จ้าวแห่งยุทธภัณฑ์ 1,302



ยังบัน


พวกมันเกิดมาในฐานะครึ่งเทพ และจุดประสงค์เดียวคือการกลายเป็นเทพ


ยังบันมีจำนวนนับร้อย แต่ที่นั่งสำหรับเทพกลับมีเพียงเจ็ด


การสอบซือโหยวคือบันไดขั้นแรกสำหรับกลายเป็นเทพ


ยังบันส่วนใหญ่จึงทุ่มเทชีวิต แรงกายแรงใจ และมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างหนักเพื่อสอบซือโหยวให้ผ่าน


แต่ในรอบหลายสิบปีหลัง มีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่ผ่านการสอบซือโหยว


และคนผู้นั้นคือมนุษย์


‘ไม่คิดว่าจะลงเอยแบบนี้’


หลังจากพ่ายแพ้มนุษย์และสูญเสียโอกาสก้าวขึ้นเป็นเทพ ยังบันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดปากให้สนิท


ไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายเพียงเพราะไม่พอใจผลลัพธ์ พวกมันฉลาดพอจะตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างพลังในปัจจุบัน


‘…ถ้าไม่เคยลิ้มรสการสอบเมื่อสี่ร้อยปีก่อน เราคงสู้ขาดใจไปแล้ว’


ยังบันมิได้ถอนตัวเพราะขี้ขลาด เพียงแต่พวกมันเคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับ ‘กำแพงที่ไม่มีวันพังทลาย’ มาแล้วหนหนึ่ง จึงตระหนักถึงคำว่า ‘หมดหนทางเอาชนะ’ ได้เป็นอย่างดี


มีร์


สิ่งมีชีวิตใกล้เคียงเทพตั้งแต่วินาทีที่ถือกำเนิด


บุคคลเดียวที่ผ่านการสอบซือโหยวเมื่อสี่ร้อยปีก่อน


ยังบันนับร้อยตนผลัดเวียนกันขึ้นไปดวลกับมีร์ แต่ทั้งหมดก็ถูก ‘ทำลาย’ อย่างราบคาบจนเหลือเพียงมีร์ยืนหยัดบนสังเวียน


เหล่ายังบันต่างเชื่อว่า นั่นคงเป็นสถิติที่ไม่มีวันถูกโค่นไปตลอดกาล


[ท่านคือผู้เล่นคนแรกที่ผ่านการสอบซือโหยว]


[ท่านถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่หนึ่ง]


แต่มนุษย์คนหนึ่งกลับทำในสิ่งที่ใกล้เคียงกัน


ความเย่อหยิ่งและดูแคลน ไม่หลงเหลืออยู่ในสายตาเหล่ายังบันที่กำลังจ้องไปทางสตรีผมเงิน


‘หลังจากนี้… คงต้องมองมนุษย์เสียใหม่’


สิ่งมีชีวิตอ่อนแอ อายุขัยไม่ถึงร้อยปี


ร่างกายเปราะบาง เนื้อนิ่ม กระดูกแตกหักได้ง่าย แต่ก็มากปัญญา มุมานะ หมั่นฝึกฝนทักษะจนชำนาญ และสร้างกองทัพขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองหรือรุกรานผู้อื่น


อย่างไรก็ตาม ในตอนสุดท้าย พวกมันก็หลีกหนีไม่พ้นความตาย


นั่นคือเหตุผลที่ยังบันไม่เคยให้ค่ามนุษย์


คล้ายกับมนุษย์ที่เลี้ยงไก่เพื่อหวังไข่ ยังบันไว้ชีวิตมนุษย์เพียงเพราะหวังบารมีเทพ


อาจมีหลายหนที่มันได้เห็นมนุษย์กลายเป็นเซียนหรือเหนือมนุษย์ แต่ตรงข้ามกับความชื่นชม ยังบันมักเกิดความรู้สึกรังเกียจและไม่ชอบหน้า


ทว่าในวินาทีนี้ ความคิดทั้งหมดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง


แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายล้าน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า มนุษย์ที่เหนือกว่ายังบันได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว


‘ในเมื่อไม่ว่ายังไงเราก็ต้องพึ่งพาบารมีเทพจากมนุษย์ หากทำดีกับพวกมัน อาจได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าเดิม…’


ขณะมุมมองของยังบันเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด


‘ระบบไม่ประกาศสักหน่อยหรือ ว่าอันดับสองถึงเจ็ดเป็นใครบ้าง?’


