาชุนโปซึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ กริดเลือกเดินทางกลับด้วยโอเวอร์เกียร์คอร์น
“กลับกันเถอะ”
ฮี่~
โอเวอร์เกียร์คอร์นตอบสนองอย่างกระตือรือร้น
ดวงตาโก้งโค้งคล้ายพระจันทร์เสี้ยวอย่างมีความสุข ต้องขอบคุณกริดในร่างไอรีนที่ทำให้จิตใจของมันกระชุ่มกระชวย
“จริงสิ… เราไม่ต้องใช้เจ้านี่แล้ว”
[ท่านถอดหน้ากากหนังเฟย์ริสออก]
โฮก~
โอเวอร์เกียร์คอร์นโพล่งขึ้นด้วยเสียงผิดหวัง แต่กริดหาได้แยแส
***
“อ๊า! ข้าควรทำยังไงดี”
กษัตริย์ชิงนอนไม่หลับมาสามวันติดต่อ
ราชินีโอเวอร์เกียร์ควรกลับมาถึงภายในสี่วันเป็นอย่างช้า กษัตริย์ชิงจึงเป็นกระวนกระวายเนื่องจากไม่ได้รับข่าวใดจากอีกฝ่ายเลย
มันเริ่มกังวลว่า หล่อนอาจถูกยังบันโฉดชั่วทำมิดีมิร้าย ภาพจินตนาการด้านชั่วผุดขึ้นมาเป็นระยะ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นห่วง เพราะอีกฝ่ายคือภรรยาของผู้มีพระคุณ
“เรียกแม่ทัพทุกนายเข้าเฝ้า… เตรียมเคลื่อนทัพหลวง”
ท้ายที่สุด กษัตริย์ชิงทนไม่ไหวอีกต่อไป มันเกณฑ์ทหารกล้านับหมื่นนายของเมืองหลวงเพื่อออกตามหาราชินีโอเวอร์เกียร์
กษัตริย์ชิงไม่อยากเสียเวลานานกว่านี้ ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจกำลังตกที่นั่งลำบาก
ขณะทหารเตรียมเคลื่อนทัพ เสียงหนึ่งดังแว่ว
“องค์ราชินียังไม่กลับอีกหรือ”
ปิอาโร่กลับถึงวังหลวงหลังจากหมกตัวอยู่ในป่าวอลนัทนานนับสัปดาห์
นอกจากตำแหน่งชาวนา มันยังเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรโอเวอร์เกียร์ บรรดาขุนนางชิงย่อมคาดหวังว่าปิอาโร่จะเดือดดาลเมื่อได้ทราบข่าว แต่เจ้าตัวกลับสุขุมจนน่าตกใจ
“หึหึ… เมื่อไรพระองค์จะกลับมากันนะ”
ตรงข้ามกับความโกรธ ปิอาโร่เผยรอยยิ้มอบอุ่น
…กำลังมีความสุขทั้งที่ราชินีของตนหายตัวไป?
‘จงรักภักดีแค่เปลือก?’
ขณะกษัตริย์ชิงเริ่มเคลือบแคลง ปิอาโร่กล่าวแฝงความนัย
“เมื่อกลับมา องค์ราชินีจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”
“…?”
ราชินีโอเวอร์เกียร์เดินทางไปเยือนอาณาจักรฮวาน มิใช่ออกไปฝึกซ้อม เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งขึ้นเมื่อกลับมา?
ขณะกษัตริย์ชิงกำลังส่ายหน้า
เพล้ง!
ถ้วยชาในมือปิอาโร่แตกละเอียด
“…?”
กษัตริย์ชิงสะดุ้งพลางมองไปยังมือของปิอาโร่ที่กำลังสั่นเทา
…เกิดอะไรขึ้น?
วาบ!
ทันใดนั้น กษัตริย์ชิงแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนสัมผัสถึง
นับตั้งแต่ได้เห็นยังบันในวัยเด็ก กษัตริย์ชิงก็มีพลังในการหยั่งถึงบุคคลทรงพลังมาตลอด
มวลพลังงานอันน่าพรั่นพรึงกำลังย่างกรายเข้าใกล้ท้องพระโรงทีละนิด
‘ค…ใครกัน? สัตว์ประหลาดตนนี้เป็นใคร!’
ระดับของพลังสูงส่งจนชวนให้นึกถึงการัมในหมู่ยังบัน แทบไม่มีโอกาสเป็นของมนุษย์ไปได้เลย
‘อย่าบอกนะว่า…’
ข่ายเวทมนตร์ของเทพเต่าดำกำลังเสื่อมสภาพ?
อาณาจักรแห่งนี้กำลังถูกยังบันรุกรานอีกครั้ง?
กษัตริย์ชิงทั้งหวาดผวาและโกรธแค้น
“กระหม่อมขอคารวะฝ่าบาท”
ทันใดนั้น ปิอาโร่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับโค้งศีรษะไปทางประตูท้องพระโรง
บุคคลที่มาเยือนไม่ใช่ใครอื่น
“ไม่ได้พบกันนาน… ปิอาโร่”
ราชาโอเวอร์เกียร์ บุคคลที่กษัตริย์ชิงเคยเห็นเพียงในภาพวาด
มันพลันตื่นเต้นเมื่อได้ยลโฉมบุคคลที่ทรงพลังยิ่งกว่าราชินีโอเวอร์เกียร์—ผู้ที่กษัตริย์ชิงเคยเข้าใจว่าเป็น ‘อำนาจ’ แท้จริงเบื้องหลังอาณาจักร
แต่ไหนแต่ไร มันเคยพานพบบุคคลที่ตัวจริงด้อยกว่าในข่าวลือมากมาย
แต่นี่คือครั้งแรกอย่างแท้จริง ที่กษัตริย์ชิงพบว่าตัวจริงยอดเยี่ยมเหนือข่าวลือไปไกล
มันส์มากกก ขอบคุณสำหรับงานแปลดีๆนะครับ
ReplyDelete