กริดผิดหวังเล็กน้อย


มันเองก็อยากทราบว่า ทั้งเจ็ดบุคคลที่สอบซือโหยวผ่านเป็นใคร


แต่น่าเสียดายที่ข้อความระบบไม่เป็นมิตรสักเท่าไร แจ้งเพียงแค่อันดับของกริด


‘อยากรู้ชื่อไว้สักหน่อย จะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมถูก… ชิ’


ยังบันที่ติดท็อปเจ็ดและไม่ติด ฝีมือของพวกมันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว


ตัวอย่างที่ชัดเจนคือแฮจิน เธออาจดูแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นได้เพียงตัวตลกเมื่อเทียบกับการัม


‘…ช่างเถอะ ดื่มด่ำไปกับผลลัพธ์ก็พอแล้ว’


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก…


หัวใจกริดเริ่มเต้นระรัว


การสอบซือโหยว


กริดภูมิใจมากเมื่อทราบว่าตนสอบได้ที่หนึ่ง จากบรรดายังบันครึ่งเทพผู้ปรารถนาจะพัฒนากลายเป็นเทพ


รางวัลตอบแทนมิได้สลักสำคัญ


ประเด็นอยู่ที่การทำลายศักดิ์ศรีของพวกมันให้แหลกละเอียด พร้อมกับเพิ่มเกียรติยศให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ยังบันเคยมองว่าต่ำต้อย


‘แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าเราไม่หวังรางวัลเลย…’


กริดไม่คิดหลอกตัวเอง


มันเริ่มกังวลและตื่นเต้นเล็กน้อย


รางวัลของความสำเร็จที่ ‘ผู้เล่นยังไม่เคยได้รับ’ ย่อมต้องมีคุณค่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


[ในฐานะผู้เล่นคนแรกที่สอบซือโหยวผ่าน ระดับบารมีเทพของท่านเพิ่มขึ้น]


[ระดับบารมีเทพของท่านสูงถึงขั้นที่ห้า ท่านมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็น ‘ครึ่งเทพ’]


“…?!”


ในการจะเพิ่ม ‘ระดับ’ บารมีเทพ วิธีเดียวคือการเพิ่ม ‘ค่า’ บารมีเทพ


ทุกสิบ ‘ค่า’ บารมีเทพจะเพิ่ม ‘ระดับ’ บารมีเทพขึ้นหนึ่งขั้น หมายความว่าการเพิ่มแต่ละขั้นนับเป็นเรื่องที่ยากมาก


สำหรับกริด มันสามารถเพิ่มค่าบารมีเทพได้ด้วยการสร้างไอเท็มเกรดมิธ


แต่การจะสร้างไอเท็มเกรดมิธจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบให้สอดคล้อง


วัตถุเหล่านั้นหาได้ยากยิ่ง หากไม่สังหารจอมอสูรก็ต้องทำภารกิจคืนชีพเทพผู้พิทักษ์สี่ทิศ


เหนือสิ่งอื่นใด แม้จะสร้างไอเท็มเกรดมิธไปถึงสามชิ้น แต่ค่าบารมีเทพกลับเพิ่มขึ้นเพียงหนึ่งแต้ม


กริดตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดว่า ตนจะเพิ่มค่าบารมีเทพให้ถึงสิบแต้ม ได้ด้วยการผลิตไอเท็มเพียงอย่างเดียวจริงหรือ


‘จริงอยู่ การเขียนบทกวีมหากาพย์ช่วยให้ได้รับค่าบารมีเทพเหมือนกัน แต่ว่า…’


มหากาพย์มีอัตราการเกิดต่ำพอ ๆ กับการผลิตไอเท็มเกรดมิธ


ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกมหากาพย์จะเพิ่มค่าบารมีเทพ คล้ายกับต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม สถานที่ และเวลาที่เหมาะสม โดยต้องไม่ลืมว่า เหตุการณ์คืนชีพเทพผู้พิทักษ์หรือถูกคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งยกย่องสรรเสริญ ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยนักบนโลกซาทิสฟาย


สรุปโดยสั้น การเพิ่มค่าบารมีเทพถือเป็นเรื่องที่ยากลำบาก


กริดคิดมาตลอดว่า การจะเพิ่มระดับบารมีเทพให้ถึงขั้นที่ห้า คงใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งปี


แต่ลงเอยด้วย เป้าหมายมาถึงก่อนกำหนด


‘ครึ่งเทพ!’


พัฒนาการที่กริดใฝ่ฝันมาตลอด


ย้อนกลับไปในเหตุการณ์วิหารยาธานบุกถล่มวาติกัน กริดเคยตอบปฏิเสธการเป็นครึ่งเทพเนื่องจากมีผลข้างเคียงมากเกินไป แต่ไม่ใช่กับในตอนนี้ โอกาสพัฒนาเป็นครึ่งเทพตรงหน้าเกิดจากความพยายามส่วนตัว มิได้ถูกหยิบยื่นให้โดยเจ็ดมาร


หัวใจชายหนุ่มยังคงเต้นโครมครามไม่หยุด


ขณะเห็นข้อความระบบถามว่า [ท่านต้องการกลายเป็นครึ่งเทพหรือไม่] และกริดกำลังจะตอบโดยไม่ลังเลว่า ‘ใช่’ มันพลันชะงักเนื่องจากเหลือบไปเห็นสีหน้าเจือความผิดหวังของซือโหยว


‘ทำไมกัน…?’


จนกระทั่งเมื่อครู่ ซือโหยวแสดงความชื่นชอบต่อกริดอย่างเปิดเผยมาตลอด เป็นความรักที่บริสุทธิ์ดุจดังบุพการีมอบให้ แล้วเหตุไฉนถึงได้ผิดหวังขึ้นมากะทันหัน?


“ท่านมีสิ่งใดจะกล่าวหรือไม่”


กริดมิได้ก้าวขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุดเพราะโชคช่วย


มันอาจเดาใจผู้เล่นไม่เก่ง แต่ไม่ใช่กับ NPC แน่นอน


ซือโหยวเงยหน้า แต่มิได้ตอบคำถามเกี่ยวกับครึ่งเทพ


“ข้าไม่ควรพูดออกไป”


‘ทำไมต้องเป็นเวลานี้…’


ใบหน้ากริดเริ่มบูดบึ้ง มันหงุดหงิดที่ซือโหยวไม่ยอมมอบความกระจ่างทั้งที่รู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ


‘เดี๋ยวนะ…’


ถ้าจำไม่ผิด สีหน้าของซือโหยวเริ่มดำมืดตั้งแต่ตอนที่เรามีระดับบารมีเทพถึงขั้นที่ห้า…


หรืออีกนัยหนึ่ง นับตั้งแต่ที่เรามีสิทธิ์เปลี่ยนเป็นครึ่งเทพ…


‘ท่านไม่อยากให้เราเป็นครึ่งเทพ?’


เพราะอะไร?


เพราะไม่อยากให้มนุษย์กลายเป็นเทพ?


ไม่น่าใช่ นั่นไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของซือโหยว…


ซือโหยวคือเทพที่เกิดจากความปรารถนาอย่างแรงกล้าของมนุษย์ และยังเป็นเหตุผลที่ซือโหยวเคยโผล่ออกมาช่วยแพ็กม่าในอดีต


‘ทำไมถึงไม่ยอมบอกเรา…’


กริดเริ่มเค้นสมองวิเคราะห์


เราถูก ‘ยกระดับตัวตน’ หลังจากกลายเป็นเหนือมนุษย์…


เหตุผลที่ถูกเรียกว่า ‘เหนือมนุษย์’ ก็เพราะมีพลังเกินกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ในทุกด้าน…


แต่ถ้าเป็นครึ่งเทพ เราจะถูกนำไปเทียบกับเหล่าทวยเทพและเป็นเพียงตัวตนธรรมดา…?


หรือก็คือ จุดเปรียบเทียบ ‘ระดับตัวตน’ จะเปลี่ยนจาก ‘ในหมู่มนุษย์’ เป็น ‘ในหมู่เทพ’ ?


“การเปลี่ยนเป็นครึ่งเทพ… จะทำให้สูญเสียสถานะเหนือมนุษย์ใช่ไหม?”


‘เปลี่ยนเป็นครึ่งเทพ!?’


คำถามของกริดโพล่งขึ้นจากความว่างเปล่า คนนอกย่อมไม่เข้าใจเป็นธรรมดา


ดวงตาซีบาลพลันเบิกโพลงด้วยความฉงน


ซือโหยวมอบคำตอบ


“ถูกต้อง”


“…!”


กริดเริ่มวิงเวียนศีรษะ คล้ายกับถูกค้อนทุบใส่ท้ายทอย


ขณะชายหนุ่มลังเล แกรนมาสเตอร์ช่วยเสริม


“ครึ่งเทพแข็งแกร่งกว่าเหนือมนุษย์”


บนโลกซาทิสฟาย อาจไม่มีใครพูดคำนี้ได้น่าเชื่อถือไปกว่าแกรนมาสเตอร์อีกแล้ว


ร่างเดิมที่กำลังถูกผนึกในห้วงความมืดมิดคือครึ่งเทพ ส่วนร่างที่กำลังยืนตรงหน้ากริดมีสถานะเป็นเหนือมนุษย์ แกรนมาสเตอร์คือตัวตนเพียงน้อยคนที่เคยผ่านประสบการณ์ทั้งครึ่งเทพและเหนือมนุษย์ ย่อมต้องทราบข้อดีข้อเสียมากกว่าใคร


“เพียงแต่…”


แกรนมาสเตอร์เดินมาจับแขนกริดและกล่าว


“เหนือมนุษย์มีศักยภาพสูงกว่าในอนาคต”


“…”


ประโยคแรกของแกรนมาสเตอร์ที่กล่าวว่า ‘ครึ่งเทพแข็งแกร่งกว่า’ ทำให้กริดหมดความลังเลไปครู่หนึ่ง แต่เมื่ออีกฝ่ายพ่นประโยคหลังออกมา สมองชายหนุ่มถูกครอบงำด้วยความสับสนทันที


ในเมื่อครึ่งเทพคือประตูบานแรกที่จะนำไปสู่เทพ คล้ายกับการเปลี่ยนคลาสขั้นแรก ก่อนจะกลายเป็นคลาสขั้นที่สองอย่าง ‘เทพแท้จริง’ แล้วเหตุใดแกรนมาสเตอร์จึงกล่าวว่า ศักยภาพในอนาคตของเหนือมนุษย์สูงกว่าครึ่งเทพ?


“เพราะมีเพียงเหนือมนุษย์ มิใช่ครึ่งเทพ ที่สามารถสังหารเทพ”


“…!!”


ผู้สังหารเทพ


หนึ่งในพัฒนาการขั้นสุดท้ายของเหนือมนุษย์


แกรนมาสเตอร์ซึ่งวางแผนจะโค่นล้มเทพ กล่าวออกมาอย่างซื่อตรง


“ข้าปรารถนาให้เจ้ายังเป็นมนุษย์”


ขณะเดียวกัน ซือโหยวทำเพียงเงียบงัน


ตัวมันใฝ่ฝันถึงความตายมาตลอด และตัวตนเดียวที่จะฆ่ามันได้คือ ‘ผู้สังหารเทพ’ ซือโหยวจึงเป็นอีกคนที่ปรารถนาให้กริดเลือกเส้นทางเหนือมนุษย์


แต่ถึงอย่างนั้น มันไม่อยากเข้าไปแทรกแซงการตัดสินใจของกริด ไม่ต้องการบิดเบือนชะตากรรมของมนุษย์เพียงเพราะตนปรารถนาความตาย ซือโหยวมิได้คิดการใหญ่เฉกเช่นแกรนมาสเตอร์ผู้หวังทำสงครามกับทวยเทพและคืนความสงบสุขให้มนุษย์


“…”


กริดเงียบงัน


ใบหน้าในยามพลบค่ำกำลังดำมืดราวกับเมฆหม่น


ขณะแกรนมาสเตอร์ ซือโหยว และยังบันต่างพากันกลั้นหายใจ ซีบาลเปิดปากเป็นครั้งแรก


“ถ้าเป็นนาย… ต้องกลายเป็นเทพได้โดยไม่ต้องผ่านครึ่งเทพได้แน่”


“…!”


มุมมองของซีบาลแตกต่างจากทุกคนโดยสิ้นเชิง เหตุเพราะมันคือผู้เล่น


มันตระหนักถึงศักยภาพของผู้เล่นอันดับหนึ่งของโลกกว่าใคร


“ฉันอาจโง่เขลาและไม่รู้เรื่องอะไรเลย… แต่ถ้าเป็นนายล่ะก็… คงฆ่าเทพแล้วกลายเป็นเทพได้ด้วยตัวเองในสักวันแน่”


แม้กริดจะยังอยู่ในร่างไอรีน แต่เช่นเดียวกันกับแกรนมาสเตอร์ ซีบาลเองก็เริ่มตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของราชินีโอเวอร์เกียร์


นับตั้งแต่จบการสอบซือโหยว กิริยาวาจาของไอรีนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง บุคลิกคล้ายคลึงกับกริดที่ซีบาลรู้จัก


ใช่แล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์ใหญ่ กริดลืมเสียสนิทว่าตนต้องสวมรอยเป็นไอรีน อาจเป็นเพราะเป้าหมายในการสร้างบารมีเทพให้ไอรีน ประสบความสำเร็จอย่างลุล่วงราบรื่นไปแล้ว


“นาย…”


กริดกระวนกระวายเมื่อพบว่าคำพูดคำจาของซีบาลเปลี่ยนไป


ซีบาลมิได้แยแส เพียงกล่าวในสิ่งที่ตนคิด


“ถ้าเป็นนายต้องทำได้แน่… จริงไหม”


“…”


“นายคือจุดสูงสุดของโลก”


“…!”


จะมีสักกี่คนที่ก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งจากผู้เล่นกว่าสองพันล้าน และสามารถรักษาตำแหน่งนั้นได้นานหลายปีโดยไม่สั่นคลอน?


นับตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน มีเพียงกริดคนเดียวเท่านั้น


ตัดความชื่นชอบส่วนตัวออกไป กระทั่ง NPC ระดับสูงอย่างแกรนมาสเตอร์และซือโหยว ก็ยังประเมินค่าในตัวกริดเอาไว้สูงมาก


ลงเอยด้วย


“…ตัดสินใจได้แล้ว”


[ท่านต้องการกลายเป็นครึ่งเทพหรือไม่]


สำหรับคำตอบของคำถาม


“ขอผ่าน”


กริดยังไม่หลงลืมแก่นของตัวเอง


ชายหนุ่มเคยประกาศไว้ในมหากาพย์ของตนว่า มันจะกลายเป็นเทพเพื่อหยุดยั้งความเลวร้ายของยังบันและห้าอาวุโส มิใช่กลายเป็นเทพเพื่อดื่มด่ำไปพลังอำนาจ


แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความตั้งใจดังกล่าวกลับเลือนรางลงจนเกือบหลงลืม


หน้าต่างข้อความระบบเริ่มตอบสนอง


[ท่านปฏิเสธการเป็นครึ่งเทพ]


[รางวัลตอบแทนเมื่อระดับบารมีเทพสูงถึงขั้นห้ามีการเปลี่ยนแปลง]


[ระดับเหนือมนุษย์ของท่านเพิ่มขึ้นอย่างมาก]


[ในอนาคต ท่านจะมองเห็นโลกในมุมมองที่แตกต่างจากผู้อื่น]


“ยินดีต้อนรับ”


แกรนมาสเตอร์เผยรอยยิ้มที่พบเห็นได้ยาก พร้อมกับเปิดฉากโจมตีโดยไม่ให้สัญญาณ


ในสายตาซีบาล มันมองเห็นท่าชกและท่าเตะเป็นเพียงแสงตกค้าง แต่กริดกลับรับมือทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์แบบ


ดั้งจมูกที่ควรยุบ เปลี่ยนเป็นรอยถากผิวเผินบนเนื้อแก้ม


กระดูกหัวเข่าที่ควรแตกละเอียด ถูกเปลี่ยนเป็นโอกาสโจมตีสวนกลับ


โลกที่เหนือมนุษย์ระดับสูงมองเห็น คือโลกใบเดียวกับเมื่อครั้งที่กริดย้อนกลับไปรับชมศึกดวลระหว่างเครย์เชอร์และแพ็กม่า


[นับแต่นี้ไป จะไม่มีการโจมตีใดที่ท่านมิอาจจำแนก]


[นับแต่นี้ไป ท่านจะต้านทานการโจมตีคริติคอลโดยสมบูรณ์ อีกทั้งยังไม่เปิดเผยจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้]


เหนือมนุษย์ที่แท้จริง


มีเพียงน้อยคนบนโลกซาทิสฟายจะได้สัมผัส


แต่กริดคว้าพลังนั้นมาไว้ในมือได้แล้ว


______________

ตอนฟรีลงสัปดาห์ละ 2 ตอน

ปัจจุบันแปลถึงตอน 1,739

ติดตามผู้แปล : www.facebook.com/bjknovel/




Comments

recent post


♥ All Chapters ♥
ออกทุกเย็น
ช่วงเวลา 18.00 - 24.00